ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 97 ท้อใจ
ประตูอู่หลินนั้นรายล้อมด้วยร้านผ้าต่วนผ้าไหมเป็นส่วนใหญ่
หรืออาจจะเป็นเพราะใกล้ข้ามปีใหม่แล้ว ร้านค้าแต่ละแห่งเปิดไม่กี่วันก็จะหยุดกิจการ ผู้คนบนท้องถนนจึงมากเป็นพิเศษ เดินเบียดเสียดไหล่ชนกัน ทอดมองไปที่ไหน ก็มีแต่ศีรษะคนทั้งนั้น
อวี้ถังตามติดอยู่หลังอวี้หย่วนไม่ห่าง เหลียวซ้ายแลขวา สังเกตร้านรวงต่างๆ โดยรอบ ไม่นานก็พบร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลเซิ่ง
ประตูหน้าแปดช่อง ป้ายร้านสีแดงสูงเท่าคน ดูไม่แตกต่างจากร้านค้าด้านข้างมากมาย บานประตูที่เคลือบสีดำขลับฝังด้วยกระจกสีโปร่งใส ฤดูหนาวเย็นจนตัวสั่น ร้านค้าอื่นล้วนแขวนม่านผ้าฝ้ายหนาชั้น มีเพียงร้านพวกเขาที่สามารถเห็นเงาผู้คนด้านในอย่างเลือนราง เมื่อทอดมองก็พบความโดดเด่นได้ทันที
รอจนเดินเข้าไปใกล้ นางจึงพบว่านอกจากเด็กในร้านที่คอยต้อนรับส่งแขกล้วนหน้าตาหมดจดสบายตาแล้ว ยังสวมชุดคลุมผ้าลู่โฉวตัวยาวสีเขียวนกแก้ว หลังหยัดตรงสง่า ใบหน้าประดับรอยยิ้มอบอุ่นเป็นมิตร ครั้นเห็นอวี้ถังถูกคนเบียด เด็กในร้านคนหนึ่งยังก้าวเข้ามาช่วยกันนางจากฝูงชน เอ่ยกับนางอย่างใส่ใจ “คุณหนู ท่านระวังหน่อย คงไม่บาดเจ็บตรงไหนกระมัง?”
อวี้ถังยิ้มสรวลขอบคุณเด็กในร้านคนนั้น
ไม่รู้ว่าเด็กร้านค้ายุ่งมาทั้งวันจนร้อน หรือเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อไปหมด ละล่ำละลักเชิญนางและอวี้หย่วนเข้าไปในร้าน ไม่มีฉากดูถูกดูแคลนที่นางคาดการณ์มาก่อนหน้านี้ให้เห็นแม้แต่น้อย
อวี้ถังนึกถึงเด็กในร้านค้าสกุลของตัวเองที่เอาแต่มองคนอย่างระแวดระวัง ก็อดถอนหายใจไม่ได้
เมื่อเข้าไปในร้าน นางจึงพบว่า ร้านค้ามีผู้คนล้นหลามเช่นกัน ร้านค้าเครื่องลงรักแห่งอื่นที่นางเคยเห็นมักใช้ชั้นวางแบบเปิดโล่งอย่างอิสระ ทุกคนสามารถถือมาลูบคลำในมือตามประสงค์ ร้านค้าของสกุลเซิ่งกลับมีโต๊ะกั้นอยู่ ของทั้งหมดถูกจัดไว้ในตู้กระจกโปร่งใส ต้องการดูสิ่งไหน เด็กในร้านที่อยู่หลังโต๊ะก็จะหยิบสิ่งนั้นมาให้ลูกค้าชม มีเพียงเครื่องลงรักขนาดใหญ่ หรือสินค้าพวกฉากกั้นลมจึงจะวางตรงจุดโล่งกว้างด้านข้างตู้วางของ สามารถไปเลือกดู เชยชมได้ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าคนในร้านจะเยอะเพียงใด กลับไม่ต้องกังวลเรื่องของหาย
เมื่อวานอวี้หย่วนก็มาดูครั้งหนึ่งแล้ว ยามนี้อดกล่าวเสียงเบากับอวี้ถังไม่ได้ “ดูสิ กิจการของพวกเขาดีถึงเพียงใด!”
อวี้ถังพยักหน้าอย่างเงียบเชียบ
เด็กในร้านคนนั้นเอ่ยด้วยไมตรีจิต “คุณชาย คุณหนู พวกท่านต้องการซื้อสิ่งใดรึ? ต้องการให้แนะนำหรือไม่? ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว หรือคุณหนูคุณชายจะซื้อของส่งให้ผู้ใหญ่กัน? เข้ามาดูข้างในก่อนเถิด หากส่งให้ผู้ใหญ่ ก็มาเลือกชมทางนี้ ดูว่าเหมาะสมหรือไม่ หากเข้ามาเชยชมเฉยๆ พวกเราก็จะแนะนำให้สินค้าของร้านให้พวกท่านฟังว่ามีอะไรบ้าง ภายหลังต้องการสิ่งใด ค่อยกลับมาเลือกซื้อที่ร้านของพวกเราดีๆ อีกที”
เด็กในร้านพวกนี้ต่างผ่านการฝึกฝนอบรมเป็นพิเศษแล้วทั้งนั้น
อวี้ถังครุ่นคิดในใจ
ชาติก่อน นางเคยพบเด็กร้านค้าเช่นนี้
เพียงแต่เด็กในร้านพวกนั้นไม่ได้แต่งกายน่ามองเหมือนเด็กในร้านเครื่องลงรักของสกุลเซิ่ง แน่นอนว่าบุคลิกท่าทีก็แตกต่างจากเด็กร้านพวกเขาเช่นกัน
ลู่โฉว เป็นผ้าที่นายท่านคหบดีชนบทสวมใส่กัน คาดไม่ถึงว่าสกุลเซิ่งจะให้เด็กในร้านแต่งกายอย่างนี้ เงินหนาอิทธิพลมากไม่ใช่เล่น ไม่แปลกใจที่พี่ชายนางจะท้อแท้หมดสิ้นกำลังใจ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กในร้านที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเฉกเช่นสกุลเซิ่ง คาดว่าคงมีเพียงหนึ่งเดียวในเมืองหังโจวเช่นกัน
เพียงแค่ไม่รู้ว่าสกุลพวกเขาเป็นผู้ริเริ่มหรือไม่
ไม่กี่ปีต่อจากนี้ทุกคนต่างพากันเลียนแบบเอาอย่าง ทั้งในเมืองหลินอัน ก็มีบางร้านที่เริ่มฝึกฝนเด็กในร้านแบบนี้เช่นกัน
เมื่อเป็นอย่างนี้ ไม่เพียงสกุลพวกเขาจะขายสินค้าได้ดี เรื่องของคนและการจัดการในร้านยังมีกลยุทธ์เป็นของตัวเอง…
อวี้ถังลอบตรวจสอบในใจ
อวี้หย่วนเอ่ยออกไป “พวกเราแค่เข้ามาเลือกชม หากมีสินค้าดี ก็จะซื้อกลับไปสองสามชิ้น”
เด็กในร้านมองอวี้ถังแวบหนึ่ง คิดไปเองว่าเข้าใจจุดประสงค์ที่มาของพวกเขา แย้มยิ้มพาพวกเขาไปยังหน้าโต๊ะที่ขายกล่องไม้เล็กๆ และกล่องเครื่องแป้ง เด็กของร้านค้าเบียดตัวเองเข้าไปก่อน ชี้ไปยังสองพี่น้องอวี้ถังที่ยืนอยู่ด้านข้าง เอ่ยกับเด็กร้านค้าที่กำลังขายของอีกคน “ลูกค้าทั้งสองท่านอยากดูสินค้าเล็กๆ ที่น่าสนใจ”
เด็กในร้านคนหนึ่งเพิ่งหยิบของให้ลูกค้าท่านหนึ่งไป มองทั้งสองคนแวบหนึ่ง ก็หมุนกายไปหยิบถาดรอง นำของเล็กๆ ไม่กี่อย่างวางบนนั้น ก่อนจะส่งให้เด็กในร้านที่เบียดเข้ามา “ของพวกนี้ล้วนเป็นสินค้าใหม่ที่ผลิตออกมาก่อนปีใหม่ เจ้าดูว่ามีของที่ถูกใจคุณชายและคุณหนูหรือไม่? หากไม่มี ข้าจะช่วยหยิบให้ใหม่อีกที”
เด็กร้านคนนั้นเอ่ยขอบคุณ รับถาดรองเบียดตัวออกมาจากโต๊ะหน้าร้าน เอ่ยกับทั้งสองอย่างเกรงใจ “คุณชายคุณหนูเลือกดูก่อนเถิด มีของที่ชื่นชอบหรือไม่? ของพวกนี้ยังมีกล่องใส่ขนม กล่องใส่หมึกพู่กันจีนที่มาเป็นชุด…”
อวี้หย่วนทอดมองอย่างตั้งใจ เห็นของบนถาดรองไม่กี่อย่างเช่น ตลับแป้ง ตลับใส่ชาดทาปาก มีการใช้ฝีมือแบบ ‘เชิ่นเซ่อหลัวเตี้ยน’ ล้วนเป็นของเล็กๆ ที่ประณีตชดช้อย งดงามหรูหรา เหมาะสำหรับหญิงสาวที่อยู่ในห้องหับอย่างยิ่ง
เขานำขึ้นมาพินิจดูอย่างละเอียด
อวี้ถังเพียงมองไปครั้งหนึ่งก็ไม่มองต่อแล้ว
ชาติก่อน ยามที่พึ่งใบบุญสกุลหลี่ นางเคยเห็นกล่อง ‘ร้อยอัญมณี’ ของราชสำนักมาก่อน เครื่องประดับลงรักแบบเชิ่นเซ่อหลัวเตี้ยนไม่ได้ทำให้นางตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนั้น
นางลอบสังเกตลูกค้าและเด็กในร้าน
เด็กในร้านมีจำนวนมาก ลูกค้าแทบทุกคนได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง หากคนไหนไม่มีเด็กในร้านคอยประกบ แค่เอ่ยถามขึ้นมาก็มีคนตอบกลับแล้ว แม้ว่าลูกค้าในร้านจะมาก ทั้งยุ่งวุ่นวายอย่างยิ่ง กลับไม่มีลูกค้าไม่พอใจแต่อย่างใด
สินค้าในร้านมีหลากหลายประเภท กล่องไม้เล็กๆ ที่ใส่จินซานซื่อ ไปจนถึงฉากกั้นลมสิบสองช่อง รูปแบบก็มีให้เลือกมากมาย นอกจากของอวยพรวันเกิดผู้สูงอายุแบบดั้งเดิมอย่างลายเทพธิดาหมากู [1]ก็ยังมีแบบใหม่อย่างสี่ราชามวลบุปผา ดอกเหมย กล้วยไม้ ไผ่และเบญจมาศ ดูคล้ายกับภาพวาด เหลือพื้นที่สีขาวไว้กว้างขวาง แต่ก็ดูสลับซับซ้อนจนมองไม่ออกอยู่ว่าแฝงความนัยอะไรไว้ในแบบ อย่างกล่องไม้ทำเลียนแบบกล่องร้อยอัญมณีที่อยู่ในมือญาติผู้พี่นางอันนี้ เลี่ยมฝังด้วยไข่มุกหลากสีสัน ภายใต้แสงสว่างก็จะสะท้อนแสงสีรุ้งวาบวาว
นี่ไม่ใช่ร้านค้าที่คิดจะเลียนแบบในช่วงเวลาสั้นๆ ได้จริงๆ
อวี้ถังและอวี้หย่วนเบียดออกมาจากร้านค้า ไม่ได้ของติดมือมาสักชิ้น แต่เด็กในร้านก็ยังคงส่งพวกเขาออกไปประหนึ่งยามมาต้อนรับ ทั้งยังแนะนำชื่อของตัวเอง ยามที่พวกเขามาครั้งต่อไปให้มาหาเขาได้ หากรู้สึกว่าไม่พอใจกับสินค้าในร้านเลย ก็สามารถสั่งทำตามความต้องการของพวกเขาได้
อวี้หย่วนขอบคุณเด็กร้านค้าด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม เดินไปทางร้านค้าสกุลกู้กับอวี้ถัง จวบจนเดินพ้นร้านของสกุลเซิ่งมาไกลแล้ว จึงค่อยเอ่ยด้วยยิ้มเจื่อนกับอวี้ถัง “เจ้าคงรู้ว่าเหตุใดข้าจึงท้อแท้แล้วกระมัง? เฮ้อ หากกิจการร้านค้าสกุลพวกเราได้สักหนึ่งในห้าส่วน ไม่สิ หนึ่งในสิบส่วนของพวกเขา ข้าก็คงพอใจแล้ว”
อวี้ถังส่งยิ้มให้กำลังใจอวี้หย่วน “พวกเราค่อยเป็นค่อยไป หรือในเมืองหังโจวมีเพียงร้านค้าเครื่องลงรักของพวกเขาแห่งเดียว? ชางเซิ่งเป็นร้านค้าผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหังโจว หรือนอกจากชางเซิ่งแล้ว ร้านขายผ้าไหมของคนอื่นล้วนประกอบกิจการไม่ได้อย่างนั้นรึ?”
อวี้หย่วนทอดถอนหายใจ “มักจะมีคนกดอยู่บนศีรษะเจ้า เจ้าเสียแรงกายแรงใจไปเท่าใดก็ไม่อาจตามทัน ทำได้เพียงตามอยู่ด้านหลังคนอื่น ยังจะมีความสุขรื่นเริงอะไรได้อยู่รึ?”
อวี้ถังหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ปลุกใจญาติผู้พี่ “พวกเราก็ลองเสียหน่อยดีหรือไม่ ดูว่าจะสามารถทำร้านค้าเครื่องลงรักที่ดีกว่าสกุลเซิ่งขึ้นมาในเวลาอันสั้นได้หรือเปล่า”
อวี้หย่วนลังเลไปพักใหญ่
อวี้ถังกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ทำท่าตื่นเต้นฮึกเหิม เอ่ยด้วยเสียงดัง “ไป พวกเราไปดูว่าร้านค้าเครื่องลงรักของร้านอื่นขายอะไรกันบ้าง?”
อวี้หย่วนเห็นรอยยิ้มที่สดใดราวบุปผาสะพรั่งในฤดูร้อนของอวี้ถัง ก็รู้สึกดีขึ้นมาก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไปร้านค้าสกุลกู้ก่อนเถิดดีกว่า? ข้าได้ยินลูกชายของแม่นมคุณหนูกู้กล่าวว่า ตอนขึ้นปีใหม่สกุลกู้ต้องจัดการรับมือกับเรื่องมากมาย ช่วงปีใหม่มารดาของเขาจึงไม่ออกจากจวน หากพวกเราอยากจะพบแม่นมของคุณหนูกู้ ก็ต้องรีบคว้าโอกาส หากวันนี้ไม่พบก็ทำได้เพียงรอพ้นปีใหม่ไปเท่านั้น”
อวี้ถังรีบทำเวลาก่อนตรุษจีนเล็ก วิ่งโร่มาพูดเรื่องสกุลหลี่ต่อหน้าคนสกุลกู้ก็เพราะว่าอยากให้สองสกุลฉลองปีใหม่ด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจมิใช่รึ? หากรอจนผ่านปีใหม่แล้ว ยังจะมีความหมายอันใด?
“ไม่จำเป็นต้องพูดมาก แค่ใช้การได้ก็เพียงพอแล้ว” อวี้ถังโบกมืออย่างไม่คิดเช่นนั้น “พวกเรายังมีเวลาช่วงบ่ายอยู่? ไปเที่ยวชมร้านค้าเครื่องลงรักในเมืองหังโจวก่อน ดูว่าร้านค้าพวกนั้นขายอะไรบ้าง? แบบใดที่ขายดีที่สุด”
นี่จะสิ้นเปลืองเวลาเกินไปแล้ว
ทั้งเมื่อครู่ร้านค้าเครื่องลงรักที่รุ่งเรืองคึกคักของสกุลเซิ่งก็ทำให้อวี้หย่วนท้อแท้ใจไปไม่น้อย
“ทำอย่างกับว่าร้านเครื่องลงรักพวกนั้นไม่ต้องการเงินอย่างนั้นแหละ” เขายังคงพึมพำอย่างพะว้าพะวง
อวี้ถังหัวเราะ ดึงพี่ชายเข้าไปในร้านเครื่องลงรักแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากร้านสกุลเซิ่งมาก
ในร้านมีเพียงลูกค้าห้าหกคนกระจัดกระจายกันไป เด็กในร้านก็ดูเอื้อยเฉื่อยไม่กระตือรือร้นอันใด
อวี้ถังสำรวจอย่างละเอียด ในร้านแห่งนี้ขายงานฝีมือเครื่องลงรักรูปแบบแปลกใหม่เพียงเล็กน้อย ส่วนมากจะขายแบบดั้งเดิม
สองพี่น้องอวี้ถังยังเดินดูร้านเครื่องลงรักอีกหลายแห่ง ในใจอวี้ถังค่อยปรากฏภาพจำขึ้นมาอย่างคร่าวๆ ได้แล้ว ยามนี้ถึงเวลาอาหารกลางวัน หากพวกอวี้หย่วนไปร้านค้าของเหยาซานเอ๋อร์ เหยาซานเอ๋อร์ย่อมเชิญพวกเขากินข้าวด้วยกัน แม้ว่ากิจการของเหยาซานเอ๋อร์จะค้าขายดีไม่น้อย แต่ก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครอบครัวเท่านั้น อวี้หย่วนไม่กล้ารบกวนเขา ตระหนักว่ายากที่อวี้ถังจะออกมาเที่ยวกับเขา มิสู้พานางไปกินที่ร้านอาหารดีกว่า
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพาอวี้ถังไปตรอกเล็กๆ หาร้านบะหมี่แห่งหนึ่งที่มีโต๊ะเพียงเจ็ดแปดตัว ด้านนอกกลับคราคร่ำไปด้วยผู้คน เอ่ยกับอวี้ถัง “เจ้าอย่ามองว่าร้านบะหมี่นี้เล็ก ที่จริงกลับเลื่องชื่ออย่างยิ่ง ที่นี่เปิดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เป็นร้านที่เหยาซานเอ๋อร์พาข้ามากินครั้งที่แล้วยามมาเยือนหังโจว บะหมี่หน่อไม้ของร้านพวกเขามีชื่อเสียงที่สุด เจ้าลองชิมดูว่ารสชาติถูกปากหรือไม่”
ตั้งแต่เด็กอวี้ถังก็ชอบออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เหมือนกับเด็กเล็กทั่วไป มักคิดว่าของข้างนอกอร่อยกว่าของในเรือน ยามนี้แม้จะโตแล้ว แต่ชาติก่อนถูกขังในสกุลหลี่ถึงหกเจ็ดปี นอกจากนิสัยจะไม่เปลี่ยนแปลงตามอายุแล้ว นับวันกลับยังชอบออกจากเรือนขึ้นเรื่อยๆ
นางหัวเราะอย่างเริงร่า รอที่นั่งกับอวี้หย่วนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมีโต๊ะว่างให้ทั้งสองคน
อวี้หย่วนสั่งบะหมี่หน่อไม้สองชามอย่างชำนาญ ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องร้านเครื่องลงรักกับอวี้ถังเสียงเบา “ข้าขบคิดแล้ว รอจนผ่านปีใหม่ มาพักในเมืองหังโจว ก็จะวนเวียนแถวร้านค้าพวกเขา ดูว่าแต่ละวันร้านของพวกเขาขายอะไรบ้าง…”
แม้วิธีนี้จะดูโง่เขลา แต่ใช้ประโยชน์ได้ชะงัดนัก
ทว่าเดือนสามปีหน้า พี่ชายนางก็จะแต่งงานแล้ว หรือเขาจะถ่อมาเมืองหังโจว ทอดทิ้งเจ้าสาวที่แต่งมาหมาดๆ ให้อยู่เพียงคนเดียว
อวี้ถังรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้อยู่บ้าง ยามที่คิดจะเกลี้ยกล่อมอวี้หย่วน พลันได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้น “เถ้าแก่ ยังต้องรออีกนานหรือไม่”
ครั้นนางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดที่แต่งกายชุดเด็กของร้านค้า พยุงหญิงที่อายุเพียงสามสิบต้นๆ หน้ากลมตาโต ดูใจดีมีเมตตาไม่น้อย ยืนอยู่หน้าร้านบะหมี่
นี่นับว่าจู่ๆ ก็หาพบโดยไม่ต้องเสียแรง
นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะพบเจอกับแม่นมของกู้ซีและลูกชายของนางในร้านบะหมี่เล็กๆ แห่งนี้
สิ่งที่บังเอิญไปกว่านั้น สามีภรรยาคู่หนึ่งที่นั่งตรงข้ามพวกเขากินเสร็จพอดี กำลังหยัดกายเตรียมจ่ายเงิน
อวี้ถังดึงแขนเสื้ออวี้หย่วนทันที
อวี้หย่วนยังคิดว่าอวี้ถังใคร่จะพูดอะไรกับเขา ผลปรากฏว่าเงยหน้ากลับเห็นลูกชายแม่นมของกู้ซี สมองเขาแล่นวาบทันที โบกมือไปทางเขา “น้องกู้ ทางนี้!”
คล้ายกับว่าพวกเขาทั้งสองและพวกแม่นมของกู้ซีมาด้วยกัน แต่ที่จริงพวกเขากลับครองโต๊ะก่อนแล้วต่างหาก
—————