ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 88 เถาชิง
เถาชิงอายุสี่สิบต้นๆ รูปร่างไม่สูงไม่เตี้ย ร่างกายค่อนข้างผอม ผิวดำคล้ำ โหนกแก้มสูง หน้าผากกว้าง คางยาว รูปลักษณ์ธรรมดา จัดอยู่ในประเภทหลงเข้าไปในฝูงชนก็แยกไม่ออกแล้วว่าเป็นใคร แต่ก็เป็นคนผู้นี้ หลังจากสูญเสียบิดาในยามอายุสิบห้าก็สามารถประคับประคองสกุลเพื่อน้องชายน้องสาวและแม่ที่ตกเป็นม่าย เป็นคนที่โดดเด่นในบรรดาลูกหลานของสกุลเถา ทั้งกลายเป็นผู้กุมอำนาจในสกุลเถาที่เรียกได้ว่าเป็นสกุลอันดับหนึ่งของกว่างโจว
ไม่เพียงเถาอันที่ให้ความเคารพพี่ชายของตนผู้นี้ แต่เผยเยี่ยนก็เคารพเขาเช่นกัน
“พี่ใหญ่!” เขาเรียกขานเถาชิงตามเถาอัน
ใบหน้าที่เคร่งขรึมนิ่งเรียบของเถาชิงปรากฏรอยยิ้มบาง “สยากวง เจ้าสบายดีกระมัง?”
นับตั้งแต่บิดาจากไป นับว่าเถาชิงเป็นคนแรกที่ถามเผยเยี่ยนเช่นนี้
เผยเยี่ยนน้ำตารื้นเล็กน้อย “ข้าสบายดี! วันเวลาเช่นนี้สุดท้ายก็ต้องผ่านพ้นไป”
เถาชิงพยักหน้า ไม่ได้ปลอบใจเผยเยี่ยนมากมาย เอ่ยขึ้น “เจ้าคิดอย่างนี้ได้ก็ดีแล้ว รอเวลาผ่านไปหลายปี ย้อนกลับมามองอีกครั้ง เรื่องพวกนี้ก็จะเป็นเพียงหลุมใต้ฝ่าเท้าเจ้าหลุมหนึ่งเท่านั้น ข้ามผ่านมาแล้ว ก็จะได้รับอะไรมากมายยิ่งขึ้น”
“ขอบคุณพี่ใหญ่!” ขณะที่เผยเยี่ยนเอ่ย ก็เชิญเถาชิงนั่งลงหน้าโต๊ะกลม “ข้าจะจำคำพูดท่านไว้”
เถาชิงหัวเราะ “เจ้าและจื่อหรันต่างเป็นคนฉลาด ไม่จำเป็นต้องให้ข้ามากความ พวกเจ้าก็คิดได้อยู่แล้ว ข้าเชื่อมั่นในตัวพวกเจ้า” พูดจบ ก็เห็นบ่าวรับใช้ที่ยกน้ำชาของว่างมาให้พวกเขาเดินออกไป ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน “เจ้าก็อย่าเล่นเรื่องหลอกเด็กพวกนั้นกับจื่อหรันเลย ข้าคงไม่อ้อมค้อมกับเจ้า เจ้าพูดเถิด เจ้าวางแผนจะทำอย่างไร?”
เถาอันและเผยเยี่ยนเป็นลูกคนสุดท้องของสกุลเหมือนกัน ตอนเด็กต่างก็มีช่วงที่หัวแข็งดื้อรั้น หลังจากทั้งสองรู้จักกันที่เมืองหลวง พบเจอครั้งแรกรู้สึกดั่งเป็นสหายมายาวนาน จึงกลายเป็นเพื่อนสนิทกันทันที ยามที่เถาชิงผ่านทางมาทำการค้าที่เมืองหลวง ถือโอกาสมาหาเถาอันหลายต่อหลายครั้ง เถาอันก็มักจะลากเผยเยี่ยนมาเป็นเพื่อนด้วย เถาชิงเห็นเผยเยี่ยนก็คล้ายเห็นเถาอันในวัยเด็ก ยิ่งไปกว่านั้นเผยเยี่ยนยังหน้าตาหล่อเหลา ยามที่เขาคิดจะทำดีต่อใครคนหนึ่ง ก็แทบเหมือนกับกุมารทองที่นั่งอยู่ใต้พระโพธิสัตว์กวนอิม เถาชิงเห็นก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก จึงสนิทชิดเชื้อกับเผยเยี่ยนไม่น้อย
เผยเยี่ยนรับรู้ความปรารถนาดีของเถาชิงที่มีต่อตนเอง ย่อมมีความสนิทสนมกับพี่น้องสกุลเถามากขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินเถาชิงกล่าวเช่นนี้ เขาก็ไม่ปิดบัง เอ่ยตามตรง “แผนที่นั้นข้าได้มาอย่างบังเอิญ ยามนี้มีอยู่สองเรื่อง หนึ่งคือไม่รู้ว่าแผนที่นั้นเป็นของจริงหรือของปลอม อยากให้พี่ใหญ่ช่วยทดสอบทางเรือเสียหน่อย สองคือแผนที่นี้เดิมก็เป็นที่ต้องตาของสกุลเผิงแห่งฝูโจว เพื่อให้ได้แผนที่มา สกุลเผิงทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทั้งยังก่อเรื่องขึ้นในเมืองหลินอัน ข้าอยากทราบว่าสกุลเผิงรู้ถึงแผนที่นี้ได้อย่างไร”
สกุลเถาที่ทำการค้าขายมาจนถึงขั้นนี้ ย่อมไม่เพียงรู้เรื่องค้าขายสินค้า แต่ยังต้องกระจ่างชัดทิศทางลมของราชสำนัก ไม่อย่างนั้น หากราชสำนักตัดสินอะไรออกมา การค้าขายที่ทำมาหลายชั่วอายุคนอาจจะทำต่อไปไม่ได้ ถึงกระทั่งถูกเปลี่ยนมือ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าสกุลเถาก็ดี สกุลเผิงก็ดี ทุกยุคสมัยล้วนต้องบากบั่นปั้นบัณฑิตจำนวนหนึ่งออกมา
เถาชิงสามารถกุมอำนาจสกุลเถา ย่อมไม่ใช่คนที่ธรรมดา คำที่เผยเยี่ยนไม่ได้เอ่ยออกมา เขาก็เข้าใจได้ทันที เขาอดเอ่ยเสียงเบาไม่ได้ “ทดสอบเส้นทางเรือเป็นเรื่องเล็ก เดี๋ยวข้าจะออกคำสั่งลงไป ให้พวกเขาทำงานต่อ ก่อนหน้าเทศกาลมังกรเชิดหัว[1]จะส่งข่าวคราวให้เจ้า แต่เรื่องของสกุลเผิง เกรงว่าเจ้ายังต้องหาวิธีเอง…สองปีมานี้ สกุลเผิงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับองค์ชายสามเป็นอย่างยิ่ง กลัวก็แต่ว่าเขาจะเย็บชุดแต่งงานให้คนอื่น[2]เช่นกัน เรื่องทางราชสำนัก สกุลพวกเราสู้สกุลพวกเจ้าไม่ได้ แต่ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากกับข้าเช่นนี้ ก็ย่อมมีส่วนที่สกุลข้าสามารถช่วยเหลือได้ เจ้าบอกข้ามาตามตรงก็พอแล้ว อาศัยจากไมตรีระหว่างพวกเราสองสกุล ไม่ว่าอย่างไรก็ช่วยเจ้าได้อยู่แล้ว”
ฮ่องเต้ราชวงศ์นี้ มีโอรสอยู่สามคน คนโตตายตั้งแต่ยังหนุ่ม คนรองแต่งงานมาหลายปีกลับไม่มีบุตร ส่วนคนที่สามกลับมีลูกชายสองคน แต่อยู่ในลำดับสาม ตามกฎของราชสำนัก ต้องแต่งตั้งลูกภรรยาเอกที่มีอายุมากที่สุด ฮ่องเต้นั้นอายุมากแล้ว มักมีฝ่ายตรวจการรบเร้าให้ฮ่องเต้แต่งตั้งรัชทายาท แต่ฮ่องเต้เอาแต่ทำหูทวนลม ไม่แสดงความคิดเห็นมาโดยตลอด ไม่เพียงขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่คนที่มีจุดยืนเดียวกันเหล่านั้นก็ลำบากใจเช่นกัน
เผยเยี่ยนเอ่ย “ข้าก็กังวลว่าสกุลเผิงจะทำเรื่องแทนคนอื่นเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงให้คนของสกุลอิ้นช่วยสืบข่าว อย่าลืมว่าเวลานั้นแผนที่นี้ตกอยู่ในมือจั่วกวงจง”
จั่วกวงจงตายอย่างไม่สมเกียรตินัก เพราะเวลานั้นเขาได้ล่วงเกินต่อผลประโยชน์สกุลร่ำรวยชั้นสูงทางใต้เป็นจำนวนมาก เขาจึงถูกฮ่องเต้องค์ก่อนประณาม กำแพงเริ่มพังผู้คนร่วมกันผลัก[3] ไม่เพียงไร้คนแก้ต่างแทนเขา หลังจากเขาตาย ลูกชายไม่กี่คนของเขาก็ตายระหว่างถูกเนรเทศอย่างคลุมเครือ ยังคงเป็นหลังจากฮ่องเต้องค์นี้ขึ้นครองราชย์ ฟื้นคืนชื่อเสียงให้เขาใหม่อีกครั้ง และคนรุ่นหลังสกุลจั่วในปัจจุบัน ก็เป็นเพียงทายาทของลูกพี่ลูกน้องจั่วกวงจงเท่านั้น
“หากตอนแรกแผนที่นี้ตกอยู่ในมือเขา เขาย่อมไม่อาจเก็บไว้เฉยๆ” เผยเยี่ยนเอ่ย “อย่างน้อยขุนนางที่ฝูเจี้ยนและกว่างโจวพวกนั้นต้องพยายามคิดหาวิธีรักษาชีวิตของเขา”
เถาชิงได้ฟังก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สยากวง เจ้าเหมือนจื่อหรันไม่มีผิด ตั้งแต่เด็กจนโตไม่ค่อยพบเจออุปสรรคอันใด อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น บางครั้งกระทำเรื่องข้าก็อดเห็นอกเห็นใจขึ้นมาไม่ได้”
คำพูดนี้ไม่ได้มีเพียงเถาชิงที่กล่าวเป็นคนแรก จางอิง อาจารย์ของเผยเยี่ยนก็เคยพูดแบบนี้เช่นกัน
เผยเยี่ยนไม่คิดอย่างนั้น
เพียงเพราะไม่เคยพบอุปสรรคมาตลอดก็เป็นเรื่องผิดอย่างนั้นรึ?
ไม่เคยพบอุปสรรคก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งได้เช่นกัน
มีความสามารถเผชิญเรื่องไร้อุปสรรค เหตุใดต้องไปรับความยากลำบากด้วยเล่า?
เถาชิงรู้ว่าเขาย่อมฟังผ่านหูไป ก็ไม่มากความ “คลังสินค้าของสกุลพวกเราที่อยู่ต้าซา เจ้าคงเคยไปกระมัง? หากข้าถามเจ้าว่า ใครเข้าใจเรื่องในคลังสินค้าที่สุด เจ้าย่อมตอบว่าผู้ดูแลฝ่ายย่อย แต่ในความเป็นจริง คนที่เข้าใจเรื่องในคลังสินค้าที่สุด กลับเป็นผู้เฝ้าประตู คลังสินค้าแต่ละแห่งวางสินค้าอะไรบ้าง? ย้ายเข้ามาเมื่อใด? ใครเป็นคนย้ายเข้ามา? หัวหน้าของคนที่ย้ายเข้าไปพวกนั้นคือใคร? ใครแข็งแรงมากที่สุด? วันไหนมีสินค้าเข้ามาเยอะที่สุด…”
เวลาชั่วพริบตาเผยเยี่ยนก็เข้าใจความหมายของเถาชิงทันที
“ท่านหมายความว่า เว้นเสียแต่ใต้เท้าจั่วจะจัดการวาดแผนที่นี้ขึ้นมาเอง มิเช่นนั้นใต้เท้าจั่วคงไม่รู้ว่าแผนที่นี้นำทางจากที่ใดไปยังที่ใด” เขาพึมพำอย่างครุ่นคิด “บิดาหลู่ซิ่นผู้ที่เคยเป็นผู้ช่วยใต้เท้าจั่ว หากเขารู้ เป็นไปได้ว่าคนอื่นก็อาจจะรู้เช่นกัน? หรือไม่ก็ เขาไม่รู้ แต่เป็นคนอื่นที่รู้…”
เขาเอ่ยอย่างคลุมเครือ ทว่าเถาชิงกลับเข้าใจอย่างชัดเจน เขาเอ่ยอย่างนุ่มนวล “เป็นหลักการนี้แหละ แทนที่เจ้าจะไปสืบที่เมืองหลวง มิสู้ค้นหาคนที่เกี่ยวข้องพวกนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะพบอะไรใหม่ๆ”
หากเกี่ยวพันไปถึงองค์ชายทั้งสอง แม้การค้านี้จะคุ้มค่ามากเท่าใด สกุลเถาและสกุลเผยมีความสัมพันธ์ดีต่อกันขนาดไหน พวกเขาก็ไม่อาจแตะต้องได้
เผยเยี่ยนก็ทราบหลักการนี้เช่นกัน
เขาเอ่ย “ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่า ผู้ที่เข้าใจฝ่ายตรงข้ามมากที่สุด ย่อมเป็นศัตรูของอีกฝ่าย มิใช่สหาย ข้าจึงให้สกุลอิ้นไปสืบเรื่องสกุลเผิง แต่ก็กังวลอยู่บ้างว่าสกุลอิ้นจะปิดบังอะไรต่อข้า ดังนั้นจึงคิดยืมมือท่านพิสูจน์อีกครั้งว่าข้อมูลที่สกุลอิ้นให้ข้าถูกต้องหรือไม่ ครบหรือไม่ครบ ดีที่พวกเราคิดไปทางเดียวกัน มากกว่านี้ข้าคงไม่พูดแล้ว แผนที่นี้จะประมูลได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่าสกุลเผิงทราบถึงแผนที่นี้ได้อย่างไรแล้ว”
สกุลเถา สกุลอิ้นและสกุลเผิงล้วนมาด้วยการต่อรองค้าขาย แต่สกุลเถา เป็นสิ่งที่เผยเยี่ยนเรียกได้ว่า ‘สหาย’ หากเอ่ยถึงเรื่องสืบข่าว สกุลพวกเขานับว่าเหมาะสมไม่น้อย
เถาชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสามารถคิดเช่นนี้ได้ก็ดีแล้ว ก่อนหน้านี้ข้ายังกังวลว่าเจ้าจะเอาพวกขุนนางไปปะปนกับพวกพ่อค้า”
ในแวดวงขุนนางโอ้อวดเกินจริง เอาแต่ใจเสียหน่อยล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างไรเผยเยี่ยนก็มีอาจารย์ที่เก่งกาจทั้งมีศิษย์พี่มากความสามารถหลายคน แต่ในแวดวงการค้ากลับต้องพิถีพิถัน วาจาอ่อนโยนจึงจะสามารถนำพาความร่ำรวยมาได้ บางครั้งโป้ปดเกินจริงกลับจะถูกวางหลุมพรางโดยไม่รู้ตัว
เผยเยี่ยนดูแลเรื่องทั่วไปในจวน จึงจำต้องรับผิดชอบกิจการในสกุล แต่สิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิดที่สุด ยังคงเป็นเรื่องคบค้าสมาคมกับผู้คนไม่จบไม่สิ้น
เขาครุ่นคิดก็รู้สึกว่าชีวิตช่างน่าเบื่อ
จู่ๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มของอวี้ถังก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
เด็กสาวคนนั้นเห็นคนก็พูดภาษาคน เห็นผีก็คุยภาษาผี แม้จะพูดเหลวไหลถูกเขาจับได้ นางก็สามารถเอ่ยเรื่องไร้สาระต่อได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังหน้าหนาเป็นพิเศษ เพื่อให้ตนบรรลุจุดประสงค์ ไม่ว่าค้อมตัวคุกเข่าล้วนไม่อิดออด คนเช่นนี้ จึงจะเหมาะสมกับทำการค้าขายเป็นที่สุดกระมัง?
เผยเยี่ยนถอนหายใจ
กลับเป็นยามนี้ที่ข้าหลวงทังมาขอพบ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีกะจิตกะใจ ยังคงเอาแต่ใจเช่นนั้นเหมือนแต่ก่อน เอ่ยว่า ‘ไม่พบ’ อย่างตรงๆ
เถาชิงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เรียก ‘สยากวง’ ราวกับตักเตือน “นั่นเป็นขุนนางที่ควบคุมดูแลในพื้นที่เจ้า?”
เผยเยี่ยนโบกมือย่างไม่ใส่ใจ “นั่นก็ต้องดูว่าเป็นขุนนางอย่างไร ไม่ได้เรื่องได้ราว อ่อนปวกเปียกเพียงเพราะถูกข้าปฏิเสธไม่ให้เข้าพบอย่างนั้นหรือ?”
หากเขากล้าทำเหมือนคุณหนูอวี้ ต่อหน้าบอกว่าทุกเรื่องล้วนว่าตามเขา เห็นเขาพูดดีหน่อย ลับหลังเขาคิดจะทำอะไรก็ทำ
อย่างเช่นว่า นำห่วงประตูที่มีมูลค่าเพียงสองตำลึง บรรจุในกล่องผ้าไหม นำมาเป็นของโบราณส่งให้เขา
อย่างเช่นว่า สืบออกมาว่าเว่ยเสี่ยวซานผู้นั้นตายด้วยน้ำมือสกุลหลี่ ก็กล้าจับสกุลหลี่ไม่ปล่อย
สามารถค้อมตัว ทั้งสามารถยืดตัว
เขากลับนับถือคนสกุลทังผู้นี้เป็นชายชาตรี เห็นเขาเป็นดั่งแขก
เผยเยี่ยนคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งดูแคลนข้าหลวงทังมากขึ้นไปอีก
“ท่านอย่าได้สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้” เขาเอ่ย “ยากที่ท่านจะเทียวมา อย่างไรก็กลับกว่างโจวก่อนปีใหม่ไม่ทันอยู่แล้ว อยู่ฉลองปีใหม่กับข้าที่นี่แล้วกัน”
“นั่นจะได้อย่างไร?” เถาชิงไม่อยากทำลายน้ำใจเผยเยี่ยน เอ่ยคล้อยตามเขา “ในเมืองหังโจวข้าก็ไม่ได้ไร้เรือนอาศัย ฉลองปีใหม่ที่สกุลพวกเจ้าได้อย่างไร? เอาเถิด ข้ามาอย่างเงียบๆ เจ้าก็ไม่ต้องส่งข้าหรอก ข้าจะไปเงียบๆ เช่นกัน หากมีข่าวคราว ข้าจะให้คนมาแจ้งเจ้าทันที” เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน
เผยเยี่ยนย่อมไม่อาจให้เขาไปเช่นนี้ แต่เถาชิงยืนกราน ยังเอ่ย “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าวางแผนอะไรอยู่ หากเจ้าอยากสะบัดแผนที่นี้ออกจากมือจริงๆ ก็ยิ่งไม่ควรส่งข้าอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนเรื่องทดสอบเส้นทางเรือ ข้าจะหาวิธีให้สกุลอิ้นรับรู้ ใช่สิ นอกจากสกุลอิ้น เจ้าคิดว่ายังมีใครควรรู้อีก? มิเช่นนั้นหากข้าไม่ชัดเจน พลั้งทำลายการใหญ่ของเจ้า เจ้าก็อย่ามาโกรธเชียว”
“หากทำได้ ก็บอกกล่าวสกุลลี่เสียหน่อย” เผยเยี่ยนหัวเราะร่า “สกุลเผิงก็ต้องบอกเช่นกัน แต่ไม่อาจบอกสกุลพวกเขาในเวลานี้ได้ รอจนพวกเราแบ่งแผนที่นี้ก่อนค่อยบอกพวกเขา”
เช่นนี้ก็จะบรรลุจุดประสงค์ของคุณหนูอวี้
“ได้!” เถาชิงรับปากอย่างสบายๆ
เผยเยี่ยนส่งเถาชิงออกจากประตูสกุลเผย
———————-
[1]เทศกาลมังกรเชิดหัว ตรงกับวันขึ้นสองค่ำเดือนสอง คนโบราณจะใช้วันนี้แสดงความเคารพต่อเทพเจ้ามังกร ขอฝน ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ทั้งเพื่อให้พืชผลอุดมสมบูรณ์
[2]เย็บชุดแต่งงานให้คนอื่น อุปมาว่า ยอมลำบากทำเรื่องแทนคนอื่นโดยที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์
[3]กำแพงเริ่มพังผู้คนร่วมกันผลัก หมายถึง ยามที่ตกต่ำ ก็มีคนมากมายฉวยโอกาสโจมตีซ้ำ