ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 7 หาหมอ
ภาพวาด ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ของหลี่ถังในราชวงศ์ก่อนเป็นภาพที่มีชื่อเสียง นับเป็นวัตถุเก่าแก่
ราคาสองร้อยตำลึงนี้ นับว่าไม่แพง
อีกทั้งอวี้เหวินยังชื่นชอบมากเป็นพิเศษ ดูท่าหลู่ซิ่นตอนนี้ก็กำลังลำบาก ในฐานะสหายของหลู่ซิ่น ด้วยน้ำใจหรือเหตุผลของอวี้เหวินก็ดี สมควรจะซื้อภาพนี้เอาไว้
ทว่าสองวันนี้ อวี้ถังเพิ่งจะคำนวณบัญชีให้เขาดู
ถ้าหากว่าซื้อภาพนี้ไว้ก็จะไม่เหลือเงินซื้อยาให้ภรรยาแล้ว
ความโปรดปรานของเขาไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด อาการป่วยของภรรยาต่างหากที่มาเป็นอันดับแรก
อวี้เหวินแม้จะมีนิสัยอ่อนโยน จัดการเรื่องราวโดยละมุนละม่อม แต่ใครมีน้ำหนักมากน้อยกว่ากันนั้นกลับแยกแยะได้ชัดเจน
“พี่หลู่” ดวงหน้าเขาขึ้นสีแดงเรื่อ “เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า เจ้าก็น่าจะรู้ ร้านค้าของสกุลข้าถูกไฟไหม้ไปแล้ว ตอนนี้ข้าไม่มีเงินมากเพียงนั้นหรอก…” พูดไป ก็เดินไปหยิบภาพวาดนั้นมาคืนให้หลู่ซิ่น “เจ้าลองถามผู้อื่นดูว่ามีใครชมชอบภาพนี้หรือไม่…”
หลู่ซิ่นไม่เชื่อ กล่าวว่า “สกุลเจ้าแต่เดิมก็มีทรัพย์ ทั้งหาได้มีภาระอะไร เงินแค่สองร้อยตำลึงมีหรือจะจ่ายไม่ไหว?”
อวี้เหวินรู้สึกอับอายกว่าเก่า เอ่ยว่า “ยังต้องเก็บเงินไว้ให้นายหญิงที่เรือนข้ารักษาตัวอีก”
หลู่ซิ่นไม่พอใจ
ไม่ว่าอย่างไรอวี้เหวินก็ไม่ยอมอ่อนข้อ เพียงพูดออกไปตรงๆ “เป็นข้าที่ทำผิดต่อพี่หลู่”
หลู่ซิ่นยังตามกัดไม่ปล่อย “ใช่ว่าเจ้ายังมีที่นาชั้นดีอีกหนึ่งร้อยหมู่หรือ?”
หลินอันมากด้วยภูเขา น้อยด้วยที่นา หากเป็นเขตพื้นที่อื่น ที่นาหนึ่งร้อยหมู่ขายได้ประมาณห้าถึงหกร้อยตำลึง แต่ที่หลินอัน อาจขายได้ถึงหนึ่งพันตำลึงเป็นอย่างต่ำ
อวี้เหวินงึมงำตอบไปว่า “ค่ารักษาภรรยาข้าเดิมก็ไม่ค่อยจะพออยู่แล้ว กลัวว่าถึงตอนนั้นคงต้องขายที่ขายทาง ข้าไม่อาจยอมให้การรักษาของนางต้องติดขัดเพราะมีข้าเป็นต้นเหตุ”
หลู่ซิ่นคิดจะเปิดปากพูดต่อ ทว่าอวี้ถังที่เพิ่งรู้ข่าวแล้วรีบบึ่งตามมา พลันเมื่อมาถึงก็ผลักประตูเข้ามาพอดี นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มแฉล้มว่า “ท่านลุงหลู่หากว่าขัดสนร้อนเงิน ไม่สู้เอาภาพนี้ไปจำนำชั่วคราวก่อน รอให้การเงินในมือใช้จ่ายคล่องแล้ว ค่อยไปไถ่กลับมาก็ไม่สาย โรงจำนำสกุลเผยนับว่าเที่ยงธรรมโดยแท้”
ชาติก่อน นางเคยเอาสิ่งของไปจำนำ แม้ราคาจะถูกกดจนต่ำ แต่เทียบกับโรงจำนำอื่นๆ แล้ว กลับนับว่าไม่เลวร้ายเลยทีเดียว
หลู่ซิ่นรู้สึกเสียหน้า ใบหน้าจึงเปลี่ยนสีทันใด เอ่ยปากกับอวี้เหวินว่า “แม้สกุลอวี้จะเป็นแค่สกุลพ่อค้า แต่ในสกุลยังพอมีบัณฑิตอย่างเจ้าอยู่คนหนึ่ง เป็นสาวเป็นนาง ควรจะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนฝึกวิชาเย็บปักถักร้อยให้มากหน่อยจึงจะเข้าที!”
อวี้เหวินเริ่มเหงื่อตก
อวี้ถังกลับแสยะยิ้มในใจ เบิกตารูปผลซิ่ง[1]ทั้งสองข้างจนโต แสร้งทำทีเป็นไร้เดียงสาแล้วเอ่ยว่า “วาจานี้ของท่านลุงหลู่เอ่ยได้ผิดถนัด ข้ายังช่วยท่านพ่อวิ่งเอาของไปจำนำอยู่บ่อยๆ เลยนะเจ้าคะ”
อวี้เหวินพลันชะงักคำที่กำลังจะเอ่ยออกไปทันที
เขามองออกว่าบุตรสาวคงกลัวว่าเขาจะให้หลู่ซิ่นหยิบยืมเงิน
เห็นชัดว่านางเป็นกังวลอย่างหนักว่าเขาจะผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับนาง
อวี้เหวินรู้สึกปวดใจ เปลี่ยนใจคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หลู่ซิ่นจะได้ไม่มาตำหนิเขา ว่าไม่ยอมยื่นมือช่วยเหลือเมื่อสหายตกทุกข์ได้ยาก
หลู่ซิ่นก้าวขาฉับๆ จากไปด้วยความโมโห
อวี้ถังสะใจยิ่งนัก นางเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คนสกุลเฉินผู้เป็นมารดาฟัง “ท่านดูสิเจ้าคะ เพื่อท่านแล้ว ท่านพ่อถึงขั้นยอมล่วงเกินท่านลุงหลู่ อีกเดี๋ยวถ้าเจอท่านพ่อ ท่านแม่ต้องปลอบใจท่านพ่อดีๆ นะเจ้าคะ”
คนสกุลเฉินได้ฟังดวงตาสองข้างก็รื้นชื้น กลับห้องไปก็เอ่ยขอบคุณอวี้เหวิน
เช้าตรู่วันที่สอง อวี้ถังกับมารดาถืออาหารแห้งและกับข้าวง่ายๆ ที่เตรียมไว้ตามอวี้เหวินไปส่งอวี้ป๋อและอวี้หย่วนออกเดินทาง
อวี้ป๋อสั่งกับอวี้เหวินไว้ว่า “เรื่องของร้านค้าเจ้าไม่ต้องทำสิ่งใด รอให้ข้ากลับมาค่อยหารือกัน”
อวี้เหวินพยักหน้ารับหลายที
หลังจากส่งอวี้ป๋อจากไปแล้ว เขายังไปเยี่ยมเยียนเรือนพ่อค้าที่ประสบกับเหตุการณ์ไฟไหม้อีกหลายคนด้วยความเป็นห่วง ตกค่ำกลับมาถึงเรือนก็ถอนหายใจเอ่ยกับภรรยาว่า “ทุกคนต่างก็รอดูท่าทีของสกุลเผย! มีสองครอบครัวคิดจะกลับไปทำนาที่บ้านเก่าแล้วขายพื้นที่ร้านทิ้ง เพียงแต่เวลาแบบนี้ นอกจากสกุลเผยแล้ว ยังมีสกุลใดยินดีจะมารับช่วงต่อ ทั้งไม่รู้เลยว่าปัญหาของสกุลเผยจะสะสางลงเอยได้เมื่อไร”
อวี้ถังสนใจใคร่รู้เรื่องของสกุลเผยนัก จึงถามว่า “คนในสกุลเผยแตกคอกันจริงๆ อย่างที่ท่านลุงหลู่เล่าให้ฟังไหมเจ้าคะ?”
“ลุงหลู่ของเจ้าน่าจะพูดจาเกินจริงไปหน่อย” อวี้เหวินตอบ “ครอบครัวสกุลเผยล้วนเป็นบัณฑิต มีวิชา รู้มารยาท แล้วจะทะเลาะกันได้อย่างไร? อย่างมากก็อาจจะพี่น้องโต้เถียงกันสองสามประโยค อีกอย่างท่านผู้เฒ่าเผยก็ยังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายจะสรุปอย่างไร ก็ต้องฟังคำจากท่านผู้เฒ่าเผยอยู่ดี”
กลัวแต่ว่าท่านผู้เฒ่าคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานน่ะสิ
อวี้ถังแอบคิดอยู่ในใจ
หลู่ซิ่นผู้นั้นพลันย้อนกลับมาอีก
นางเริ่มจะรู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว งอแงกับบิดาจะตามไปห้องหนังสือด้วย
ครั้งนี้หลู่ซิ่นไม่ได้มาเสนอขายภาพวาดของเขาแล้ว แต่นำข่าวใหม่มาบอกต่อสกุลอวี้ว่า “หวังไป๋ก็เดินทางมาจากเขาผู่ถัวแล้วเช่นกัน!”
อวี้เหวินทั้งตกใจและยินดี
หลู่ซิ่นอดจะเอ่ยอย่างอิจฉาไม่ได้ “ยังคงเป็นสกุลเผยที่เก่งกาจ! เกษียณอายุเร้นกายอะไรกัน แค่เทียบเชิญของสกุลเผยที่ส่งออกไป หวังไป๋ก็กระหืดกระหอบวิ่งมาถึงหลินอันแล้ว”
อวี้เหวินเอ่ยว่า “จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก ท่านผู้เฒ่าเผยเป็นคนดี เมื่อเขาล้มป่วย หมอหลวงหยางก็ดี หมอหลวงหวังก็ดี หากพอช่วยได้ก็คงอยากช่วยกระมัง!”
“เหอะ!” หลู่ซิ่นกลับไม่เห็นด้วย เอ่ยว่า “มีคนจิตใจดีเช่นนั้นเสียที่ไหนเล่า!”
อวี้เหวินยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วน
หลู่ซิ่นพูดต่อว่า “ข้าช่วยเจ้าตระเตรียมไว้หมดแล้ว พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็ตามข้าไปพบท่านผู้เฒ่าที่จวนสกุลเผย ขอร้องท่านผู้เฒ่าช่วยออกหน้าให้ ให้หมอหลวงหยางไม่ก็หมอหลวงหวังมาตรวจอาการน้องสะใภ้ดูหน่อย”
ไม่ต้องพูดถึงอวี้เหวิน ขนาดอวี้ถัง ยังยินดีแทบบ้ากับเรื่องคาดไม่ถึงนี้
อวี้ถังถึงขั้นรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย
ต่อให้หลู่ซิ่นจะนิสัยไม่ดีอย่างไร แต่เขาก็ปฏิบัติต่อบิดานางอย่างดี อาศัยแค่จุดนี้ ต่อไปหากเขามาเกาะบิดานางดื่มกินอีก นางตั้งใจจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสีย
อวี้เหวินกล่าวขอบคุณหลู่ซิ่นซ้ำไปซ้ำมา เอ่ยว่า “ไม่ว่าอาการป่วยของนายหญิงของข้าจะรักษาได้หรือไม่ เจ้าล้วนเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อข้าเช่นเดียวกัน”
หลู่ซิ่นกลับไม่เกรงใจเลยสักนิด กล่าวว่า “เจ้าก็ไม่ดูเสียบ้างว่าพวกเรานับเป็นสหายสนิทเพียงใด เรื่องของเจ้า ข้าล้วนจำใส่ใจไว้แล้ว เพียงแต่ความสามารถข้ามีอย่างจำกัด ช่วยเหลืออะไรเจ้าไม่ได้มาก”
“วาจานี้เจ้าพูดห่างเหินเกินไปแล้ว!” อวี้เหวินกับหลู่ซิ่นแลกเปลี่ยนวาจาเกรงอกเกรงใจกันสองสามคำ จากนั้นก็เรียกอาเสาไปสั่งอาหารที่หอสุรามาโต๊ะหนึ่ง แล้วสั่งป้าเฉินให้ไปซื้อสุรากลับมา
“ซื้อสุราดีมาเลยนะ!” อวี้ถังยิ้มแฉ่ง ควักเงินเก็บของตนเองให้ป้าเฉินไปหนึ่งตำลึง “ท่านลุงหลู่นับว่าช่วยเราครั้งใหญ่เลย”
ป้าเฉินหัวเราะเหอะๆ แล้วจากไป
คืนนั้นหลู่ซิ่นก็ดื่มสุราจนเมาพับที่เรือนสกุลอวี้อีกครั้ง ยังดีที่เขาไม่ลืมเรื่องที่ต้องไปจวนสกุลเผยกับอวี้เหวิน จึงลุกจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากล้างหน้าล้างตา ก็กินบะหมี่ผัดแห้งไปถ้วยหนึ่ง ดื่มน้ำเต้าหู้ไปสองชาม แล้วออกจากเรือนไปพร้อมกับอวี้เหวิน
อวี้ถังรออยู่ที่เรือนด้วยความกระวนกระวาย
ช่วงบ่าย หลู่ซิ่นกับอวี้เหวินสะพายล่วมยาแยกกันมาคนละใบ ก่อนจะเชิญบุรุษแปลกหน้าสองคนผ่านประตูใหญ่เข้ามาด้วยความระมัดระวังและกระตือรือร้น ผู้ที่เดินอยู่ข้างอวี้เหวินมีรูปร่างสูงกว่าเล็กน้อย ผมเคราขาวโพลน มองดูแล้วน่าจะอายุหกสิบเป็นอย่างน้อย ท่าทางมีกำลังวังชา สีหน้าเคร่งขรึม ส่วนผู้ที่เดินอยู่ข้างหลู่ซิ่นนั้นหน้าขาวไร้เครา ค่อนข้างอ้วนท้วม ยิ้มจนตาหยี หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทำให้คนรู้สึกน่าเข้าใกล้
อวี้เหวินถลึงตาใส่อวี้ถังทีหนึ่ง บอกใบ้ให้นางหลบไปที่อื่นก่อน
อวี้ถังกลับไปที่ห้องของตนเอง แต่ก็ส่งซวงเถาไปแอบฟังข่าวอย่างไม่วางใจ
ซวงเถาหายไปเกือบหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงได้กลับมา ตอนที่มาถึงดวงตาหัวคิ้วล้วนเต็มไปด้วยความยินดี ทำให้อวี้ถังเกิดความหวังอันไร้ขีดจำกัด
“คุณหนูใหญ่” ซวงเถาไม่ทำให้อวี้ถังผิดหวัง เปิดปากก็มีแต่เรื่องดีๆ ออกมาทั้งสิ้น “ท่านผู้เฒ่าเผยช่างเป็นคนมีเมตตายิ่ง อาการป่วยของตนยังรักษาไม่หาย แต่ก็ให้ท่านหมอมาตรวจอาการนายหญิงที่เรือนเราก่อน อีกทั้งยังส่งท่านหมอมาถึงสองท่าน…หมอหลวงหยางกับหมอหลวงหวังล้วนมากันครบ หมอหลวงสองท่านจับชีพจรให้นายหญิงแล้ว บอกว่าเป็นโรคเก่าที่เรื้อรังมาแต่ตอนที่คลอด ขอเพียงไม่ออกแรงให้เหนื่อยจนเกินไป ไม่โมโหเดือดดาล รักษาตัวให้ดีเป็นใช้ได้แล้ว หากให้ดื่มยาทุกวันๆ กลับมิใช่เรื่องดีอะไร หมอหลวงหวังยังเขียนใบเทียบยาให้นายหญิงด้วย บอกว่าต้องทำเป็นยาลูกกลอน กินวันละหนึ่งเม็ด เช่นนี้จะอยู่รอป้อนข้าวให้หลานก็ไม่มีปัญหา นายท่านดีใจยิ่งกว่าอะไรดี ถึงขนาดลั่นวาจาว่าจะตั้งป้ายสรรเสริญให้หมอหลวงทั้งสองเลยเจ้าค่ะ”
คิดไม่ถึงว่าท่านผู้เฒ่าสกุลเผยจะส่งหมอหลวงมาให้ถึงสองคน
“อามิตตาพุทธ!” อวี้ถังอดจะพนมมือแล้วสวดมนต์ออกมาคำหนึ่งไม่ได้ ในใจรู้สึกขอบคุณสกุลเผยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ว่าสกุลเผยจะเป็นเช่นไร แต่ท่านผู้เฒ่าเผยช่วยชีวิตมารดาของนางไว้ ช่วยเหลือสกุลอวี้ของพวกนางไว้ นี่คือเรื่องจริงแท้
อวี้ถังนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่วันท่านผู้เฒ่าเผยก็ต้องหมดลม ในใจพลันรู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันที
นางต้องส่งสารบอกคนของสกุลเผยหรือไม่ หรือว่าต้องเอ่ยเตือนไว้ล่วงหน้า?
เช่นนี้ ไม่แน่ว่าท่านผู้เฒ่าเผยอาจจะเอาชีวิตรอดจากคราวเคราะห์นี้ไปได้
แต่จะส่งสารหรือเอ่ยเตือนสกุลเผยอย่างไรจึงจะไม่ให้นางถูกกล่าวหาว่าเสียสติ สมองของอวี้ถังตีกันวุ่น เมื่อคิดอะไรไม่ออก ก็ได้แต่ทำตามที่หัวใจเรียกร้อง นางเดินไปทางห้องหนังสือของอวี้เหวิน เห็นว่าอวี้เหวินกำลังยืนส่งหลู่ซิ่นกับหมอหลวงสองท่านอยู่หน้าประตูพอดี
“เรือนเจ้ายังมีคนป่วย ไม่ต้องมากพิธีนักหรอก” ผู้ที่ตัวท้วมหน้าตาใจดีเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “ท่านผู้เฒ่าเผยทางนั้น ยังรอให้พวกข้ากลับไปส่งข่าวน่ะ!”
อีกท่านที่เคราผมขาวโพลนกลับพยักหน้าให้อวี้เหวินด้วยท่าทีเย็นชา เอ่ยว่า “พวกเรามาถึงที่นี่ ก็เพราะเห็นแก่หน้าท่านผู้เฒ่าเผย เจ้าอยากจะขอบคุณ ก็ไปขอบคุณท่านผู้เฒ่าเถอะ”
อวี้เหวินกล่าวตอบด้วยท่าทีนอบน้อมถ่อมตนว่า “สำหรับท่านผู้เฒ่านั้น อย่างไรข้าต้องไปโขกศีรษะคารวะแน่ขอรับ แต่หมอเทวดาอย่างสองท่านข้าก็ต้องขอบพระคุณด้วยเช่นกัน”
แค่พูดจาไม่กี่คำ ท่านหมอที่ผมเคราขาวโพลนผู้นั้นก็เริ่มเผยสีหน้าหมดความอดทน
หลู่ซิ่นรีบตัดบทว่า “ฮุ่ยหลี่ เจ้าอยู่เรือนดูแลน้องสะใภ้เถอะ ข้าจะไปส่งท่านหมอทั้งสองกลับจวนสกุลเผยแทนเจ้าเอง”
อวี้เหวินได้แต่รับปาก แอบยัดเงินก้อนน้อยให้หลู่ซิ่นหลายก้อน ถึงได้ส่งทั้งสามคนออกประตูไป
อวี้ถังรีบปรี่เข้าไปหาทันที ถามบิดาว่า “ท่านแม่มีทางรอดแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านพ่อไปขอร้องท่านผู้เฒ่าเผยว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?”
อวี้เหวินหัวเราะแล้วตอบว่า “ต้องขอบใจท่านลุงหลู่ของเจ้า เขาพูดจนพ่อบ้านใหญ่ยอมไปแจ้งข่าวแก่ท่านผู้เฒ่าเผย ท่านผู้เฒ่าเป็นคนดีมีเมตตา จึงสั่งให้ท่านหมอทั้งสองมาตรวจอาการให้มารดาเจ้าทันที ข้ายังไม่ทันได้พบหน้าท่านผู้เฒ่าเลยด้วยซ้ำ” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ลูบผมที่ดำขลับดั่งขนกาของนาง “บุญคุณครั้งนี้ เจ้าต้องจำใส่ใจไว้ให้ดีล่ะ!”
อวี้ถังส่งเสียงรับทราบ เอ่ยถามถึงอาการป่วยของท่านผู้เฒ่าเผยบ้าง “รู้หรือไม่เจ้าคะว่าไม่สบายที่ตรงไหน?”
อวี้เหวินตอบว่า “ได้ยินว่าเป็นเพราะกลัดกลุ้มเกินไป อาจเพราะคนผมขาวต้องส่งคนผมดำ คงยังทำใจไม่ได้”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชาติก่อนเหตุใดจึงเสียชีวิตเล่า?
คงไม่ใช่เพราะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอีกกระมัง?
อวี้ถังนึกถึงเรื่องแก่งแย่งตำแหน่งผู้นำสกุลที่หลู่ซิ่นเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ ในใจก็ยิ่งไม่สงบ แต่นางไม่มีสิ่งใดเพื่อไปหยุดยั้งเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในชาติก่อน
นางควรทำเช่นไรดี?
ตอนที่อวี้ถังกำลังหมดอาลัยอยู่นั่นเอง นางพลันพบว่าท่านพ่อทำเหมือนกับชาติที่แล้วไม่มีผิด เขาขายที่นาชั้นดีซึ่งเป็นมรดกจากบรรพบุรุษไปแล้วยี่สิบหมู่
“ท่านจะเอาเงินพวกนี้ไปทำอะไรหรือเจ้าคะ?” เรื่องของท่านผู้เฒ่าเผยยังคิดหาหนทางไม่ออก บิดานางก็ก่อเรื่องอีกแล้ว นางอดจะรู้สึกขุ่นเคืองไม่ได้ จึงพูดออกไปอย่างไม่ค่อยเกรงใจนัก “ข้าพูดกี่รอบต่อกี่รอบแล้ว มิให้ท่านขายที่นาของสกุลตามอำเภอใจมิใช่หรือ? ตอนนี้อาการป่วยของท่านแม่เพิ่งจะพอมีลู่ทาง ร้านค้าของสกุลก็ยังไม่มีรายรับเข้ามา ต่อให้ต้องขายที่นาออกไป ก็ต้องค่อยๆ แบ่งขายเพื่อซื้อยามาให้ท่านแม่กิน!”
ใบเทียบยาที่หยางโต่วซิงเขียนให้มีโสมเป็นองค์ประกอบ นับเดือนสะสมปี สำหรับสกุลอวี้แล้วถือว่าเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่เลยทีเดียว
————————————————————-
[1] ผลซิ่ง คือ แอปปริคอท