ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 66 ยืนหยัด
อวี้ถังถูกลักพาตัว คนที่ช่วยนางก็คือเผยเยี่ยน ก่อนที่หลี่ตวนจะมา เขาได้ถกเรื่องนี้กับชิงเค่อที่บิดาทิ้งไว้ให้ที่บ้านอย่างละเอียดแล้ว เรื่องลักพาตัวย่อมลบไม่ออก ทั้งจะก่อให้เกิดปัญหาไม่รู้จบ สิ่งสำคัญที่ต้องจัดการในตอนนี้คือไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปฏิเสธเรื่องสังหารเว่ยเสี่ยวซาน มิเช่นนั้นสกุลหลี่ที่เป็นสกุลขุนนาง ก็มีความเป็นไปได้ที่ต้องถูกร้องขอให้ชดใช้ด้วยชีวิต ถึงเวลานั้นใครจะไปเป็นแพะรับบาปกัน?
หลี่ตวนครุ่นคิดเล็กน้อย คิดว่าคำพูดนี้ของอวี้ถังไม่มีปัญหาอะไร กล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คุณหนูอวี้ เรื่องนี้สกุลพวกเราทำไม่ถูก เพียงแต่ ‘บิดามารดาล้วนทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ’ อย่างไรขอคุณหนูอวี้อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับมารดาข้า หากคุณหนูอวี้ยังรู้สึกโมโหไม่อาจสงบจิตสงบใจได้ ข้าก็ยินดีจะชดใช้แทนมารดาให้กับสกุลอวี้และคุณหนูอวี้”
พูดมาถึงตรงนี้ อวี้ถังก็เดาได้แล้วว่าเขาจะกล่าวอะไร
“ชดใช้ย่อมไม่จำเป็น” นางเอ่ยเรียบนิ่ง “สกุลพวกเราแค่ไม่ได้ตอบรับการสู่ขอของพวกเจ้า มารดาเจ้าก็ทำลายชื่อเสียงข้าเสียแล้ว ทั้งก่อนหน้านั้นมารดาของเจ้ายังเชิญนายหญิงของทังซิ่วไฉมาเป็นแม่สื่อที่บ้านข้าหลายต่อหลายครั้ง กลับถูกสกุลข้าปฏิเสธมาโดยตลอด คาดว่ามารดาเจ้าคงมีโทสะไม่น้อย เพียงแต่ไม่รู้ว่ายามที่มารดาเจ้าทราบว่าสกุลของเราตั้งใจจะเจรจาแต่งงานกับสกุลเว่ย นางคิดอย่างไรกัน? ทั้งทำอะไรลงไปบ้างกันแน่?”
ในที่สุดก็ลากประเด็นเข้ามาในเรื่องของเว่ยเสี่ยวซาน
ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างมีใจคล้อยตาม พากันซุบซิบนินทาขึ้นมา
เดิมทีคิดว่าสกุลหลี่แทบไม่มีแรงจูงใจในการฆ่าเว่ยเสี่ยวซาน แต่ยามนี้ได้ฟังอวี้ถังพูด ก็มีความเป็นไปได้ว่าเป็นฝีมือของฮูหยินหลี่จริงๆ
อวี้ถังพูดไม่ทันจบ ใจหลี่ตวนก็เต้นกระหน่ำ รู้ว่าครั้งนี้ตัวเองถูกอวี้ถังจับจุดอ่อนแล้ว เขามองพวกเศรษฐีชนบทที่เผยสีหน้าเข้าใจขึ้นมาโดยพลัน รีบกล่าว “คำพูดนี้ของคุณหนูอวี้ไม่ถูกแล้ว แม้มารดาของข้าจะใจร้อนไปอยู่บ้าง กลับไม่อาจกระทำเรื่องฆ่าคนออกมาได้ คุณหนูอวี้จะพูดก็ควรมีหลักฐาน อย่าได้พูดจาส่งเดช”
พูดจบ เขาก็หันไปทางเผยเยี่ยน
ก่อนหน้านี้เผยเยี่ยนยังนั่งหยัดกายตรง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ข้อศอกซ้ายไปพิงที่เท้าแขนของเก้าอี้ นั่งเล่นผีซิว[1] ที่ทำจากหยกเหอเถียนด้วยสีหน้าสบายๆ อยู่ตรงนั้น มองไม่ออกถึงอารมณ์ใด
หลี่ตวนร้อนใจอยู่บ้าง กลับไม่กล้าเผยพิรุธออกมาทางใบหน้ามากนัก
ด้านอวี้ถังเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเย็น “เกรงว่าคุณชายใหญ่สกุลหลี่จะกังวลจนลืมคิดไป ชื่อเสียงของสตรีนั้นสำคัญเพียงใด ฮูหยินหลี่จะไม่รู้เชียวรึ? เพื่อประโยชน์ส่วนตัวกลับให้อันธพาลพวกนั้นมาลักพาตัวข้า นี่ต่างอะไรกับการฆ่าคนกัน? คุณชายใหญ่สกุลหลี่ไฉนจึงกล้ารับประกันว่า ยามที่มารดาเจ้ารู้ว่าสกุลพวกเราเตรียมจะรับคุณชายรองสกุลเว่ยเป็นลูกเขย ไม่ได้โมโหโกรธเกรี้ยวจนทำเรื่องอย่างที่ลักพาตัวข้าขึ้นมา?”
หลี่ตวนแก้ต่าง “ฆ่าคนกับลักพาตัวจะนำมาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?”
อวี้ถังไล่ต้อนอย่างไม่ลดละ “มีอันใดแตกต่าง? ถูกบงการด้วยคนเหมือนกัน เพื่อบรรลุเป้าประสงค์ล้วนไม่เลือกวิธีการเช่นเดียวกัน สำหรับหญิงแต่งงานที่นั่งในเรือนอย่างสงบเสงี่ยมแล้ว ปกติอาจจะได้ยินคนอื่นพูดคุยเรื่องความบริสุทธิ์ของหญิงสาว กลับไม่แน่ว่าจะสามารถเห็นการฆ่าคนด้วยตาตัวเอง เกรงว่าสำหรับฮูหยินหลี่แล้ว การทำลายความบริสุทธิ์คนอื่นคงสามารถสั่นสะเทือนจิตใจผู้คนยิ่งกว่าการฆ่าคนกระมัง! หรือข้ากล่าวไม่ถูก? ไม่ก็ฮูหยินหลี่คิดว่าความบริสุทธิ์ของหญิงสาวไม่สำคัญ?”
คำพูดของนางราวกับน้ำที่หยดบนน้ำมันร้อน พาให้น้ำมันแตกกระเซ็นไปทั่ว
เศรษฐีชนบทพวกนั้นพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา “ความบริสุทธิ์ของหญิงสาวย่อมสำคัญกว่าความเป็นความตาย!”
“แม้ว่าฮูหยินหลี่จะหุนหันพลันแล่นไปชั่วครู่ ก็ไม่ควรทำถึงขนาดนี้!”
“มิผิด มิผิด เรื่องนี้ทำเกินไปแล้ว”
หลี่ตวนเหงื่อชื้นเต็มหน้าผาก เอ่ยอย่างเร่งรีบ “คุณหนูอวี้ มารดาข้าย่อมไม่ได้หมายความเช่นนี้…”
“ไม่ได้หมายความเช่นนี้?” อวี้ถังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ สกุลหลี่กล้าทำถึงขนาดนี้ วันนี้นางก็กล้าโยนความผิดให้ฮูหยินหลี่เช่นกัน ให้ทุกคนรู้ทั่วกันว่า ฮูหยินหลี่ไม่ใช่คนดีอะไร “ไม่ได้หมายความเช่นนี้กลับกล้าลักพาตัวข้า หากตั้งใจขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่ว่าคงจะฆ่าคนแล้วกระมัง?”
หลี่ตวนถูกอวี้ถังไล่ต้อนจนมุม อับจนหนทาง ทำได้เพียงขอร้องกับเผยเยี่ยน
“นายท่านสาม” เขาประสานมือไปทางเผยเยี่ยน “อย่างไรขอท่านช่วยพูดหน่อยเถิด เรื่องลักพาตัวคุณหนูอวี้ สกุลพวกเราทำไม่ถูกจริงๆ แต่วันนี้พวกเรามาพูดเรื่องคุณชายรองสกุลเว่ยถูกสังหาร หากคุณหนูอวี้ไม่พอใจ รอเรื่องนี้จบแล้ว ข้าจะไปขอโทษขอโพยกับคุณหนูอวี้ที่สกุลอวี้อีกครั้งตามลำพัง”
“ขอโทษตามลำพังย่อมไม่จำเป็น” อวี้ถังไม่รอให้เผยเยี่ยนพูด ก็เอ่ยก่อน “คาดไม่ถึงว่าคุณชายใหญ่สกุลหลี่จะมีฝีปากสำบัดสำนวนดีเช่นนี้ พวกเราพูดเรื่องตะวันออก เจ้าก็พูดเรื่องตะวันตก ก็ดี เรื่องลักพาตัวข้า พวกเราค่อยพูดภายหลัง ยามนี้ พวกเรามาพูดเรื่องคุณชายรองสกุลเว่ยถูกทำร้าย”
ขณะที่พูด นางก็ชี้ไปยังคนลี้ภัยสองคนนั้น “พวกเรานำตัวพยานบุคคลมา เจ้าบอกว่าพวกเราใส่ร้ายสกุลพวกเจ้า สกุลพวกเจ้าไม่มีแรงจูงใจในการสังหารคุณชายรองสกุลเว่ย ข้าก็ชี้ให้เห็นถึงสาเหตุที่สกุลพวกเจ้าสังหารคุณชายรองสกุลเว่ย เจ้าจะให้ข้านำหลักฐานออกมาอีก เดี๋ยวก็วกมาพูดว่าสกุลพวกเจ้ามีเหตุผล ข้ากลับอยากถามเสียหน่อย ในสายตาสกุลหลี่ของพวกเจ้า พยานบุคคลอย่างไรที่สกุลหลี่พวกเจ้าจะยอมรับ? แล้วหลักฐานแบบใดที่สกุลหลี่พวกเจ้าจะยอมเชื่อ? พวกเราจะได้ค้นหาตามความต้องการของคุณชายใหญ่สกุลหลี่ คุณชายใหญ่สกุลหลี่จะได้ไม่เหยียบจมูกขึ้นหน้า[2] ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับเช่นนี้”
เผยเยี่ยนลูบผีซิวที่เพิ่งแกะออกมาจากเอวเมื่อครู่
เขารู้ว่าคุณหนูสกุลอวี้ฝีปากคมคาย แต่คาดไม่ถึงว่าจะพูดเก่ง ทั้งกล้าพูดถึงขนาดนี้
นางไม่กลัวว่าตัวเองจะแต่งไม่ออกหรอกรึ?
เผยเยี่ยนมองไปยังหลี่ตวน
หลี่ตวนลนลาน “คุณหนูอวี้ สองคนนี้ขอเพียงได้เงิน ไม่ว่าเรื่องใดล้วนสามารถทำได้ทั้งนั้น จะเอามาเป็นพยานได้…”
อวี้ถังตัดบทสนทนาของเขา “หรือคุณชายใหญ่สกุลหลี่เคยรู้จักมักคุ้นกับสองคนนี้มาก่อน? ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่า ขอเพียงแค่ได้เงิน ไม่ว่าเรื่องใดพวกเขาก็ทำออกมาได้? ทั้งเมื่อครู่เหตุใดคุณชายใหญ่จึงพูดว่าหลังจากสองคนนี้หนีออกมาจากที่นาก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวอันใดกับสกุลพวกเจ้าแล้วล่ะ?”
หลี่ตวนเอ่ย “คุณหนูอวี้อย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น สองคนนี้ดูแล้วก็ไม่ใช่คนดีอะไร คำพูดที่ออกมาย่อมไม่อาจเป็นหลักฐานได้ อย่าได้พูดจาส่งเดช เพียงเพราะว่าอยากให้สกุลหลี่พวกเรากลายเป็นแพะรับบาปในครั้งนี้”
อวี้ถังเอ่ย “จากสิ่งที่เจ้าพูด เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้าที่ปั้นน้ำเป็นตัว? แปลกเสียจริง เหตุใดข้าจึงไม่พูดว่าเป็นฝีมือสกุลหวัง ไม่กล่าวว่าเป็นฝีมือสกุลซุน กลับเอาแต่พูดว่าเป็นฝีมือของสกุลหลี่เล่า?”
หลี่ตวนกล่าว “นั่นเพราะคุณหนูอวี้เข้าใจผิดว่าสกุลหลี่พวกเรามีรอยร้าวกับสกุลอวี้ของพวกเจ้า…”
“หรือไม่มีรอยร้าวอย่างนั้นรึ?” อวี้ถังก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ย้อนถามอย่างว่องไว “สกุลพวกเจ้าเอาแต่พยายามยุ่งเกี่ยวกับงานแต่งของข้า สกุลเว่ยก็ไม่เคยมีศัตรูที่ไหนมาก่อน หลายปีมานี้สกุลพวกเราก็ใจกว้างกับผู้คนในหลินอันมาโดยตลอด ใครเอ่ยถึงสกุลพวกเราล้วนต้องออกปากชมว่ามีเมตตากรุณา เหตุใดจึงเกิดเรื่องร้ายเช่นนี้ขึ้นมาได้? ไม่ใช่สกุลพวกเจ้า ยังมีสกุลใดอีก?”
หลี่ตวนถูกอวี้ถังย้อนถาม แทบหลบเลี่ยงไม่ได้อยู่บ้าง “คุณหนูอวี้ไม่อาจปักใจว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือพวกเราสกุลหลี่ด้วยเหตุนี้ได้”
อวี้ถังเอ่ยอย่างดูแคลน “ข้าปักใจว่าเป็นฝีมือของพวกเจ้า ในเมื่อคุณชายใหญ่สกุลหลี่กล่าวว่าไม่ใช่ เช่นนั้นก็ขอเจ้าเอาหลักฐานออกมา คงไม่อาจเพียงเพราะประโยคเดียวของเจ้า ก็จบเรื่องนี้ไปเช่นนี้กระมัง? ใต้หล้าแห่งนี้มีที่ไหนกัน เอาแต่ขอร้องคนอื่น ไม่ออกตัวด้วยตัวเองสักนิด!”
ให้สกุลหลี่นำหลักฐานออกมายืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์อย่างนั้นรึ?
หลี่ตวนหันไปมองเผยเยี่ยนอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนนั้นเปลี่ยนไปพิงที่เท้าแขนด้านขวาตั้งแต่ยามใด
เขากล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “ได้! ในเมื่อคุณชายหลี่กล่าวว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสกุลพวกเจ้า ก็นำหลักฐานออกมา”
นี่เผยเยี่ยนจะอยู่ฝั่งสกุลอวี้อย่างนั้นรึ?
หลี่ตวนใจสั่นสะท้าน ทำได้เพียงเอ่ยว่า “คุณหนูอวี้ เย็นวันนั้นที่เว่ยเสี่ยวซานเกิดเรื่อง ไม่มีใครในสกุลหลี่ออกไปข้างนอก ทั้งไม่เคยไปที่สวนที่นา โดยเฉพาะมารดาของข้า ร้านค้าที่เป็นสินเดิมของนางก็มีข้าเป็นผู้ดูแล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องภารกิจทั่วไปในบ้าน ธรรมเนียมระหว่างชายหญิงเข้มงวด เดิมทีนางก็ไม่อาจรู้จักคนลี้ภัยสองคนนี้ได้อยู่แล้ว”
อวี้ถังทนต่อไปไม่ไหวแล้ว นางอดเหน็บแนมขึ้นมาไม่ได้ “คุณธรรมทั้งปวงมีความกตัญญูมาเป็นอันดับแรก ข้ากลับไม่รู้ว่า เรื่องใหญ่เช่นนี้ คุณชายใหญ่สกุลหลี่จะดึงมารดาเข้ามาเกี่ยวพัน หรือคุณชายใหญ่ไม่ใช่ผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องราวในสกุลหลี่กัน?”
หลี่ตวนใบหน้าซีดเผือด
เขาเป็นลูกชาย อย่าพูดว่าเรื่องนี้คนสกุลหลินไม่ได้ทำเลย แม้ว่าคนสกุลหลินจะทำ เขาก็ควรจะยอมรับก่อนจึงจะถูก
เมื่อครู่เขาคิดแต่ว่าหลบให้สกุลหลี่พ้นจากเรื่องนี้ กลับลืมเรื่องพื้นฐานที่สุดอย่างความกตัญญูไป
หลี่ตวนนึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่ง ปราดสายตามองไปรอบๆ อย่างว่องไว
เป็นดังที่คาด แววตาที่ทุกคนมองเขาเริ่มแปลกๆ ขึ้นมาแล้ว
หลี่ตวนลอบสบถอยู่ในใจ
วันนี้คนมีหน้ามีตาของหลินอันส่วนมากล้วนอยู่ที่นี่ หากเขาแสดงออกได้ไม่ดี ชื่อเสียงย่อมป่นปี้ทั้งหมด อย่าพูดว่าเป็นขุนนางเลย แค่เป็นคนเดินอย่างภาคภูมิในเมืองหลินอันก็ยังยาก
“คุณหนูอวี้” เขาเอ่ยทั้งใคร่ครวญ “เจ้าอย่าได้โต้แย้งอย่างไร้เหตุผล ข้าเพียงตอบคำถามเจ้าเท่านั้น เจ้าเอาแต่พูดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมารดาข้า หากข้าเงียบไม่เอ่ยถึงเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นการปล่อยให้เจ้าทำลายชื่อเสียงมารดาของข้าหรอกรึ พูดถึงหลักฐาน ในเมื่อคุณหนูอวี้คิดว่าคนลี้ภัยสองคนนี้เป็นพยานบุคคล ข้ากลับอยากถามว่า คนลี้ภัยพวกนี้กล่าวว่าได้รับคำสั่งจากสกุลข้า เช่นนั้นก็ให้ทั้งสองคนนี้ชี้ตัวคนที่สั่งการพวกเขาออกมา”
เรื่องเข่นฆ่าเอาชีวิตคน ใครจะสั่งการด้วยตัวเองกัน?
อวี้ถังก็รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ จึงไม่อยากไปแจ้งความกับทางการ
นางกวาดสายตามองพวกเศรษฐีที่นั่งอยู่รอบๆ
แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาที่มองหลี่ตวนกลับแฝงไปด้วยความสังเกตพินิจขึ้นหลายส่วน
เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้หว่านติดขึ้นมาแล้ว
เท่านี้ก็เพียงพอ
ส่วนเรื่องแก้แค้น หากปล่อยพวกสกุลหลี่ไปเช่นนี้ ก็ง่ายต่อพวกเขาเกินไป
อวี้ถังยิ้มเย็นในใจ
คนลี้ภัยสองคนล้วนนิสัยดุดัน หลังจากถูกดึงออกมาก็คิดจะหาเรื่องใส่ตัวชี้ตัวยืนยันไปที่หลี่ตวนให้จบไป แต่เมื่อทั้งสองเงยหน้าขึ้นมา เห็นสายตาที่เย็นยะเยือกของอวี้ถัง กลับสั่นสะท้าน
ก่อนหน้านี้อวี้ถังเคยกำชับกับพวกเขาหลายครั้ง ไม่ว่าเรื่องอะไรให้พวกเขาพูดความจริงทั้งหมด อย่าได้พูดปดเกินจริงทั้งอย่าได้คิดเอาเอง หากคำให้การของพวกเขาถูกหลี่ตวนถามจุดที่ไม่เหมาะสมออกมา ยามที่สกุลหลี่ให้พวกเขาทั้งสองเป็นแพะรับบาป สกุลอวี้ย่อมจะยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยว หากพวกเขาสามารถให้คำตอบอย่างซื่อตรง สกุลอวี้ย่อมช่วยชีวิตนี้ของพวกเขาไว้
ยามที่สองพี่น้องยืนในห้องโถงยังไม่เชื่อแต่อย่างใด รอจนเห็นอวี้ถังโต้คารมกับหลี่ตวน ผลักหลี่ตวนลงหลุมพราง ก็อดมั่นใจในตัวอวี้ถังขึ้นมาไม่ได้ ตัดสินใจยืนอยู่ฝั่งของอวี้ถัง
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากัน รับสารภาพว่าคนที่สั่งการพวกเขาคือพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่
หลี่ตวนลอบถอนหายใจ ทั้งรู้สึกผิดหวังอย่างเลือนรางอยู่บ้าง
หากสองคนนี้สารภาพว่าเป็นเขาบงการคงจะดี
เขาย่อมจะถามจนทั้งสองคนพูดไม่ออก ทำให้ทุกคนสงสัยว่าสองคนนี้ถูกสกุลอวี้จ้างมาเพื่อใส่ร้ายสกุลหลี่เท่านั้น
น่าเสียดาย
ดูภายนอกทั้งสองคนมีท่าทีโหดร้าย กลับคาดไม่ถึงว่าจะกระทำเรื่องอย่างโง่เขลาเช่นนี้
“คุณหนูอวี้” หลี่ตวนรอจนทั้งสองคนพูดจบ ก็แสร้งทำท่าทีละอายใจออกมาทันที “เรื่องนี้ข้ายังเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ข้าจะไปเรียกพ่อบ้านใหญ่มาไถ่ถามให้กระจ่างเดี๋ยวนี้”
สกุลใหญ่โตอย่างสกุลหลี่นี้ โดยปกติพ่อบ้านใหญ่มักจะเป็นลูกบ่าวที่เกิดในเรือนเจ้านายไม่ก็ลูกหลานบ่าวที่สืบทอดมาเป็นเวลานาน อาศัยอยู่ที่สกุลหลี่หลายชั่วอายุคน ครอบครัวลูกหลานที่เกี่ยวดองกันล้วนอยู่ในเรือนดีๆ ย่อมไม่อาจตัดสินใจโดยพลการได้อยู่แล้ว ทั้งแม้จะเรียกตัวคนมา พ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่ก็ไม่อาจเอ่ยชื่อคนบงการออกมาได้อยู่ดี
ทุกคนล้วนมีคำตอบในใจตัวเอง
เป็นสกุลหลี่ที่สังหารเว่ยเสี่ยวซาน
แม้ยามนี้จะไม่อาจลงโทษฆาตกรที่แท้จริงได้ แต่ข้อเท็จจริงของเรื่องราวก็ได้ถูกเปิดเผยแล้ว
นายท่านเว่ยหลั่งน้ำตาราวกับสายฝน
พวกเศรษฐีชนบทที่เห็น ต่างก็รู้สึกเศร้าใจไปด้วย
เลี้ยงลูกชายจนเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ กำลังจะได้ก่อร่างสร้างตัว ก็จากไปเช่นนี้เสียแล้ว ทั้งไร้วิธีจะร้องทุกข์หาความเป็นธรรม ไม่ว่าใครก็ยากจะรับได้ทั้งนั้น
นายท่านอู๋หยัดกายขึ้นตบไหล่นายท่านเว่ย เอ่ยว่า “ข้าขอแสดงความเสียใจด้วย”
พวกเศรษฐีคนอื่นๆ ก็พากันเข้ามาปลอบใจนายท่านเว่ยเช่นกัน
นายท่านเว่ยขอบคุณทุกคนด้วยดวงตาแดงก่ำ “ขอบคุณพวกเจ้าที่มาได้ในวันนี้!”
นายท่านอู๋หาโอกาสที่จะต่อบทสนทนากับเผยเยี่ยนมาโดยตลอด เอ่ยขึ้นมาทันที “พวกเราอะไรกัน ยังต้องขอบคุณนายท่านสามสกุลเผย หากไม่ใช่ผู้มีพระคุณอย่างเขา พวกเราก็ไม่อาจรวมตัวกันได้หรอก”
ผู้มีพระคุณ…
อวี้ถังอดเบะปากเล็กน้อยไม่ได้
เผยเยี่ยนชายตามองอวี้ถังไปที
นี่นางหมายความว่าอย่างไร?
หรือเรื่องนี้ไม่ควรขอบคุณเขาอย่างนั้นรึ?
หากเขาไม่ออกหน้า สกุลอวี้ของพวกเขาจะสามารถพูดได้กระจ่างชัดถึงเช่นนี้รึ?
นึกมาถึงตรงนี้ เผยเยี่ยนก็เรียกชื่อปู่สิบสองของบ้านสายตรงสกุลหลี่ที่ไม่ปริปากกล่าวอันใดมาโดยตลอดขึ้นมา “เรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านมีอะไรอยากจะพูดหรือไม่?”
—————————–
[1]ผีซิว เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีน รูปร่างคล้ายสิงห์หรือราชสีห์ ใช้กำจัดสิ่งอัปมงคลชั่วร้ายต่างๆ
[2]เหยียบจมูกขึ้นหน้า อุปมาว่า ให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่ง นอกจากอีกฝ่ายไม่ยอมรับน้ำใจแล้ว ยังไม่ไว้หน้า