ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 69 (3)
อวี้ถังยืนนิ่งอยู่กับที่ สายตาเย็นเยียบมองหลี่ตวนที่เพิ่งได้สติกลับมา พยายามแก้ไขความผิดของตัวเองอย่างอุตลุด “น้องรอง ต่อให้ต้องไปขอโทษสกุลอวี้แทนท่านแม่ ก็สมควรเป็นพี่ชายคนนี้ที่ออกหน้า เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ข้าจะจัดการให้เรียบร้อยเอง”
พูดจบ เขาก็หันไปประสานมือคารวะให้เผยเยี่ยน ปู่สิบสอง อวี้เหวินและนายท่านเว่ยคนละหนึ่งที เอ่ยปากด้วยท่าทางและน้ำเสียงจริงใจว่า “แม่นางอวี้พูดมีเหตุผล เป็นข้าที่จัดการเรื่องราวอย่างไม่เป็นกลาง คิดถึงแต่ความลำบากของสกุลตนเพียงฝ่ายเดียว แต่ไม่เคยคำนึงถึงมุมของแม่นางอวี้มาก่อน พวกท่านคิดว่าเช่นนี้ได้หรือไม่ ข้าจะทำบุญอุทิศให้คุณชายรองสกุลเว่ยที่วัดเจาหมิงสามวัน จากนั้นก็ไปขอโทษสกุลอวี้แทนท่านแม่ของข้า!”
เขามองพวกอวี้เหวินอย่างรอคอยคำตอบ
อวี้ถังได้ฟังกลับแสยะยิ้มในใจ
ตอนที่ทะเลาะกับนางรู้สึกว่าการขอโทษเป็นเรื่องน่าอับอาย รอจนหลี่จวิ้นออกความเห็นหลี่ตวนกลับฉวยโอกาสเอาความดีเข้าตัว ใต้หล้ามีเรื่องดีๆ เช่นนี้ที่ไหนกัน!
ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต่างกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่า พวกนางสกุลอวี้ต้องลำบากยากเย็นเพียงใดกว่าจะได้รับคำขอโทษจากสกุลหลี่ แต่คนนอกที่รอดูความครึกครื้นกลับไม่มีใครรับรู้ เวลานั้นคงเห็นเพียงหลี่ตวนคุกเข่าร้องขอการอภัยจากสกุลอวี้อยู่ที่หน้าประตู คงคิดว่าเขามีคุณธรรมสูงส่ง กตัญญูต่อมารดา รู้ว่าสกุลของตนทำเรื่องผิดๆ ก็ยังมาขอรับโทษด้วยความจริงใจ!
นางทำอะไรไปตั้งมากมาย หรือว่าเพียงเพื่อให้หลี่ตวนมาเด็ดลูกท้อได้ชื่อเสียงดีงามไปในตอนจบอย่างนั้นรึ?!
ต่อให้ต้องไปคุกเข่าที่หน้าเรือนนาง ก็ต้องให้หลี่จวิ้นเป็นคนคุกเข่าถึงจะถูก
หลี่ตวนยังเป็นสุนัขที่ชอบกินอุจจาระ[1]เหมือนเดิม ชาติก่อนก็ทำเรื่องทำนองนี้มานับไม่ถ้วน
อวี้ถังก้าวออกไปข้างหน้า คิดจะคัดค้าน แต่กลับถูกบิดาดึงเอาไว้เสียก่อน
ก่อนหน้านี้ที่อวี้เหวินยินยอมให้อวี้ถังออกหน้า เพราะเขาไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่อวี้ถังจะทำ อีกอย่าง อวี้ถังมีความแค้นในใจ เขาอยากให้นางได้ระบายมันออกมา ไม่ต้องอัดอั้นเก็บกดเอาไว้ ต่อไปมีแต่จะกลายเป็นโรคทางใจเสียเปล่าๆ
บัดนี้ เรื่องราวได้จบลงแล้ว เขาไม่อยากให้บุตรสาวต้องออกหน้าออกตาอีก
หากว่าเพราะเหตุนี้ต้องทำให้คหบดีทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ต้องมีความทรงจำที่ไม่ดีต่อบุตรสาวของตน ต่อให้สกุลอวี้ของพวกเขาจะทำให้สกุลหลี่ลำบากเพียงใด ลงโทษสกุลหลี่อย่างไร ก็ไม่เพียงพอจะกู้คืนชื่อเสียงที่เสียหายไปของบุตรสาวกลับมาได้
อวี้ถึงนั้น แม้จะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าไม่ไยดี บอกว่าหากลงมือแล้วก็ต้องทำอย่างเด็ดขาด แต่เขาก็ปวดใจแทนบุตรสาว กลัวว่านางจะเป็นอะไรไป เขาไม่กล้าเอานางไปเสี่ยงแน่
“อาถัง!” อวี้เหวินทำหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยเสียงเบากับนาง “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งแล้ว เจ้าต้องฟังข้า มีเรื่องอันใด ข้าจะเป็นคนคุยกับสกุลหลี่เอง นับแต่นี้ เจ้าไปยืนนิ่งๆ เป็นเด็กดีอยู่หลังอาหย่วนเสีย เหมือนกับตอนที่เจ้าเพิ่งจะเข้ามา เจ้าฟังเข้าใจแล้วหรือไม่?”
หายากนักที่บิดาจะใช้คำพูดนุ่มนวลเช่นนี้กับนาง อวี้ถังเข้าใจการตัดสินใจของบิดาทันที
แต่ในใจนางก็ยังรู้สึกไม่เป็นธรรม
“ท่านพ่อเจ้าคะ” นางเรียกบิดาเสียงเบา “ต้องใช้เรื่องอกตัญญูเล่นงานเขาให้ได้ ไม่ควรปล่อยเขาไปเด็ดขาด”
“ข้ารู้แล้ว” หากบอกว่าแต่ก่อนอวี้เหวินรู้สึกชื่นชมหลี่ตวนมากเพียงใด ตอนนี้ก็รู้สึกผิดหวังมากเพียงนั้น
หลี่อี้ไม่อยู่ที่จวน หลี่ตวนก็เป็นบุตรชายคนโตที่ดูแลสกุลได้ หากจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้ที่สกุลหลี่กระทำไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่กระผีก ใครจะไปเชื่อลงกัน แต่หลี่ตวนทางหนึ่งทำเรื่องเลวๆ ทางหนึ่งก็อยากล้างมลทินให้สะอาด ต่อให้เป็นพวกแม่นางหอโคมเขียว ก็คงมีไม่กี่คนที่กล้าทำเช่นนี้
หลี่ตวน ก็แค่วิญญูชนจอมปลอมผู้หนึ่งเท่านั้น
อวี้เหวินตบไหล่อวี้ถังราวจะปลอบโยนนาง แล้วดันนางไปอยู่เบื้องหล้ง ก่อนจะประสานมือคารวะพวกของเผยเยี่ยนทีละคน “เรื่องเกิดย่อมมีเหตุ แต่ไม่จำเป็นต้องเหมารวมโดยไม่รู้แบ่งแยก การตายของคุณชายสกุลเว่ยคือประเด็นสำคัญ และเป็นเหตุผลหลักที่พวกเรามาที่นี่ในวันนี้ ส่วนเรื่องที่จะไปขอโทษขอโพยสกุลอวี้ เป็นแค่เรื่องรองเท่านั้น ทว่า ใครเป็นคนก่อเรื่องย่อมต้องเป็นคนเก็บกวาด ในเมื่อเรื่องลักพาตัวมีคุณชายรองสกุลหลี่เป็นผู้ใจร้อนอยากครอบครองหงส์จนก่อเรื่องขึ้น เช่นนั้นก็ให้คุณชายรองสกุลหลี่เป็นผู้แก้ปัญหาเถิด!”
ความหมายก็คือ ให้หลี่จวิ้นเป็นคนไปขอขมาสกุลอวี้
อวี้เหวินพูดเอาไว้อย่างชัดเจนเด็ดขาด ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนมีแต่คนเฉลียวฉลาด ได้ฟังแล้วก็ไม่ต้องอธิบายคำใดอีก
ซึ่งก็ตรงกับใจของเผยเยี่ยนพอดี
สกุลหลี่กล้าเลี้ยงผู้ลี้ภัยเอาไว้มากมายในถิ่นของสกุลเผย ไม่เพียงไร้ความสามารถปิดเรื่องให้มิดชิด ทั้งยังทำเหมือนพวกเขาเป็นคนโง่เง่า จึงต้องให้บทเรียนกับสกุลหลี่เสียบ้าง
แล้วจะสั่งสอนสกุลหลี่อย่างไรดีเล่า?
เช่นนั้นก็เริ่มจากบุตรชายคนโตสกุลหลี่ที่มีชีวิตรุ่งเรืองดั่งใจเป็นคนแรกก็แล้วกัน!
เผยเยี่ยนเอ่ยขึ้นหลังดื่มชาไปคำหนึ่ง “นายท่านอวี้พูดจามีเหตุผล คนวัยหนุ่มสาว ใครบ้างไม่เคยทำผิด แต่เมื่อผิดแล้วยังรู้จักแก้ รู้จักรับผิดชอบ ย่อมเป็นเรื่องที่ประเสริฐสุดแล้ว คุณชายรองสกุลหลี่มีความกล้าหาญและตระหนักรู้เพียงนี้ พวกเราที่เป็นผู้อาวุโส ไม่เพียงต้องปกป้องทั้งยังต้องส่งเสริมด้วย เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้แล้วกัน”
หลี่ตวนย่อมไม่พอใจแน่ เขากำลังจะเปิดปากพูด แต่ก็ไม่อาจห้ามน้องชายแสนโง่งมของตนได้
หลี่จวิ้นซาบซึ้งจนตาแดงก่ำ เดินขึ้นไปเบื้องหน้าอย่างนอบน้อมแล้วประสานมือก้มตัวต่ำคารวะเผยเยี่ยน ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาสายตาก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่ “นายท่านสาม ปู่สิบสอง ท่านอาเหอ ข้า ข้าต่อไปจะระวังกิริยาให้ดี ประพฤติตนให้ถูกต้อง จะไม่ก่อเรื่องเช่นนี้ให้เหล่าผู้อาวุโสต้องกังวลใจอีก”
ปู่สิบสองซึ่งเป็นบ้านสายตรงของสกุลหลี่ก็เป็นคนปราดเปรื่อง มิเช่นนั้นตั้งแต่เข้าประตูมาก็คงไม่ทำตัวเหมือนคนใบ้ เห็นหลี่จวิ้นทำให้หลี่ตวนต้องหน้าม้านไปทีหนึ่ง ก็รู้สึกว่ามองหลี่จวิ้นแล้วสบายตาขึ้นเป็นกอง น้ำเสียงที่เอ่ยต่อเขาจึงนุ่มนวลมีเมตตากว่าปกติ “เจ้าก็ไม่ต้องรู้สึกกังวลไปหรอก นายท่านสามพูดถูกต้องแล้ว ตอนเป็นหนุ่มสาวใครบ้างไม่เคยทำผิด รู้จักแก้ไขให้ถูกเป็นใช้ได้” จากนั้นก็หันไปพูดกับอวี้เหวินและนายท่านเว่ยเป็นเชิงช่วยหลี่จวิ้นว่า “ท่านทั้งสองว่าใช่หรือไม่เล่า?”
เรื่องนี้เป็นเรื่องของสกุลอวี้ ในเมื่ออวี้เหวินออกปากแล้ว นายท่านเว่ยยังจะพูดอะไรได้อีก?
เขาพยักหน้าหงึกหงัก แล้วถือโอกาสส่งเสริมอวี้เหวิน “เจตนารมณ์ของนายท่านอวี้ก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อทุกท่านคิดเห็นไปในทางเดียวกัน ก็เหมือนกับที่นายท่านสามพูด เรื่องนี้ก็ให้ตกลงตามนี้เถอะ”
นายท่านอู๋มองแล้วกลับส่ายศีรษะในใจ
คุณชายรองสกุลหลี่ผู้นี้ นับว่าเถรตรงซื่อสัตย์ เป็นลูกไม้ที่หล่นไกลต้นทีเดียว
“สมควรยิ่งแล้ว สมควรยิ่งแล้ว!” เหล่าคหบดีชนบทที่นั่งอยู่ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งมีบางคนอยากประจบเผยเยี่ยน จึงหันไปกำชับหลี่จวิ้นว่า “เรื่องนี้เจ้าต้องขอบคุณนายท่านสามให้มากเชียวล่ะ นายท่านสามชมชอบผู้มีความสามารถ ถึงได้ยอมปกป้องเจ้าเช่นนี้ ต่อไปเจ้าต้องอยู่ในกรอบที่ถูกต้องดีงาม อย่าได้ทำลายความหวังดีของนายท่านสามล่ะ”
หลี่จวิ้นเอ่ยรับคำไม่หยุดปาก
หน้าผากของหลี่ตวนกลับมีเส้นเลือดปูดขึ้น แทบทนไม่ไหว อยากจะจับน้องชายของตนเองโยนออกไป
ตั้งแต่เล็กเขาก็รู้ว่าหลี่จวิ้นนั้นโง่เง่า แต่ไม่คิดว่าจะโง่เง่าถึงขั้นนี้
ไม่ได้ กลับไปเขาต้องบอกเรื่องนี้กับบิดา ให้บิดาพาหลี่จวิ้นติดตามไปด้วย อย่าทิ้งไว้ที่เรือนคอยสร้างความวุ่นวายให้เขา
หลี่ตวนคิดเอาไว้เป็นมั่นเหมาะเป็นเหมาะ ในใจจึงเริ่มรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินอวี้เหวินพูดว่า “เรื่องขอโทษจบไปแล้ว แต่คุณชายรองสกุลเว่ยไม่ควรจะตายจากไปเช่นนี้ พวกเราควรจะหารือกันหน่อยหรือไม่ว่าจะลงโทษฆาตกรอย่างไร?”
ทุกคนพากันชะงัก ต่างสบตากันไปมา
เรื่องนี้ยังไม่จบอีกหรอกรึ?
แล้วพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่มิใช่ยอมเป็นแกะดำให้สกุลหลี่แล้วหรือไร?
สกุลอวี้ยังต้องการสิ่งใดอีก?
นายท่านอู๋กับสกุลอวี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทั้งเป็นอวี้เหวินที่เชิญเขามา แม้เขาเองก็ไม่รู้ว่าอวี้เหวินคิดจะทำอะไร แต่นี่ก็ไม่เป็นอุปสรรคที่เขาจะออกหน้าช่วยเหลือสกุลอวี้อีกแรง
เขากล่าวว่า “หลี่ฮุ่ย เจ้ามีคำพูดอะไรก็พูดออกมาต่อหน้านายท่านสามเสีย เรื่องใดๆ ล้วนแต่หารือได้ทั้งสิ้น! เหมือนเรื่องขอขมาเมื่อครู่นี้ สุดท้ายพวกเราก็เห็นพ้องต้องกัน ว่าให้คุณชายรองสกุลหลี่เป็นคนขอโทษแทนฮูหยินหลี่มิใช่หรือ?”
หลี่ตวนได้ฟังก็อดจะลอบกัดฟันไม่ได้
นี่พวกเขารวมหัวกันอย่างนั้นหรือ?
คหบดีพวกนี้ ทำเช่นนี้เพื่อที่จะสอพลอนายท่านสามช่างไร้ยางอายเสียเหลือเกิน
ทั้งๆ ที่ดูจากอายุก็แทบจะเป็นบิดาของเผยเยี่ยนได้แล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ทำเป็นเรียกนายท่านสามอย่างโน้น นายท่านสามอย่างนี้ คงอดใจแทบตายไม่ให้เผลอเรียกเผยเยี่ยนว่า ‘น้องชาย’ กระมัง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลี่ตวนก็เริ่มไม่สบอารมณ์
เมื่อไรกันหนอ ที่เขาจะเป็นอย่างเผยเยี่ยนได้ เดินไปทางใดก็มีแต่คนนับหน้าถือตาเป็นผู้อาวุโส ยกย่องให้เป็นผู้น่าเคารพ…
อวี้เหวินรอคำนี้อยู่พอดี จึงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “ผู้ลี้ภัยสองคนกับพ่อบ้านใหญ่ของสกุลหลี่ส่งตัวให้ทางการลงโทษตามระเบียบ นี่ก็เป็นกฎหมายที่ประชาชนอย่างข้าสมควรยืดถือปฏิบัติ แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเพราะสกุลหลี่บกพร่องเรื่องการคุมบริวาร จนทำให้พ่อบ้านใหญ่ทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ หากไม่ลงโทษให้เข็ดหลาบ ยากจะรับประกันว่าจะไม่มีคนแบบพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่โผล่ขึ้นมาอีก ตามความคิดข้า นอกจากจะลงโทษพ่อบ้านใหญ่แล้ว ครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่กับเหล่าสตรีทั้งหมดก็สมควรถูกขับไล่ออกจากเรือน เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูถึงจะถูก”
มุมปากของหลี่ตวนแทบจะบิดเบี้ยวด้วยความโมโห
ทุกคนต่างรู้กันว่าพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่เป็นแพะรับบาปแทนเจ้านาย ยังไม่พูดถึงว่าเจ้านายไม่เพียงรักษาชีวิตเขาไว้ไม่ได้ กระทั่งญาติพี่น้องของเขาก็ปกป้องไม่ได้ด้วยซ้ำ เช่นนี้ต่อไปใครจะกล้ารับใช้พวกเขาสกุลหลี่อีก!
นี่จะต่างอะไรกับการให้มารดาของเขาไปโขกศีรษะขอขมาสกุลอวี้เล่า!
สกุลอวี้จะรังแกผู้อื่นมากเกินไปแล้ว
คิดจริงๆ หรือว่าสกุลหลี่ของพวกเขาจะเกรงกลัวสกุลอวี้?
คำว่า ‘ไม่ได้’ รออยู่ที่ปากแล้ว ทว่าหูของหลี่ตวนกลับได้ยินเสียงเย็นชาชัดเจนของเผยเยี่ยนดังขึ้น “ใช้ได้! หนึ่งคนทำผิด ทั้งสกุลต้องถูกลงโทษ บ้านเมืองเราก็มีกฎ จะได้ตักเตือนพวกไม่รู้จักรักษาระเบียบไปในตัวด้วย ต่อให้รัชทายาทกระทำผิด ก็ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นเดียวชาวบ้าน ใครก็ไม่อาจได้รับการยกเว้น”
“นายท่านสาม!” สีหน้าของหลี่ตวนดำทะมึนเหมือนก้นหม้อ “เรื่องนี้ควรต้องพูดคุย…”
เพียงแต่ไม่รอให้เขาพูดจบ คนที่ยืนเป็นเงาอยู่ข้างหลังหลี่เหอผู้เป็นบิดามาตั้งแต่ต้นก็เดินออกมากล่าวตำหนิหลี่ตวนว่า “ยังไม่หุบปากอีก! ที่นายท่านสามฟังเจ้าพูด ก็เพราะเขามีจิตใจกว้างขวาง เห็นแก่ที่เจ้าเป็นผู้น้อย เจ้าอย่าได้ไม่รู้หนักเบา ไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่ เรื่องนี้มีพวกเราบ้านสายตรงตกลงรับปากแทนเจ้าแล้ว เจ้าถอยออกไปเสีย ไม่ต้องพูดจาเหลวไหลอีก”
“ท่านอาเหอ” หลี่ตวนย่อมไม่เห็นหลี่เหออยู่ในสายตา เขาพูดด้วยเสียงอันดังว่า “คนพวกนั้นเป็นบ่าวรับใช้ที่จวนข้ามาตั้งกี่รุ่นแล้ว เหตุใดไม่ถามดีชั่วก็ไล่คนออกไปจากจวนเสียเล่า…”
หลี่เหอรอโอกาสที่หลี่ตวนจะตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นนี้มาตลอด เขาไม่ยอมให้หลี่ตวนเอาตัวรอดไปได้ง่ายๆ
เขาเอ่ยเสียงก้องว่า “หลี่ตวน เจ้าคิดจะข้ามหน้าบ้านสายตรงแล้วทำตามใจตัวเองอย่างนั้นรึ?”
หลี่ตวนอยากจะตอบออกไปทันทีว่า ‘ก็ใช่น่ะสิ’
แต่เขาพูดไม่ได้
สายหลักสายรอง ผู้ใหญ่ผู้น้อย เป็นกฎบ้านที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หากว่าสิ่งนี้ถูกทำลายลง ใต้หล้าคงต้องวุ่นวายแน่
ต่อให้ในใจเขาจะไม่แยแสบ้านสายตรงอะไรนั่น แต่ก็ไม่อาจพูดออกมาดังๆ ได้
หลี่ตวนได้แต่หุบปากอย่างอัดอั้น ในใจก็คำนวณแล้วว่าสกุลเผยไม่มีทางถือรายชื่อไปตรวจนับบ่าวรับใช้ของจวนเขาทีละคนแน่ รอให้ออกไปจากตรงนี้ได้แล้ว เขาต้องคิดหาทางช่วยพ่อบ้านใหญ่ รวมถึงครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่ด้วย ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงปะทะกับพวกเขา
ใจเขาถึงเริ่มสงบลงได้
เผยเยี่ยนถือถ้วยน้ำชาอยู่ในมือ เอ่ยเสียงราบเรียบและฟังชัดว่า “ข้าได้รับเกียรติจากเพื่อนบ้านสกุลอวี้และสกุลเว่ย สองสกุล เชิญให้มาเป็นคนกลางตัดสิน ความเห็นของข้าได้แสดงไว้ตรงนี้แล้ว สกุลหลี่จะทำตามหรือไม่…หนึ่งข้ามิใช่ขุนน้ำขุนนาง สองก็มิได้เป็นผู้ตรวจการใดๆ สุดท้ายก็ต้องอยู่ที่สกุลหลี่แล้ว เรื่องวันนี้ก็ขอให้พอเท่านี้เถอะ ข้ายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่สะดวกเชิญทุกท่านดื่มสุรา วันนี้ขอไม่รั้งตัวทุกท่านไว้ รอให้พ้นช่วงนี้ไป ค่อยขอเป็นเจ้ามื้อเลี้ยงสุรามื้อใหญ่ ถึงเวลานั้นขอพวกท่านอย่าได้รังเกียจและสละเวลามาร่วมงานด้วย”
นี่คือวาจาส่งแขก
“นายท่านสามเกรงใจเกินไปแล้ว!”
“ต้องมาแน่ ต้องมาแน่!”
“เช่นนั้นเชิญท่านไปพักผ่อนเถิด พวกข้าขอตัวลา!”
ทุกคนต่างทยอยลุกยืนขึ้น
เผยเยี่ยนก็ไม่มีทีท่าเกรงใจใคร เขาลุกยืนขึ้น เพื่อเป็นการส่งแขก
หากเป็นเมื่อก่อนท่านผู้เฒ่าสกุลเผยล้วนแต่ไปส่งทุกคนถึงหน้าประตูด้วยตนเอง
คหบดีชนบทเหล่านี้ไม่ค่อยจะคุ้นเคย แต่เห็นแก่ที่เผยเยี่ยนอายุยังน้อย ทั้งยังเป็นจิ้นซื่อสองป้าย จึงคิดว่านี่ก็สมเหตุสมผลดี
หลังจากอวี้เหวินกับนายท่านเว่ยกล่าวขอบคุณเผยเยี่ยนอย่างเป็นกิจลักษณะแล้ว ก็เดินตามคนอื่นๆ ออกไป ทว่ากลับถูกเผยเยี่ยนเรียกเอาไว้ก่อน “นายท่านอวี้ โปรดอยู่ก่อน ข้ายังมีเรื่องเล็กน้อยอยากขอคำชี้แนะ!”
——————————