ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่321 หึงหวง
เผยเยี่ยนไม่ได้มีปณิธานเล็กน้อยเพียงแค่นั้นแน่
ช่วงนี้เขากําลังง่วนอยู่กับการปรับปรุงกรรมวิธีการผลิตของร้านเครื่องลงรักอยู่
หลังผ่านวันไหว้พระจันทร์ เขารีบนัดอวี้หย่วนไปที่โรงนํ้าชาของสกุลเผยซึ่งอยู่ไม่ไกล
จากร้านเครื่องลงรัก นําสมุดที่เขาเรียบเรียงเสร็จไปมอบให้ แล้วรินชาให้อวี้หย่วนด้วยตนเอง
พลางเอ่ยว่า “เจ้าลองอ่านอย่างละเอียดว่านําไปใช้ได้หรือไม่ หากว่าเข้าท่า ย่อมจะแก้ปัญหา
ลูกศิษย์ไม่เพียงพอกับเคล็ดวิชารั่วไหลได้ ทว่า มิใช่เรื่องใดก็จะอ้างอิงได้ทั้งหมด วิธีการของข้า
ใช่ว่าจะป้องกันทุกปัญหา แต่นําไปลองใช้ดูก่อน ภายหลังหากเจอข้อติดขัดก็ค่อยปรับปรุงให้ดี
ขึ้น”
อวี้หย่วนมึนงงไปหมด รีบโค้งตัวให้ไม่หยุดเพื่อเป็นการขอบคุณเผยเยี่ยน ก่อนจะรับ
สมุดเล่มเล็กมาจากเขา แล้วอ่านอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
พออ่านจบแล้ว เขาก็เหลือเพียงดวงหน้าที่ร้อนฉ่า
เขาเป็นเถ้าแก่น้อยของร้านเครื่องลงรักมายี่สิบกว่าปี แต่กลับสู้การสังเกตเพียงสอง
เดือนของเผยเยี่ยนไม่ได้
เผยเยี่ยนแยกกรรมวิธีออกเป็นข้อๆ โดยแบ่งให้ศิษย์ที่ชํานาญเป็นคนสอนศิษย์ที่มา
เรียนวิชา เช่นนี้แล้ว ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน สามารถรับประกันคุณภาพของสินค้า
แถมยังป้องกันความเสี่ยงที่ลูกศิษย์ลูกหาจะขโมยเคล็ดลับไปได้อีกด้วย
“ขอบพระคุณนายท่านสาม!” อวี้หย่วนรินนํ้าชาให้เผยเยี่ยนอย่างเคารพนบนอบ
เผยเยี่ยนย่นคิ้ว “แม้ข้าจะอายุมากกว่าเจ้า แต่เมื่อแต่งกับอาถังก็มีศักดิ์เป็นน้องเขย
เจ้าไม่จําเป็นต้องเกรงใจถึงเพียงนี้”
แต่คําว่า ‘น้องเขย’ นี้ พออวี้หย่วนเห็นดวงหน้าเย็นชาและสมบูรณ์ไร้ที่ติ กลับเรียกไม่
ออกเสียอย่างนั้น
ดีที่เผยเยี่ยนไม่ได้บังคับเขา ทั้งเอ่ยถึงบทสนทนาเมื่อครู่ต่อ “แน่นอนว่าวิธีการนี้ก็มี
ข้อเสีย ข้าเห็นว่าช่างฝีมือที่เจ้าเชิญมาล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อให้ศิษย์แต่ละคนจะ
ชํานาญแต่ละอย่าง แต่ถ้าศิษย์เหล่านั้นสนิทสนมใกล้ชิด แล้วลาออกไปพร้อมกัน ผลลัพธ์ก็ยัง
เหมือนเดิม ข้ากลับคิดว่า หากเจ้าคิดสร้างโรงงานจริงๆ สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่าอื่นใดคือต้องกําหนด
ระเบียบการตบรางวัลและลงโทษใหม่ ให้พวกเขารู้ว่าหากทํางานดี ก็จะได้เงิน หากว่าทําไม่ได้
ก็จะไม่ได้เงิน เช่นนี้พวกเขาก็จะทํางานอย่างสงบใจ ย่อมไม่คิดลาออกไปไหนอีก”
เรื่องนี้เขาไม่สะดวกสอดมือเข้าไปยุ่ง
อวี้หย่วนกลับเลื่อมใสเผยเยี่ยนเป็นอย่างมาก เผยเยี่ยนพูดอะไรก็เชื่อตามนั้น ไม่เอาไป
ขบคิดอย่างละเอียดต่อด้วยซํ้าไป เขาได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยว่า “ข้าเรียนมาน้อย ให้ท่านเป็นคน
ออกความคิดจะดีกว่า”
แต่เรื่องของสกุลอวี้จะพึ่งพาเขาตลอดไม่ได้กระมัง!
หาปลามาให้กินหรือจะสู้สอนวิธีจับปลาให้
เผยเยี่ยนเห็นความระมัดระวังตัวของอวี้หย่วน เขาหยุดคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “หรือไม่
เจ้าลองไปถามเผยหม่านดู? หลังจากที่เขาเข้ามาดูแลสกุลเผย ก็ตั้งกฎระเบียบบางส่วนของ
บ่าวไพร่ขึ้นมาใหม่ เจ้าอาจใช้อ้างอิงได้”
อวี้หย่วนคิดว่าเช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน
อย่างไรก็ดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับเผยเยี่ยน
เมื่ออยู่ต่อหน้าเผยเยี่ยน แม้เขาจะไม่เข้าใจก็ไม่กล้าซักถาม
เผยเยี่ยนจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้ารอคุยกับเผยหม่านก็แล้วกัน”
อวี้หย่วนเอ่ยเสียงขอบคุณไม่หยุด เรียกฉาป๋ อซื่อเข้ามา เชิญชวนเผยเยี่ยนชิมขนม
แกล้มนํ้าชาขึ้นชื่อของโรงนํ้าชาแห่งนี้
เดิมเผยเยี่ยนไม่อยากกิน พอเห็นว่าอวี้หย่วนเป็นญาติผู้พี่ของภรรยา ต่อไปต้องพบปะ
พูดคุยกันบ่อย ลูกหลานของสกุลอวี้ถังอย่างไรก็ต้องออกมาจากสกุลพวกเขา จึงจําเป็นต้อง
ใกล้ชิดกับอวี้หย่วนให้มากขึ้นถึงจะถูก ตนจึงค่อยๆ นั่งลง รอจนฉาป๋ อซื่อยกขนมเข้ามา ก็ยัง
ชวนคุยเรื่องกิจการของอวี้หย่วนไปพลางๆ
อวี้หย่วนนอกจากดูแลร้านเครื่องลงรักของสกุลอวี้แล้ว ส่วนตัวยังลงหุ้นกับร้านค้า
จิปาถะของเหยาซานด้วย
เขาเล่าว่าช่วงนี้เหยาซานซื้อใบอนุญาตค้าเกลือมา มีความคิดจะลองค้าขายเกลือดู
และชวนเขาให้ร่วมหุ้นด้วย
เผยเยี่ยนได้ยินก็เอะใจ นึกถึงเถ้าแก่เกาที่เผิงสืออีตามหา
เขาเอ่ยว่า “พวกเราทางนี้มีคนค้าขายเกลือมากรึ?”
อวี้หย่วนพยักหน้าพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทว่า เป็นหลายสกุลรวมตัวกันเพื่อซื้อ
ใบอนุญาตหนึ่งใบ กิจการนี้แม้จะได้กําไรงาม แต่หากไม่มีลู่ทางหาคนที่จิ่วเปียนเพื่อแลกเปลี่ยน
ของตามกฎได้อย่างเคร่งครัด เช่นนี้ก็ยากจะทํากําไร ที่ซานเหยากล้าจับกิจการนี้ ก็เพราะเขามี
สหายที่รู้จักแม่ทัพของต้าถงคนหนึ่ง แม่ทัพคนนี้เป็นคนไห่หนิง”
เผยเยี่ยนไม่ค่อยคุ้นเคยกับขุนนางฝ่ ายการศึกเท่าไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแม่ทัพคนหนึ่ง
ของต้าถง
แต่เขายินดีที่จะช่วยเหลืออวี้หย่วน “เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อนไป ข้าจะลองสืบให้ก่อนว่าแม่
ทัพผู้นี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร ใครสนิทใกล้ชิดกับเขา จากนั้นเจ้าค่อยตัดสินใจลงหุ้น”
หากว่าทําเช่นนั้นได้จริง กิจการเขาย่อมไม่มีทางขาดทุนแน่
นี่เป็นลาภลอยที่ได้มาอย่างไม่คาดฝันโดยแท้
อวี้หย่วนดีอกดีใจ ใช้นํ้าชาแทนเหล้า แล้วคารวะเผยเยี่ยนหนึ่งถ้วย
เผยเยี่ยนนึกถึงเรื่องเถ้าแก่เกาขึ้นมาได้ จึงคิดฝากฝังอวี้หย่วน เขาเล่าเรื่องสกุลเกา
ให้อวี้หย่วนฟัง บอกอวี้หย่วนให้ช่วยจับตาดูหน่อย “ลองสืบว่าคนผู้นี้ไปทําอะไรที่ต้าถง”
ตอนนี้เขาสงสัยว่าเถ้าแก่เกากําลังทําการค้าเกลืออยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่านี่เป็นกิจการของ
เผิงสืออีเอง หรือว่าเป็นหมากที่สกุลเผิงวางเอาไว้กันแน่
อวี้หย่วนรับปากว่าจะช่วยเหลือ
สองคนคุยกันเรื่อยเปื่อยเป็นครึ่งค่อนวัน ดื่มนํ้าชาหมดไปสองกา ก่อนจะแยกย้าย
นับจากนั้นอวี้หย่วนก็เยินยอเผยเยี่ยนไม่หยุดปาก บอกว่าเผยเยี่ยนให้เกียรติสกุลอวี้
หาใช่เพราะตนเป็นจิ้นซื่อสองป้ายแล้วจะดูถูกดูแคลนสกุลอวี้
อวี้ถังได้ยินก็เม้มปากหัวเราะทันที
ชายผู้นี้ พอถึงเวลาสําคัญก็มักเสแสร้งแกล้งทํา อาศัยแค่สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อคนสกุลอวี้
อวี้ถังคิดว่าหลังจากตนแต่งออกไปแล้ว ก็ต้องดูแลเผยเยี่ยนให้ดีถึงจะถูก
คฤหาสน์ที่หลินอันขายไม่ออก จะให้หลี่ตวนอาศัยที่เมืองหลินอันต่อก็คงอยู่อย่างไม่
สงบใจ ยิ่งหลี่อี้ทางนั้นยังรอเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง พอพ้นวันไหว้พระจันทร์ไป
หลี่ตวนจึงกลับมาที่หลินอันอีกรอบ เขาเพิ่งรู้ว่าเผยเยี่ยนได้หมั้นหมายกับอวี้ถังแล้ว
หลี่ตวนยืนอยู่ในเรือนที่ทรุดโทรมของตน ปล่อยสติให้ล่องลอยอยู่นาน
หญิงสาวที่งดงามถึงเพียงนั้น เฉกบุปผาดอกหนึ่ง นางไม่ควรเติบโตในสกุลคนธรรมดา
ไม่ควรเบ่งบานในเรือนของสามัญชนทั่วไป
เพียงแต่เขานึกไม่ถึงว่า นางจะได้แต่งเข้าไปอยู่ในปราสาทที่แข็งแกร่งมั่นคงเพียงนั้น
เขาคิดไปถึงกู้ซี นางก็แต่งเข้าสกุลเผยเช่นเดียวกัน
คล้ายว่าสตรีทั้งสองคนที่มีความเกี่ยวพันกับเขา ล้วนเป็นบุปผาที่ไปเบ่งบานในจวน
สกุลเผยทั้งสิ้น
หัวใจของหลี่ตวนเปรี้ยวฝาดไปหมด
เขาให้คนไปส่งเทียบเชิญที่จวนสกุลเผย
เผยเยี่ยนไม่อยู่ ได้ยินว่าไปเมืองซูโจว
ส่วนเขาไปทําอะไรที่เมืองซูโจว แน่นอนว่าคนของสกุลเผยไม่มีวันบอกเขา เขาเองก็สืบ
ไม่ได้ความเช่นกัน
หลี่ตวนจึงต้องอยู่เมืองหลินอันต่อไปอีกสองวัน
การอยู่ต่อเช่นนี้ ทําให้เขาได้เจอเผิงสืออีที่ตั้งใจมาหลินอันเพื่อพบเขาโดยเฉพาะ
เผิงสืออีไม่มีความหมายเป็นอื่น เพียงต้องการให้หลี่ตวนนําเงินห้าพันตําลึงที่ ‘ยืม’ ไป
มาคืนเขา
หลี่ตวนได้ฟังก็ตัวสั่นด้วยความโมโห
“เจ้าก็รู้สถานการณ์บ้านข้า พวกเรามีเงินห้าพันตําลึงมาคืนสกุลเผิงที่ไหนกัน?” เขาเอ่ย
เสียงขรึม จงใจเน้นคําว่า ‘สกุลเผิง’ สองคําให้หนัก “หรือไม่ พี่เผิงรอให้พวกเราขายคฤหาสน์
หลังนี้ได้แล้วค่อยมาว่ากันใหม่?”
เผยเยี่ยนเอ่ยวาจาไปแล้ว คฤหาสน์ของสกุลหลี่หลังนี้ยังจะขายออกอีกรึ?
เผิงสืออีแสยะยิ้มในใจ “ไม่อย่างนั้น เจ้าตั้งราคาสองพันตําลึง แล้วขายให้ข้าเสีย”
เขาคิดจะซื้อคฤหาสน์หลังนั้นเพื่อมอบให้เผยเยี่ยน ถือเป็นการขอร้องให้เผยเยี่ยน
ปล่อยเขาไปสักครั้ง
หลี่ตวนโมโหจนแทบเต้น แต่ก็ไม่กล้าอาละวาด “ราคานี้ตํ่าเกินไป”
คฤหาสน์หลังนี้ของเขา ราคาเปิดขายคือสี่พันตําลึง เขาตั้งใจว่าจะขายที่ราคาสามพัน
ห้าร้อยตําลึงอยู่แล้ว
หากเป็นเมื่อก่อน เงินส่วนต่างหนึ่งพันห้าร้อยตําลึงคงไม่อยู่ในสายตาเขา แต่ช่วงเวลา
ที่บิดาเขาต้องวิ่งวนในเมืองหลวงทําให้เขาเข้าใจ บางครั้งเงินหนึ่งอัฐก็สร้างความลําบากให้
วีรบุรุษได้ นับประสาอะไรกับเงินหนึ่งพันห้าร้อยตําลึง ซึ่งทําให้พวกเขาเสพสุขอย่างฟุ้งเฟ้อได้
อีกหลายปี
หลี่ตวนไม่อยากแสดงออกถึงความอ่อนข้อมากเกินไป จนทําให้เผิงสืออีได้คืบจะเอา
ศอก จึงเอ่ยด้วยนํ้าเสียงคล้ายข่มขู่ว่า “สกุลเผยแต่ไรก็เป็นคนใจบุญสุนทาน หากว่าขายไม่ได้
จริงๆ ข้าก็จะขายคฤหาสน์ให้สกุลเผยเสีย ถึงตอนนั้นจะได้หาเงินมาคืนเจ้าได้มากหน่อย”
เผิงสืออียังไม่อยากยั่วให้หลี่ตวนฉุนเฉียวสติหลุด จนไปดึงความสนใจของสกุลเผยเข้า
จะเกิดเป็นความยุ่งยากโดยไม่จําเป็น เขาจึงตีหน้านิ่งเฉยแล้วตอบว่า “ก็ดีเหมือนกัน ข้ารอพวก
เจ้าขายคฤหาสน์ได้แล้วค่อยมาว่ากันใหม่”
หลี่ตวนให้เด็กรับใช้ข้างกายไปส่งเผิงสืออี ส่วนตัวเองยืนนิ่งอยู่กลางลานไม่ขยับเขยื้อน
ข้ารับใช้ที่ติดตามหลี่ตวนมาอดจะถามขึ้นไม่ได้ว่า “คุณชายใหญ่ ท่านจะปล่อยเขา
กลับไปเช่นนี้หรือขอรับ? เงินห้าพันตําลึงนั่น เป็นสิ่งที่พวกเขาแสดงความเคารพต่อนายท่าน!”
เพียงแต่ความเคารพที่ว่าเกี่ยวพันถึงตอนแรกที่สกุลเผิงขอให้สกุลหลี่ตามหาภาพ ‘ตก
ปลาใต้ต้นสนริมแม่นํ้า’ ให้
ดังนั้น เผิงสืออีคงไม่กล้าพลิกหน้าใส่เขาจริงๆ กระมัง?
หลี่ตวนมองตามแผ่นหลังของเผิงสืออี แล้วเอ่ยด้วยสายตาเย็นเยียบว่า “หากเขาบีบจน
ข้าทนไม่ไหว ข้าก็จะไปพบเผยเยี่ยน แล้วเล่าเรื่องที่เขาทวงเงินจากข้าคืนให้ผู้นําสกุลเผิงฟัง”
สัญชาตญาณเขาบอกว่าสกุลเผิงมิได้เป็นคนใจแคบ เงินที่จ่ายออกไปแล้วยังจะคิด
เรียกกลับคืน
หากลือออกไป สกุลเผิงยังจะหวังให้ใครออกหน้าช่วยเหลืออีก
ข้ารับใช้พยักหน้าระรัว
หลี่ตวนเห็นว่าตนไม่พบเผยเยี่ยนไม่ได้แล้ว จึงแอบไปดักรอเขาที่ท่าเรือเสาซีอยู่หลาย
วัน ในที่สุดก็ได้พบคน
แต่ครั้งนี้เผยเยี่ยนนั่งเรือลําเล็ก จึงเดินทางจากท่าเรือเสาซีตรงกลับสกุลเผยทันที
หลี่ตวนส่งเทียบเชิญให้เผยเยี่ยนอีกครั้ง
เผยเยี่ยนบอกเขาให้เข้าไปพบ
เขาไม่รักษาหน้าตาอีกต่อไป เจอหน้าก็เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ ขอร้องให้เผยเยี่ยน
ซื้อคฤหาสน์ของพวกเขาไว้
เผยเยี่ยนมีเจตนาจะชดเชยให้สกุลหลี่บ้านหลักอยู่แล้ว จึงยอมจ่ายเงินสามพันตําลึง
ซื้อคฤหาสน์สกุลหลี่เอาไว้
หลี่ตวนซาบซึ้งใจมาก แสร้งเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “จะว่าไป เรื่องเข้าใจผิดทุกอย่าง
ล้วนเกิดขึ้นจากภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมแม่นํ้า’ ของสกุลอวี้ทั้งสิ้น หากมิใช่ถูกสกุลเผิงขอร้อง
ข้าก็คงไม่หมายตาภาพผืนนั้นของสกุลอวี้ หากไม่ได้หมายตาภาพผืนนั้นของสกุลอวี้ ก็คงไม่ดึง
คุณชายรองสกุลเว่ยเข้ามาเกี่ยวจนถึงขั้นเสียชีวิต หากมิใช่คุณชายรองสกุลเว่ยเสียชีวิต คุณ
หนูอวี้ก็คงไม่ฝังใจจนต้องล้างแค้นให้สกุลข้าล่มจมให้ได้แบบนี้ บัดนี้พวกข้าก็นับว่าได้ชดใช้
กรรมแล้ว!”
มือของเผยเยี่ยนที่ถือถ้วยชาอยู่พลันชะงักกึก
แล้วทวนชื่อ ‘คุณชายรองสกุลเว่ย’ ซํ้าไปมาหลายรอบ
หลี่ตวนคล้ายกลัวเผยเยี่ยนจะฟังไม่เข้าใจ จึงอธิบายต่อว่า “คุณหนูอวี้กับคุณชายรอง
สกุลเว่ยเดิมหมั้นหมายกันไว้ ทั้งเคยไปดูตัวกันมาแล้ว แต่ก่อนที่จะมอบสินสอด คุณชายรอง
สกุลเว่ยกลับมาเสียไป เพราะเรื่องนี้เอง นายหญิงอวี้กับนายหญิงเว่ยถึงสาบานเป็นพี่น้องกัน
อวี้หย่วนแต่งกับหลานสาวของนายหญิงเว่ย สองสกุลยังได้เกี่ยวดองกันเหมือนเดิม”
เรื่องนี้เผยเยี่ยนเองก็เคยได้ยินมาก่อน แต่ไม่ได้เก็บมาคิดมาก
ทว่าพอได้ฟังหลี่ตวนพูดขึ้นมา ความรู้สึกกลับต่างออกไป
คล้ายว่าอวี้ถังยังคงอาลัยคุณชายรองสกุลเว่ยผู้นั้นอยู่
เผยเยี่ยนรู้ดีแก่ใจว่าหลี่ตวนไม่ได้มีเจตนาดี แต่พอฟังแล้วกลางอกเขาคล้ายถูกแทง
ด้วยมีด ไม่เพียงเลือดหลั่งเป็นสาย แต่ยังจุกเจ็บจนพูดอะไรไม่ออกอีกด้วย
เขาถือถ้วยนํ้าชาส่งแขกจากไปพร้อมรอยยิ้ม พอกลับไปถึงห้องหนังสือก็เดินวนไปวน
มาด้วยความเกรี้ยวกราด อย่างไรก็ไม่อาจข่มใจให้สงบได้ สุดท้ายจึงเขวี้ยงถ้วยนํ้าชาจนแตก
ถึงค่อยคลายโทสะได้ในที่สุด