ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 76 แยกสายสกุล
“แน่นอน แน่นอน!” อวี้เหวินลูบหัวลูกสาวด้วยรอยยิ้ม เอ่ยหยอกเย้า “เพื่อให้รางวัลก่อนหน้านี้ที่เจ้าใจกว้าง เงินห้าสิบตำลึงก้อนนี้ก็ให้เป็นเงินส่วนตัวเจ้าแล้วกัน เจ้าอยากซื้ออะไรก็ซื้อไป!”
ก่อนหน้านี้เพราะงานหมั้นของอวี้หย่วน คนสกุลเฉินจึงเอาพวกผ้าอาภรณ์ที่สั่งสมไว้เมื่อก่อนไปให้คนสกุลหวังใช้เป็นสินสอดทองหมั้นให้อวี้หย่วน
นี่นับเป็นเงินที่ได้มาอย่างไม่คาดคิดจริงๆ!
อวี้ถังยิ้มจนตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว รีบนำเงินก้อนนั้นซ่อนไว้ในอก จากนั้นก็กลับไปหาคนสกุลเฉินกับอวี้เหวิน
มีบางเรื่องที่อวี้เหวินและอวี้ถังตั้งใจปิดบังคนสกุลเฉิน คนสกุลเฉินย่อมไม่รู้ว่าเงินนี้เป็นเงินที่พ่อลูกสกุลอวี้รีดไถมาจากสกุลหลู่ ยังคิดไปว่าอวี้เหวินทำเรื่องดี จึงได้รับสินน้ำใจจากคนสกุลหลู่ เห็นเงินแล้วย่อมดีใจกับเรื่องที่ไม่คาดฝัน แต่เมื่อรู้ว่าอวี้เหวินให้เงินอวี้ถังห้าสิบตำลึงก็ยังคงอดตำหนิสามีไม่ได้ “นางอายุยังน้อย จะใช้อะไรพวกเราจำกัดให้นางไม่ได้รึ? เหตุใดเจ้าจึงให้เงินนางมากมายขนาดนี้ในคราเดียว?”
อวี้เหวินเป็นคนใจกว้างมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้เขาไม่เห็นอวี้ถังเป็นคุณหนูที่ถูกเลี้ยงในห้องหับไม่ประสาเรื่องราวภายนอกอีกแล้ว ฟังจบก็รีบเอ่ย “นางก็โตแล้ว ในมือมีเงิน จะได้ไม่กังวลอันใด เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย”
คนสกุลเฉินเห็นอวี้ถังปกป้องเงินห้าสิบตำลึงไว้อย่างแน่นหนา คิดว่าแม้ตัวเองจะจู้จี้จุกจิกก็คงนำกลับคืนมาไม่ได้ จึงหลับหูหลับตาอย่างรู้แล้วรู้รอดไป แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่เอ่ยถึงเรื่องเงินขึ้นมาอีก พูดเรื่องหม่าซิ่วเหนียงกับอวี้ถัง “นางเพิ่งรับหน้าที่ดูแลพิธีเซ่นไหว้ของสกุลสามี ฟังจากนายหญิงหม่าแล้ว คนสกุลสามีพอใจนางไม่น้อย นางก็อยากใช้โอกาสนี้ยืนหยัดอย่างมั่นคงในสกุล อยากเชิญพวกเจ้าไปเที่ยวเล่นที่เรือนนาง ยามที่เจ้าไปก็แต่งตัวทำผมเผ้าดีๆ อย่าได้ขายหน้าขายตาหม่าซิ่วเหนียงเชียว”
อวี้ถังตอบรับ เตรียมจะไปเที่ยวเล่นบ้านของหม่าซิ่วเหนียง
เมืองหลินอันกลับเกิดเรื่องใหญ่หนึ่งขึ้นเสียก่อน
บ้านสายตรงสกุลหลี่ต้องการแยกสายสกุลกับบ้านของหลี่ตวน!
บ้านสายตรงสกุลหลี่ยังอยากเชิญเผยเยี่ยน และท่านข้าหลวงทังเป็นคนกลางดูแลจัดการเรื่องแยกสายสกุลด้วยกัน
ทุกคนได้ยินข่าวนี้ต่างพากันตกใจจนแทบไม่อาจหุบปากไว้ได้
เรื่องแยกสายสกุลนี้ เมืองหลินอันไม่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว
อาศัยจากคำพูดของอวี้เหวินคือ “ยังคงเป็นตอนที่ข้ายังเด็ก สมัยปู่ทวดของเจ้าเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง”
คนสกุลเฉินรีบถาม “เช่นนั้นจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง?”
อวี้เหวินครุ่นคิดเล็กน้อย “ความจริงก็ไม่มีอะไร เพียงคนทั้งสองสกุลไม่เซ่นไหว้ด้วยกันเท่านั้น แต่สิ่งที่ข้าคิดไม่ตกคือ บ้านสายหลี่ตวนนี้กำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดบ้านสายตรงสกุลหลี่จึงอยากแยกสายสกุลกับบ้านของหลี่ตวนกัน”
สิ่งที่อวี้ถังกังวลกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นางเอ่ย “ท่านพ่อ เช่นนั้นนายท่านสามรับปากเป็นคนกลางหรือไม่?”
อวี้เหวินก็ไม่ทราบ ครุ่นคิดก่อนเอ่ย “คงจะรับปากกระมัง! อย่างไรสกุลหลี่ก็เป็นสกุลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลินอัน”
อวี้ถังฟังพลางจิบชาไปด้วย
เผยเยี่ยนในชาติก่อนลึกลับกว่าตอนนี้มาก ไม่ออกหน้าทำเรื่องอะไรง่ายๆ ยามนี้เขาเพิ่งรับช่วงต่อเป็นผู้นำสกุลไม่ถึงหนึ่งปี ก็ออกหน้าคอยจัดการเรื่องความขัดแย้งถึงสองครั้งแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะชาตินี้ เขาเข้าสู่วงสังคมมากขึ้นแล้ว? หรือเพราะชาตินี้นางและเผยเยี่ยนมีโอกาสพบเจอกันบ่อยๆ ดังนั้นจึงเข้าใจเขามากขึ้น?
—
ยามที่นายท่านอู๋และอวี้เหวินพูดคุยกันเรื่องนี้ อวี้เหวินก็อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “ถึงเวลานั้นนายท่านสามสกุลเผยจะเป็นคนกลางหรือไม่?”
“เห็นบอกว่านายท่านสามไม่อยู่หลินอัน” นายท่านอู๋เอ่ยเสียงเบา “บ้านสายตรงสกุลหลี่และหลี่ตวนไปเชิญอยู่หลายครั้งล้วนบอกว่าไม่อยู่จวน ก่อนหน้านี้พวกเรายังคิดว่านายท่านสามไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ สองวันก่อนพอสืบข่าวค่อยรู้ว่า นายท่านสามไปเมืองหังโจว จนถึงวันนี้ก็ยังไม่กลับมา! ได้ยินอาจารย์เสิ่นของสำนักศึกษาประจำอำเภอพูดว่า ดูเหมือนมีผู้ตรวจการมาเมืองหังโจว ผู้ตรวจการคนนั้นเป็นสหายร่วมชั้นของนายท่านสาม ผู้ว่าการมณฑลเจ้อเจียงจึงเชิญนายท่านสามไปรับรองแขก”
อวี้เหวินฟังแล้วก็ส่ายศีรษะ “นายท่านสามสกุลเผยยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ไม่ใช่รึ!”
“กระนั้นก็ไม่อาจจมปลักกับอดีต ไม่สนใจปัจจุบัน” นายท่านอู๋ไม่คิดเช่นนั้น “รอจนเสร็จสิ้นการไว้ทุกข์ นายท่านใหญ่สกุลเผยไม่อยู่แล้ว คุณชายน้อยทั้งสองของบ้านใหญ่ก็อายุยังน้อย ไม่มีชื่อเสียงตำแหน่ง นายท่านสามสกุลเผยกลับบ้านมารับช่วงต่อกิจการของสกุล เช่นนั้นเมื่อนายท่านรองสกุลเผยกลับไปรับตำแหน่งต่อก็ย่อมสำคัญแล้ว แม้ว่านายท่านสามสกุลเผยจะไม่ทำเพื่อตัวเอง ก็ต้องวางแผนเพื่อสกุลเผย!”
อวี้ถังพยายามหวนนึก ดูเหมือนว่าหลังจากนายท่านรองสกุลเผยกลับไปรับตำแหน่งอีกครั้งก็ได้เป็นใหญ่เป็นโตในสายขุนนาง นางนั้นจำเรื่องหลักๆ ไม่ได้แล้ว แต่ยามที่สกุลหลี่เอ่ยถึงเรื่องนี้กลับค่อนข้างระมัดระวัง
อวี้เหวินเอ่ย “เช่นนั้นสกุลหลี่ต้องรอนายท่านสามกลับมาแล้วค่อยแยกสายสกุลอย่างนั้นรึ?”
นายท่านอู๋มองซ้ายแลขวา เห็นเพียงอวี้ถังนั่งจัดชาและของว่างอยู่ในห้อง ก็ไม่ได้ใส่ใจ กดเสียงต่ำกล่าว “เจ้ายังไม่รู้กระมัง? บ้านสายตรงสกุลหลี่และหลี่ตวนทะเลาะกันร้ายแรง ขัดแย้งเรื่องอะไรกลับไม่มีข้อมูลแพร่งพรายออกมา แต่เป็นไปได้ว่ามิพ้นเกี่ยวข้องกับเรื่องสกุลพวกเจ้า”
อวี้เหวินไม่เข้าใจ “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสกุลพวกเรา?”
“อืม!” นายท่านอู๋ผงกศีรษะ “เจ้าลองคิดดู เมื่อก่อนยามที่บ้านของหลี่ตวนยังไม่โดดเด่น บ้านสายตรงสกุลหลี่ก็ช่วยเหลือพวกเขาไม่น้อย รอจนบ้านของหลี่ตวนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา นอกจากบ้านสายตรงนั้นได้งดเว้นเรื่องภาษีแล้ว ยังได้ประโยชน์อันใดอีก? แต่เมื่อบ้านของหลี่ตวนเกิดเรื่อง กลับลากบ้านสายตรงของพวกเขาลงน้ำไปด้วย ยามนี้บ้านสายตรงสกุลหลี่ก็มีซิ่วไฉคนหนึ่งไม่ใช่รึ? มีซิ่วไฉคนนี้ ก็สามารถงดเว้นภาษีอากรได้ตลอดไปแล้ว เมื่อมาคิดดูอย่างละเอียด วิธีการของบ้านหลี่ตวนใจดำโหดร้ายเช่นนี้ แทนที่จะถูกบ้านของหลี่ตวนทำให้เดือดร้อนไปด้วย ยังมิสู้ฉวยโอกาสนี้แยกสายสกุล ตัดขาดกับบ้านของหลี่ตวน ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง”
นี่เป็นสิ่งที่อวี้เหวินและอวี้ถังคาดไม่ถึง
สกุลพวกเขาและสกุลหลี่ขัดแย้งกัน คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเป็นผลลัพธ์เช่นนี้ออกมา
อวี้เหวินยังคงคิดว่าบ้านสายตรงสกุลหลี่ทำเช่นนี้เสี่ยงเกินไป “แต่หลี่ซิ่วไฉ ปีนี้ก็ล่วงเลยสี่สิบปีเข้าไปแล้ว หากว่า…”
หากเขาตายไป สกุลหลี่ก็ต้องจ่ายภาษีแล้ว นี่ไม่ใช่เงินน้อยๆ จะทำให้ทั้งสกุลหลี่เหน็ดเหนื่อยไปด้วยกันหมด ไม่แน่ว่า อาจจะทำให้เครือญาติสกุลหลี่เกิดความไม่พอใจ คิดเปลี่ยนบ้านสายตรงขึ้นมา
นายท่านอู๋เอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ “นี่เจ้ายังดูไม่ออกหรอกรึ? เบื้องหลังเรื่องนี้ย่อมมีคนสนับสนุนบ้านสายตรงสกุลหลี่เป็นแน่! มิเช่นนั้นบ้านสายตรงสกุลหลี่จะใจกล้าขนาดนี้ได้อย่างไร!”
อวี้เหวินยังไม่เข้าใจ
นายท่านอู๋ส่ายศีรษะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้านี่เข้ากับประโยคที่ว่าคนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่[1]จริงๆ มองไม่ออกก็แล้วไปเถิด วันนี้ข้ามาเพราะมีอีกเรื่องอยากขอร้องเจ้า อยากให้เจ้าช่วยข้าตัดสินใจหน่อย”
อวี้เหวินก็ไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งวุ่นวาย คิดไม่ตกก็เอาเรื่องนี้โยนทิ้งไปข้างหลัง เอ่ยถามจุดประสงค์ที่มาของนายท่านอู๋
นายท่านอู๋เอ่ย “มีกิจการอย่างหนึ่ง อยากถามเจ้าว่าสนใจหรือไม่…ข้ามีหลานชายคนหนึ่ง ทำกิจการอยู่ที่หนิงปัว พวกเขามีกลุ่มเรือที่จะกำลังจะลงทะเล เขาอยากจะลงทุนกับเครื่องเคลือบลายคราม ไม่กี่วันก่อนข้าเพิ่งปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันพืชของสกุลไป ตัวข้าเองในมือไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น เจ้าอยากร่วมหุ้นกับข้าหรือไม่?”
แต่ไหนแต่ไรอวี้เหวินก็คาดไม่ถึงมาก่อนว่าจะได้ทำกิจการกับเพื่อนบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นเขาแทบจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับการค้าทางทะเลอย่างสิ้นเชิง
นายท่านอู๋ก็รู้เช่นกัน “เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบข้าตอนนี้ก็ได้ เจ้าไปปรึกษากับคนในบ้านก่อน หากคิดว่ามีความเสี่ยง ทั้งในบ้านมีเงินอยู่ จะให้ข้ายืมก็ได้ ข้าจะให้ดอกเบี้ยเจ้าร้อยละห้า”
อวี้เหวินไม่สามารถตัดสินใจในเวลาชั่วครู่ได้จริงๆ พูดคุยเป็นมารยาทกับนายท่านอู๋ไม่กี่คำ นายท่านอู๋ก็หยัดกายบอกลา
อวี้ถังกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้
ชาติก่อน เพื่อจัดพิธีฝังศพให้บิดามารดา ท้ายที่สุดก็ขายเรือนหลังนี้ไป ออกเรือนที่บ้านของลุงใหญ่แทน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเพื่อนบ้านกับนายท่านอู๋ แต่เรื่องของสกุลนายท่านอู๋ นางยังคงได้ยินมาอยู่บ้าง…สกุลอู๋ไม่ได้ตกอับ ทั้งนายท่านอู๋ก็ไม่ได้ร่วมลงทุนกับการค้าทางทะเลเช่นกัน
ตกลงชาตินี้มีที่ใดผิดพลาดกันแน่ เรื่องราวจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้?
หรือเพราะเงินสองร้อยตำลึงที่ได้มาจากสกุลหลู่?
ไม่มีประสบการณ์ในชาติก่อน อวี้ถังก็ยากจะตัดสินใจว่าเรื่องนี้ควรทำหรือไม่
นี่ทำให้นางท้อใจอยู่บ้าง
ยามที่อวี้เหวินถามความเห็นของนาง นางเอ่ยว่า “ให้คนไปสืบข่าวก่อนได้หรือไม่ว่านั่นเป็นกลุ่มเรืออะไร?”
หากนางมีภาพจำอยู่ ย่อมสามารถรู้ได้ว่ากลุ่มเรือนี้โชคดีหรือโชคร้าย
ขอเพียงกลุ่มเรือนี้สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ก็ล้วนทำเงินก้อนใหญ่ได้ทั้งนั้น
ชาติก่อนการออกทะเลเที่ยวหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย มีเรือไหนบ้างที่กลับมาอย่างปลอดภัย นางไม่แน่ว่าจะรู้หมด แต่หากเกิดเรื่อง ล้วนมีข่าวแพร่กระจายออกมาอยู่บ้าง
อวี้เหวินมีความคิดของตัวเอง เขาเอ่ย “ข้าไม่ชอบกิจการเช่นนี้เอาเสียเลย ตามความเห็นข้า ข้าไม่คิดถึงคนอื่น คนอื่นก็อย่าคิดถึงข้า หากนายท่านอู๋ตัดสินใจจะทำกิจการนี้จริงๆ สกุลพวกเราให้เงินเขายืมก็เพียงพอแล้ว หากคืนไม่ไหว ก็คิดเสียว่าสกุลพวกเราไม่ได้ใช้เงินสองร้อยตำลึงนั้นของสกุลหลู่เสียเปล่า!”
อวี้ถังกระตุกยิ้ม
บิดานางก็นิสัยเช่นนี้แหละ
“มิสู้เรียกท่านพี่มาปรึกษาหารือ” อวี้ถังเชื่อมั่นการตัดสินใจของอวี้หย่วนมากกว่า “หลายวันมานี้ท่านพี่ช่วยลุงใหญ่ดูแลจัดการเรื่องในร้านค้า สิ่งที่ได้ยินได้เห็นย่อมมีมากกว่าพวกเรา”
อวี้เหวินคิดว่ามีเหตุผล เรียกอวี้หย่วนเข้ามาพูดคุย
อวี้หย่วนคัดค้านเรื่องนี้
เขาเอ่ย “ตั้งแต่ข้าไปหังโจวครั้งที่แล้ว ก็ให้ความสนใจกับกิจการที่เมืองหังโจวมาโดยตลอด ข้าได้ยินคนพูดว่า การค้าทางทะเลลึกลับซับซ้อน หากจะร่วมลงทุนจริงๆ พวกเราควรสืบเรื่องพวกนี้ให้กระจ่างชัดก่อน ทุกอาชีพต่างมีความแตกต่าง มิใช่ว่าเห็นคนทำเงินได้ พวกเราก็อิจฉาตาร้อน”
อวี้ถังเห็นด้วยกับความคิดของอวี้หย่วน
แต่อวี้เหวินเห็นแก่มิตรภาพ ยังคงให้นายท่านอู๋ยืมเงินหนึ่งร้อยตำลึง
หลังจากอวี้ถังทราบก็อดเหม่อลอยมองฟ้าไม่ได้
นางรู้สึกว่า สกุลพวกนางคงไม่อาจกลายเป็นคนมีเงินได้ตลอดทั้งชีวิต
—
ไม่นานนัก เรื่องแยกสายสกุลของบ้านสายตรงสกุลหลี่และบ้านหลี่ตวนก็มีผลลัพธ์ออกมา
บ้านสายตรงสกุลหลี่ใจร้อนอย่างคอยไม่ได้ ไม่รอให้หลี่อี้เขียนจดหมายกลับมาว่าเห็นด้วยหรือไม่ ก็พยายามดึงดันแย่งสายสกุลกับบ้านของหลี่ตวน
ทุกคนต่างคิดว่าบ้านสายตรงสกุลหลี่รีบร้อนเกินไป แต่บ้านสายตรงสกุลหลี่ประกาศออกมาแล้วว่า บ้านหลี่ตวนนี้ฝ่าฝืนคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ทั้งไม่ยินยอมอยู่ใต้อำนาจบ้านสายตรง แทนที่จะให้ทุกคนไม่สบายใจอยู่อย่างนี้ มิสู้แยกสายสกุล ต่างคนต่างไปตามทางของตัวเอง
เรื่องที่สกุลหลี่ทำการสู่ขอไม่สำเร็จจึงลักพาตัวอวี้ถัง ทั้งบ่าวรับใช้ยังตัดสินใจโดยพลการสั่งพวกลี้ภัยไปสังหารคนจึงถูกคนในเมืองหลินอันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีกครั้ง
เล่าลือกันไปร้อยแปดพันเก้า
แต่เรื่องที่มักเอ่ยถึง ยังคงเป็นเรื่องที่รู้สึกว่าฮูหยินหลี่กระทำการโหดร้ายเกินไป ทั้งการอบรมสั่งสอนของสกุลหลี่ไม่ถูกต้องนัก
หลี่ตวนโมโหจนเลือดแทบขึ้นหน้า
คนสกุลหลินบันดาลโทสะอยู่ในเรือน “นี่ล้วนเป็นเรื่องที่คนพวกนั้นพูดซี้ซั้ว? อาตวน เรื่องนี้ไม่อาจให้จบไปเช่นนี้ได้! เดิมทีพวกเราก็คำนึงถึงบ้านสายตรงมาโดยตลอด ใครจะรู้ว่าพอพวกเรายอมอ่อนข้อให้ พวกเขาจะไม่รับน้ำใจ แยกสายสกุลก็ดี พวกเจ้าสองพี่น้องก็ร่ำเรียนตำราดีๆ ไม่กี่ปีย่อมมีอนาคตสว่างไสว ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นสกุลที่สองของสกุลเผย”
มีเรื่องง่ายดายขนาดนั้นที่ไหนกัน?
หลี่ตวนไม่อาจระบายความทุกข์ต่อหน้ามารดา ยามที่กำลังยิ้มรับปากอย่างขื่นขม ก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มเอ่ยอย่างเย้าแหย่ขึ้นมา “ท่านอากำลังโมโหเรื่องอะไรอยู่รึ? ดีที่น้องชายกตัญญู ทุกเรื่องล้วนว่าตามท่าน หากเป็นข้า คงโต้เถียงกับท่านแม่กลับไปแล้ว”
————————-