ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 82 แผนการ
ตอนที่เผยเยี่ยนเริ่มอ่านแผนที่ทางทะเลนั้นเขาคล้ายไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนัก แต่พอยิ่งอ่านไปเรื่อยๆ สีหน้าเขาก็คร่ำเคร่งขึ้น
หรือว่าแผนที่นี้มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง?
แม้อวี้ถังจะบอกว่ามั่นใจกับสิ่งที่ตนคิด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเผยเยี่ยนที่สอบเป็นจิ้นซื่อได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังเคยเป็นเจิ้งกวนแห่งหกกรมอยู่ที่เมืองหลวง ด้วยเขามีความรู้กว้างขวาง ในใจจึงอดเกิดความสงสัยในตัวเองไม่ได้
ส่วนเผยเยี่ยนลอบสูดหายใจเย็นเยียบเข้าปอด
เขาเริ่มตรวจสอบแผนที่อย่างละเอียดอีกครั้ง
อวี้ถังสุดท้ายก็ทนไม่ไหว ถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ “นายท่านสาม แผนที่นี้…”
เผยเยี่ยนโยนแว่นขยายไว้ด้านข้างภาพแผนที่ที่ถูกคัดลอก ขมวดคิ้วแล้วเดินไปที่โต๊ะกลมเล็กข้างโต๊ะหนังสือด้วยสีหน้าหนักอึ้ง แล้วชี้นิ้วไปที่ตั่งกลมข้างโต๊ะ “พวกเรามานั่งคุยกันเถอะ”
อวี้ถังกับอวี้เหวินแลกเปลี่ยนสายตามึนงงต่อกัน จากนั้นก็นั่งลงอย่างระมัดระวัง
เผยเยี่ยนลงมือชงชาให้สองพ่อลูกด้วยตนเอง จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำกับคนทั้งสอง “พวกเจ้าพอจะเล่าเรื่องราวว่าไปเจอภาพแผนที่นี้ได้อย่างไรให้ข้าฟังโดยละเอียดอีกรอบได้หรือไม่”
อวี้เหวินมองท่าทีเคร่งเครียดของเผยเยี่ยน รู้ว่าเรื่องนี้คงสำคัญมากแน่ เขาไม่กล้าเสริมแต่งเรื่องราว ทั้งกลัวตนเองจะอธิบายไม่ชัดเจนจนกระทบการตัดสินใจของเผยเยี่ยน จึงได้แต่พูดกับอวี้ถังว่า “เรื่องนี้เจ้าเป็นคนพบ เจ้าเล่าให้นายท่านสามฟังก็แล้วกัน”
อวี้ถังรวบรวมคำพูดอยู่พักหนึ่ง ก่อนบอกเล่ารายละเอียดที่ได้เจอออกไป
ระหว่างนั้นเผยเยี่ยนก็นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ
คำบอกเล่าของพ่อลูกตรงกันแทบทั้งหมด เห็นได้ว่าสกุลอวี้คงพบเรื่องนี้เข้าด้วยความไม่ตั้งใจจริงๆ
นั่นย่อมหมายความว่า สกุลหลี่รู้อยู่แล้วว่าภาพผืนนี้มีปัญหา
ทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงสกุลเผิงแห่งฝูอัน
เผยเยี่ยนรอจนอวี้ถังพูดจบ ก็หยุดคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “เดิมข้าคิดว่านี่เป็นภาพแผนที่ธรรมดาทั่วไปผืนหนึ่ง สกุลเจ้าในเมื่อไม่อยากเข้าร่วมสนามแก่งแย่ง ข้าก็จะช่วยเจ้าคิดหาวิธีสะบัดตัวให้หลุดออกมา…ส่วนภาพแผนที่ผืนนี้ สกุลเผยจะเป็นผู้รับมอบอำนาจ ช่วยพวกเจ้าประมูลขายออกไป ใครให้ราคาสูงสุดย่อมได้ครอบครอง สกุลของเจ้านอกจากจะได้เงินทองบางส่วนแล้ว ยังสามารถปลีกตัวออกจากเรื่องนี้อย่างชอบด้วยเหตุผล นี่เป็นผลตอบแทนในการทำดีของนายท่านอวี้”
อวี้ถังได้ฟังดวงตาก็สว่างวาบในทันที
วิธีนี้ของนายท่านสามช่างประเสริฐโดยแท้
เทียบกับการหลบๆ ซ่อนๆ จนทำให้ผู้อื่นสงสัยว่าสกุลนางรู้เรื่องเนื้อหาภายในของแผนที่แล้ว ไม่สู้ประมูลขายอย่างเปิดเผย ให้คนที่มีกำลัง อำนาจ และสามารถปกป้องตัวเองได้ครอบครองไป หากผู้ใดมีปัญญาก็ไปหาเรื่องผู้อื่นเสีย อย่าได้มาข่มเหงรังแกสกุลอวี้อีก
สกุลอวี้ของพวกนางเป็นเพียงครอบครัวพ่อค้าแสนจะธรรมดาครอบครัวหนึ่งก็เท่านั้น
แต่ฟังจากน้ำเสียงเผยเยี่ยนแล้ว คล้ายว่าบัดนี้ไม่อาจทำเช่นนั้นได้
อวี้ถังร้อนใจ จึงพูดแทรกเผยเยี่ยนอย่างรีบร้อนว่า “แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงทำไม่ได้เล่า? นายท่านสามช่างปราดเปรื่องยิ่ง พริบตาเดียวก็คิดวิธีดีๆ เช่นนี้ออกมาได้”
เรื่องสอพลอนี้นางเต็มใจกระทำอย่างที่สุดแล้ว
หากว่าสกุลเผยยอมเป็นคนกลางออกหน้าช่วยพวกเขาเปิดประมูลแผนที่ พวกเขาก็จะปลีกตัวออกจากปัญหาได้ในที่สุด อีกอย่าง คนที่มีความสามารถประมูลภาพแผนที่ไปได้ ไม่มีทางเป็นสกุลที่ไร้ภูมิหลังตำแหน่ง ต่อให้ไม่โดดเด่นอย่างเช่นสกุลเผิงแห่งฝูอัน แต่เกรงว่าคงไม่อาจไปตอแยได้ง่ายๆ
ถึงเวลานั้นสกุลหลี่ย่อมตกที่นั่งลำบาก
อุตส่าห์เหน็ดเหนื่อยสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงคว้าแผนที่ที่มิใช่มีเพียงแผ่นเดียวมาได้ เช่นนั้นพวกเขายังคิดจะควักสิ่งใดออกมาต่อรองกับสกุลเผิงได้อีก?
นางมองเผยเยี่ยนด้วยสายตาแรงกล้า
อวี้เหวินก็มองเผยเยี่ยนด้วยสายตาเร่าร้อน “แผนที่มีปัญหาอะไรหรอกรึ? ภาพนี้แม้จะขอให้คนคัดลอกมาอีกที แต่ฝีมือผู้วาดยอดเยี่ยมนัก ทั้งยังแอบประทับตราส่วนตัวไว้อีกด้วย”
หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ไม่รู้ว่าตามหาตัวอาจารย์เฉียนจะมีประโยชน์อยู่หรือไม่?
เผยเยี่ยนเพิ่งรู้ตัวว่าทำให้ผู้อื่นร้อนใจ เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มิใช่ว่าภาพแผนที่มีปัญหา แต่เพราะมันล้ำค่าเกินไป จะเปิดประมูลหรือใช้มันไปร่วมหุ้นกับร้านค้าสกุลใด พวกเจ้าต้องตัดสินใจเอาเองแล้ว”
รอยยิ้มนี้ ออกจะสดใสเกินไปหน่อยกระมัง?
วินาทีนั้น เหมือนกับหิมะน้ำแข็งละลายหาย ใต้หล้ากลับมาอบอุ่น ดวงหน้าเขาคล้ายกำลังเปล่งแสง หล่อเหลาจนแทบไม่อาจมองตรงๆ ได้
อวี้ถังจ้องหน้าเผยเยี่ยนอยู่ เป็นนานก็ไม่ได้สติเสียที
ครั้งนี้เขาก็คงจะยิ้มออกมาจากใจจริง
ตนนั้นโชคดีเพียงใดหนอ ถึงกับได้เห็นรอยยิ้มจากใจของเผยเยี่ยนถึงสองครั้งในวันเดียว
อวี้ถังลอบชื่นชมไม่หยุดปาก แต่ก็ไม่กล้าคิดเรื่อยเปื่อย รีบหันไปมองทางบิดา
เห็นว่าบิดาสติล่องลอย คล้ายถูกข่าวนี้กระแทกใส่ศีรษะ
นางรีบร้องเรียกเขา “ท่านพ่อ”
อวี้เหวินเป็นคนฉลาด สมองของเขาเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
สกุลอวี้ไม่ได้มีทรัพย์สินอะไร ภาพแผนที่นี้ก็สูงค่าเกินตัว หากเก็บไว้ในมือ ก็เหมือนเด็กสามขวบถือดาบเล่มใหญ่ ไม่มีกำลังจะยกขึ้นได้ด้วยซ้ำ หากไม่ใช่ไปทำผู้อื่นบาดเจ็บ ก็คงเป็นตนเองที่บาดเจ็บแทน พิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ โอกาสที่พวกเขาจะบาดเจ็บเองมีสัดส่วนสูงกว่าผู้อื่นบาดเจ็บอยู่มาก
อวี้เหวินตัดสินใจได้ในทันที เขาเอ่ยว่า “นายท่านสาม นี่เป็นแผนที่อะไรหรือ? เหตุใดท่านถึงบอกว่าสูงค่าเพียงนั้น? หากว่าพวกเราทำตามที่ท่านบอก เชิญสกุลเผยเป็นคนกลาง ก็จะสามารถประมูลขายภาพนี้ได้แล้วใช่หรือไม่?”
เผยเยี่ยนค่อนข้างประหลาดใจ สายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของอวี้ถัง
เขารู้ดี คุณหนูใหญ่สกุลอวี้ผู้นี้มีความคิดเป็นของตนเอง อวี้เหวินไม่แน่ว่าจะควบคุมนางได้
อวี้ถังสนับสนุนการตัดสินใจของบิดา
มีชามใหญ่เพียงใด ก็กินข้าวเพียงเท่านั้น
คนที่กินข้าวในชาม แต่ยังไม่หยุดมองผู้อื่นที่กินข้าวในหม้อ[1]โดยทั่วไปแล้วมักไม่มีจุดจบที่สวยงามเท่าไร
แม้นางจะอยากรู้ว่าแผนที่นี้สูงค่าอย่างไร แต่การหาทางผลักสกุลอวี้ออกจากพายุหมุนลูกนี้ ทำให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัย นั่นต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
อวี้ถังรีบหันไปพยักหน้าหงึกหงักให้เผยเยี่ยน แสดงออกถึงความเห็นของตน
เผยเยี่ยนหัวเราะกับตัวเอง
เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดตนถึงยินดีช่วยเหลือสกุลอวี้
ไม่ใช่เพราะคุณหนูอวี้เป็นหญิงงาม มิใช่เพราะอวี้เหวินเป็นคนใจกว้าง แต่เพราะคนในสกุลอวี้มักมองเรื่องราวต่างๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง
ถึงจะเป็นความมั่งคั่งเทียมฟ้า แต่ก็ต้องมีปัญญาแบกรับให้ไหวด้วย
เขาพบเจอผู้คนมามากมาย ที่หลงทางอยู่กลางภาพมายาแห่งอำนาจ
รวมถึงตัวเขาเองในวัยเยาว์
นี่คือสิ่งล้ำค่าที่สุดของสกุลอวี้
โดยเฉพาะแม่นางอวี้ผู้นี้…อวี้เหวินคิดได้เช่นนั้น เพราะเกี่ยวพันถึงอายุและประสบการณ์ที่เขาเคยผ่าน เห็นได้จากที่เขาไม่เข้าร่วมสอบจวี่เหรินต่อ นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่คุณหนูอวี้ที่อายุเพียงเท่านี้กลับมีปณิธานและจิตใจเช่นนี้ได้ ทำให้เขาต้องมองนางใหม่อีกที
เขามองอวี้ถังอย่างลึกซึ้งหนหนึ่ง ตัดสินใจช่วยเหลือสกุลอวี้อีกครั้ง
“แม้จะเป็นการค้าทางทะเลเหมือนกัน แต่พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ากิจการทางทะเลก็แบ่งออกเป็นหลายประเภท?” เผยเยี่ยนรีบเก็บเรื่องล้อเล่นในใจทิ้ง แล้วเอ่ยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานว่า “สำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลในราชวงศ์ปัจจุบันมีอยู่สามแห่ง หนึ่งหนิงปัว สองเฉวียนโจว สามกว่างโจว และเส้นทางเดินเรือทางทะเลนั้น หากมิใช่ไปซูลู ก็ไปสยามหรือไม่ก็ศรีลังกา แต่แผนที่ผืนนี้ของพวกเจ้ากลับนำทางไปอาหรับ”
อวี้เหวินกับอวี้ถังฟังจนสมองมึนงง จ้องหน้ากันไปมา
ซูลูอยู่ที่ไหน? ศรีลังกาอยู่ตรงใด? แล้วอาหรับสำคัญมากหรือ?
อวี้ถังไม่อยากให้บิดาอับอายต่อหน้าเผยเยี่ยน จึงชิงถามก่อนที่บิดาจะเอ่ยขึ้นว่า “นายท่านสาม ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร? เพราะมีเรือไปอาหรับน้อยมาก? ฉะนั้นภาพผืนนี้จึงสูงค่าหรือ?”
“ไม่ใช่หรอก!” เผยเยี่ยนมองออกว่าสองพ่อลูกไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ จึงอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดว่า “ราชสำนักของเรามีกองเรือ ไม่ว่าจะไปซูลูก็ดีหรือสยามก็ดี เป้าหมายสูงสุดคือหวังจะนำสินค้าเหล่านี้ไปขายที่อาหรับ เพราะว่าอาหรับเป็นแคว้นที่ร่ำรวยมั่งคั่ง แต่ก่อนพวกเราไม่มีใครรู้เลยว่าจะไปอาหรับได้อย่างไร ดังนั้นจึงได้แต่ส่งสินค้าไปขายที่ซูลูและสยามเป็นต้น แล้วให้พ่อค้าของพวกเขานำสินค้าไปขายต่อที่อาหรับเอง ภาพแผนที่ผืนนี้ของเจ้า เป็นเส้นทางเดินเรือสายใหม่ เป็นเส้นทางที่พวกเราแต่ก่อนคิดจะไปแต่ก็หาทางไปไม่ได้ อีกอย่างเส้นทางเดินเรือนี้ก็ออกเดินทางจากกว่างโจว มันจึงยิ่งสูงค่ายิ่งไปอีก”
พ่อลูกสกุลอวี้ก็ยังฟังไม่เข้าใจอยู่ดี
เผยเยี่ยนจึงบอกพวกเขาว่า “เพราะเรื่องของโจรสลัด หลายครั้งราชสำนักคิดอยากปิดทะเลไปเสีย โดยเฉพาะสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลที่หนิงปัวและเฉวียนโจว แต่ละแห่งล้วนเคยถูกปิดไปแล้วครั้งหนึ่ง ระยะนี้ยังมีขุนนางเสนอให้ปิดสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลอีกสองแห่ง หากว่าราชสำนักลงความเห็นให้ผ่าน สำนักทั้งสองแห่งนี้คงถูกสั่งปิดอีกรอบ กองเรือจึงออกเดินทางได้จากฝั่งกว่างโจวเท่านั้น พวกเจ้าคิดว่า ภาพแผนที่ของพวกเจ้าล้ำค่าหรือไม่เล่า?”
อวี้เหวินกับอวี้ถังเบิกตาโต
หมายความว่า สกุลของพวกเขาจะเสี่ยงอันตรายยิ่งกว่าเก่าน่ะสิ
สองพ่อลูกตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “ประมูล! นายท่านสาม แผนที่นี้ประมูลขายไปเสียเถอะ”
อวี้เหวินถึงขนาดคิดว่าการประมูลก็อาจจะไม่ปลอดภัยด้วยซ้ำ จึงเอ่ยแก้ไขไปว่า “นายท่านสาม ท่านคิดทำการค้าทางทะเลหรือไม่? เอาอย่างนี้ดีไหม ข้าจะมอบแผนที่ให้ท่าน? พวกเราไม่ต้องการเงินทอง ถือเสียว่าเป็นสิ่งตอบแทนที่ท่านช่วยหาหมอมารักษานายหญิงบ้านข้า”
สีหน้าของเผยเยี่ยนดำทะมึน
เขาตั้งใจทำความดี แต่กลับต้องเข้าร่วมการแย่งชิงเสียได้!
อวี้ถังคิดว่าวาจานี้ของบิดาออกจะซื่อตรงเกินไปหน่อย คล้ายจะโยนหม้อให้เขาแบกแทนอย่างนั้น พอหันไปมองเผยเยี่ยนอีกรอบ ก็เห็นว่าเขาหน้าดำอึมครึมไปหมด นางเค้นสมองด้วยความเร็วอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน รีบพูดออกมาว่า “ท่านพ่อ ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูก หากนายท่านสามต้องการแผนที่นี้ คงแลกเปลี่ยนกับพวกเราตรงๆ แต่แรกแล้ว จะมาพูดเรื่องรับประกันให้สกุลเรากับประมูลขายภาพเพื่ออะไร?”
“จริงด้วย จริงด้วย!” อวี้เหวินเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองพูดผิดไป จึงหันไปฉีกยิ้มส่งให้เผยเยี่ยน
อวี้ถังนั้นกลัวว่าเผยเยี่ยนจะสะบัดมือหนีไม่สนใจพวกนางอีก
มีเพียงคนในสกุลเผยเท่านั้น จึงจะเชิญสกุลใหญ่ที่มีอำนาจเทียบเคียงกับสกุลเผิงมาร่วมงานประมูลได้ ถึงจะรับประกันความปลอดภัยของสกุลนางได้
คำพูดของนางถูกส่งออกไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน “นายท่านสามมิใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย! ท่านไม่รู้อะไร แต่ก่อนตอนที่ข้าไปโรงจำนำสกุลเผยก็เคยเจอนายท่านสามแล้ว…” นางพล่ามไปเรื่อยเพื่อเล่าเรื่องการบังเอิญเจอหลายต่อหลายครั้งให้อวี้เหวินฟัง
อวี้เหวินเหงื่อตก แล้วกล่าวขอโทษเผยเยี่ยน “เป็นข้าที่พูดจาไม่ผ่านหัวคิด…”
เผยเยี่ยนมองปากแดงชุ่มชื้นของอวี้ถังที่เดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ รู้สึกเหมือนรอบตัวมีนกกระจอกนับร้อยคอยส่งเสียงร้อง พลันรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
เขาตัดบทอวี้ถังว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ เรื่องแต่ก่อนก็ไม่ต้องยกมาพูดแล้ว”
อวี้ถังไม่เอ่ยถึงเรื่องในอดีตอีก เปลี่ยนมาเยินยอเผยเยี่ยนแทน “แต่ข้าคิดว่าท่านพูดมีเหตุผลยิ่ง วิธีที่ดีที่สุดคือประมูลขาย ทว่า ในเมื่อแผนที่สูงค่าเพียงนั้น ท่านคิดว่าเราควรจะเชิญคนมาคัดลอกไว้อีกหรือไม่ ทำมาค้าขายมีข้อห้ามคืออย่ากินอิ่มคนเดียว หากท่านอิ่มอยู่คนเดียว ผู้อื่นย่อมอิจฉาตาร้อน อีกเดี๋ยวก็ไปรวมพวกมาหาเรื่องท่าน หากว่ามีหลายๆ สกุลแบ่งกันทำมาค้าขาย เช่นนี้พวกเขาคงไม่ตามไปริษยาทุกสกุลหรอกกระมัง?”
เผยเยี่ยนไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรต่อดี
เจ้าเด็กคนนี้ ยังคิดจะมาเล่นลูกไม้กับเขา
กลัวว่าสกุลอวี้ไม่อาจเอาตัวออกจากนอกวงได้ก็ควรพูดออกมาตรงๆ เดินอ้อมวกวนไปเสียไกล คงมิใช่เพราะอยากให้สกุลเผยของเขา เผยเยี่ยนผู้นี้เป็นผู้ออกหน้าแบกหม้อแทนสินะ?
————————————————————-
[1]คนที่กินข้าวในชาม แต่ยังไม่หยุดมองผู้อื่นที่กินข้าวในหม้อ เปรียบถึงคนที่โลภมากไม่รู้จักพอ