ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่323 ออกเรือน
ตอนที่เจ้าของเรือนที่หลี่ตวนเช่าอยู่บอกกับเขาว่าจะเรียกเรือนที่ให้เช่าคืน หลี่ตวนก็เริ่ม
เสียใจที่ไปฟ้องเรื่องนั้นกับเผยเยี่ยน
เขาจึงออกไปพบเสิ่นซ่านเหยียน
คิดไม่ถึงว่าเสิ่นซ่านเหยียนกําลังเก็บสัมภาระอยู่ บอกว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง
โจวจื่อจินเขียนจดหมายมาบอกอยากให้เขาช่วยไปเป็นที่ปรึกษาให้ เขาก็ไม่ได้ปิดบังหลี่ตวน
เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านข้าหลวงคนใหม่ของหลินอันมีอคติกับข้า ข้าไม่อยากอยู่ที่หลิน
อันคอยมองสีหน้าเขา แต่ถ้ากลับหังโจว ก็ต้องทะเลาะกับอาจารย์หญิงเจ้าทุกวันอีก ข้า
ไตร่ตรองดูแล้ว หากไปอยู่เมืองหลวงอาจจะดีกว่าหน่อย คิดเสียว่าข้าไปเที่ยวเล่นก็แล้วกัน”
หลี่ตวนไม่ได้เอ่ยเรื่องเช่าเรือนขึ้นมา เพียงช่วยเสิ่นซ่านเหยียนเก็บพู่กัน กระดาษและ
แท่นฝนหมึก แสร้งเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจว่า “ได้ยินว่านายท่านรองสกุลเผยกลับเมืองหลวง
แล้ว ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาคิดจะทําอะไรอีก?”
เสิ่นซ่านเหยียนได้ยินก็ไม่คิดมาก “ตอนนี้เผยสยากวงไม่รับราชการแล้ว จางเซ่าก็มา
ตายไปอีกคน สกุลจางมีเรื่องมากมายต้องวางแผนใหม่ นี่กลับเป็นเรื่องดีต่อนายท่านรองสกุล
เผย ไม่แน่สกุลจางอาจนับเขารวมในแผนก็ได้ อีกอย่างอาจารย์เขาก็ไม่ใช่พ่อพระเสียหน่อย
ย่อมหาทางจัดการให้เขาอยู่แล้ว”
หลี่ตวนริษยาจนหัวใจแทบหลั่งเลือด แล้วเล่าความลําบากที่ตนพบเจอให้ฟัง
เสิ่นซ่านเหยียนประหลาดใจมาก แต่พอคิดอย่างละเอียดก็เห็นว่าเป็นเรื่องในความ
คาดการณ์อยู่แล้ว
เมื่อปีก่อน ถงเซียงทางนั้นเพราะนายอําเภอทุจริตจนเกิดมีคนตาย ทุกคนกําลังโกรธ
แค้นกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น หากจะไม่ยอมรับสกุลหลี่ ก็เป็นเรื่องที่ฟังเข้าใจได้
เขาไม่ได้คิดเชื่อมโยงไปถึงคนของสกุลเผยอย่างที่หลี่ตวนวางแผนเอาไว้ หลังจากตะลึง
ไปพักหนึ่ง ก็เอ่ยกับหลี่ตวนด้วยนํ้าเสียงหนักแน่นจริงใจว่า “เจ้าดูเอาไว้ บางเรื่องที่ไม่อาจลํ้า
เส้นได้ ก็อย่าได้ทําโดยเด็ดขาด”
นี่แฝงนัยว่าตําหนิหลี่อี้กระมัง
หลี่ตวนนึกได้ว่าไม่รู้มีคนอีกมากมายเท่าไรที่ด่าทอสกุลของเขา วิพากษ์วิจารณ์บิดา
ของเขาลับหลัง ในใจก็รู้สึกโกรธแค้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสิ่นซ่านเหยียน ต่อหน้าคนเพียงคน
เดียวที่ยินดีจะวิ่งวุ่นเพื่อช่วยเหลือเขายามตกระกําลําบาก เขาจึงควรแสดงท่าทีเคารพนบนอบ
ให้มากหน่อย จึงก้มหน้าแล้วเอ่ยว่า “ขอรับ” ด้วยนํ้าเสียงสํานึกผิด
เสิ่นซ่านเหยียนไม่อยากพูดอะไรมาก เพียงชี้แนะหลี่ตวนนิดหน่อยก่อนจะปล่อยเขาไป
“ในเมื่อพวกเขาไม่ยินดีปล่อยเรือนให้เจ้าเช่า เช่นนั้นก็หาเรือนหลังใหม่เสียสิ ข้ารู้จักกับเจ้า
อาวาสวัดหย่งฝู หากว่าเจ้าไม่รังเกียจ ก็ไปขอพักที่วัดหย่งฝูชั่วคราวเป็นอย่างไร? รอสักสองปี
เรื่องนี้ก็คงผ่านไปแล้ว ทุกอย่างย่อมดีขึ้นเอง”
หลี่ตวนวางแผนจะลงสนามสอบอีกสองปีข้างหน้า ตอนนี้สิ่งสําคัญคือหาสถานที่เงียบ
สงบเพื่อทบทวนตํารา วัดหย่งฝูแม้จะอัตคัด แต่มีข้อดีที่เงียบสงบ
เขารีบกล่าวขอบคุณเสิ่นซ่านเหยียน
เสิ่นซ่านเหยียนลอบส่ายหน้าในใจ รั้งเขาให้กินข้าวเที่ยงด้วยกัน แล้วส่งป้ายชื่อของตน
ให้ ก่อนจะไปส่งเขาที่หน้าประตู
หลี่ตวนได้เข้าพักที่วัดหย่งฝูอย่างราบรื่น
หลินซื่อบ่นกราดไม่หยุด นางอยากจะซื้อคฤหาสน์สักหลัง หลี่ตวนได้แต่กล่อมนางว่า
“ท่านพ่อไปถึงเมืองที่เนรเทศแล้วยังมีเรื่องให้ต้องใช้เงินอีกมาก อีกสองปีข้าเองก็ต้องเข้าเมือง
หลวง ตอนนี้อะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัดไปก่อน รอให้ข้ามีชื่อติดในป้ายประกาศ ทุกอย่างก็
จะดีขึ้นเองขอรับ”
แล้วเจ้าจะสอบติดจิ้นซื่อได้ภายในครั้งเดียวอย่างนั้นรึ?
คําของหลินซื่อจ่ออยู่ตรงริมฝีปากแล้วแต่ก็กลืนลงไป ชี้นิ้วสั่งหญิงรับใช้ให้แขวนม่าน
กั้นเตียง ทําความสะอาดห้องหับ
เพียงแต่คนนั้นเมื่อนึกอยากได้สิ่งใด ก็ยากจะได้สิ่งนั้นมาครอบครอง
หลังจากที่หลินซื่อย้ายไปอยู่วัดหย่งฝูก็มักไปจุดธูปไหว้พระที่อุโบสถ ภาวนาขอพระ
พุทธองค์ช่วยคุ้มครองสกุลตนให้มีชีวิตสงบราบรื่น แต่ก็มิอาจเลี่ยงผู้ศรัทธาที่รักการซุบซิบ
นินทาได้อยู่ดี
วันนั้น นางก็ไปจุดธูปไหว้พระอีก จึงได้ยินเรื่องงานแต่งของอวี้ถังกับเผยเยี่ยน “นับว่า
เป็นครั้งแรกของเมืองหลินอันเลย ได้ยินว่าสินสอดก็หาซื้อมาจากหังโจวไม่ก็ซูโจวโน่น แล้วยังมี
นาฬิ
กานกร้องอีก เป็นแบบแขวนผนังที่ร้องบอกเวลาเองได้ ทั่วทั้งเมืองซูโจวมีเพียงชิ้นเดียวเอง
นะ”
คนข้างๆ ได้ยินก็ร้องอย่างตื่นเต้น “แล้วสกุลอวี้นี่เป็นสกุลเช่นไรรึ? ไม่เพียงบุตรสาวได้
แต่งเข้าสกุลเผย ยังคู่ควรกับนาฬิ
กานกร้องอีก? มิใช่ว่าเป็นสกุลใหญ่ในเจียงหนานที่เก็บเนื้อ
เก็บตัวหรอกนะ?”
“ได้ยินแค่ว่าบิดาเป็นซิ่วไฉ” คนที่แพร่ข่าวก็ไม่มั่นใจเช่นกัน แต่มองออกได้ชัดเจนว่า
สนใจใคร่รู้กับการเกี่ยวดองของสกุลอวี้และสกุลเผยไม่น้อย “ก็คงมีเงินพอตัวล่ะ บวกกับเห็น
บุตรสาวเหมือนไข่มุกในมือ แล้วต้องแต่งเข้าสกุลเผยอีก คงไม่อยากให้บุตรสาวต้องเจ็บชํ้า
นํ้าใจ จึงยอมตัดใจควักเงินช่วยบุตรสาวตระเตรียมสินเดิม”
ทุกคนต่างร้อง “เพ้ยๆ” อย่างเห็นด้วย ยังพูดต่อว่า “จะแต่งกับใครนั้นเป็นเรื่องรอง สิ่ง
สําคัญต้องดูว่าเป็นลูกรักของพ่อแม่หรือไม่ เจ้าดูงานแต่งบุตรสาวสกุลกู้ มิใช่มีแต่เรื่องน่าขัน
หรอกรึ หากเป็นข้า ถ้าข้ามีบุตรชาย ยอมให้แต่งกับบุตรสาวสกุลอวี้ยังดีกว่าให้แต่งกับบุตรสาว
สกุลกู้เลย”
มีคนเสริมอีกว่า “ใครว่าไม่ใช่ล่ะ การแต่งงานเดิมก็เป็นการผูกมิตรของสองสกุล หาก
สะใภ้ที่แต่งเข้ามาไม่ได้รับการช่วยเหลือจากสกุลฝั่ งมารดา ต่อให้มีอํานาจล้นฟ้าแล้วจะมี
ประโยชน์ใดเล่า? มิสู้แต่งกับคนที่มาจากครอบครัวสามัญ แต่พอเกิดเรื่องก็ยินดีออกหน้า
ช่วยเหลือไม่ดีกว่าหรือ?”
คนส่วนใหญ่ต่างพยักหน้าเห็นพ้อง ทําให้หลินซื่อเกิดโทสะทันที นางร้องเหอะออกมา
อย่างทนไม่ได้ “สกุลอวี้ดีเด่มาจากไหนกัน? ก็แค่ซิ่วไฉจนๆ คนหนึ่ง นาฬิ
กานกร้องอย่างนั้นรึ คง
เป็นแค่ข่าวลือสิไม่ว่า? ต่อให้ไม่ใช่ข่าวลือ ก็คงเป็นสกุลเผยที่อยากให้สะใภ้มีหน้ามีตา ช่วย
ทําบุญสุนทานกระมัง?”
เหล่าสตรีที่มาทําบุญเมื่อเห็นสายตาของนางก็ทําหน้าเหมือนเจอคนเสียสติ ฮูหยินที่
เปิดประเด็นถึงกับลากคนข้างๆ มายืนเป็นเพื่อน แล้วเอ่ยว่า “พวกเรากลับกันเถอะ! ข้าเห็นมา
กับตาตัวเอง ไม่จําเป็นต้องอธิบายให้ใครหน้าไม่รู้ฟัง อย่างไรเสียก็มักมีคนทนไม่ได้เมื่อเห็นผู้อื่น
ได้ดีกว่าอยู่แล้ว”
พูดจบ ก็ยังลากสายตาขึ้นๆ ลงๆ มองสํารวจหลินซื่อทีหนึ่ง
หลินซื่อสติหลุดทันทีเมื่อเห็นท่าทางของนาง
นางเคยเป็นบุตรสาวที่ได้รับความสําคัญมากที่สุดในเรือน เมื่อแต่งเข้าสกุลหลี่ก็เป็นถึง
ภรรยาของจิ้นซื่อ เคยถูกคนเหยียดหยามเช่นนี้เสียเมื่อไร ทําราวกับนางเป็นแม่ค้าในตลาดที่ไม่
เคยเจอโลกภายนอก เป็นฮูหยินที่ไม่ได้รับการศึกษาอบรม
หลินซื่อหน้าแดงกํ่า พุ่งตัวเข้าไปคิดเอาเรื่องหญิงผู้นั้น ใครจะคิดว่าเหล่าสตรีทั้งกลุ่ม
เมื่อเห็นเช่นนั้นกลับพากันถอยกรูเหมือนเจอโรคร้ายก็ไม่ปาน
นางเดือดดาลจนพูดไม่ออก มือไม้สั่นไปหมด คิดจะเดินกลับห้อง แต่จู่ๆ มือเท้าก็ไม่ฟัง
คําสั่ง ล้มตึงลงไปกองกับพื้น…รอจนหลี่ตวนมาถึง ก็เชิญท่านหมอมาตรวจอาการ ท่านหมอ
บอกว่านางมีอาการสมองขาดเลือด ต้องรักษาตัวให้ดี ไม่อาจเดือดดาลหรือมีอะไรมากระทบ
อารมณ์ได้
หลี่ตวนจนปัญญา เขาต้องต้มยาให้มารดาดื่มด้วยตนเอง หลินซื่อแม้ครึ่งซีกล่างจะไร้
ความรู้สึก แต่ก็ไม่วายสั่งกับหลี่ตวนว่า “ปล่อย สกุลอวี้ ไม่ได้ ไม่ได้!”
เขาปวดใจไปหมด แต่ก็ต้องพยักหน้ารับปาก หลอกหลินซื่อไปเช่นนั้น
ส่วนอวี้ถังที่ได้รับนาฬิ
กานกร้อง ก็เดินวนรอบนาฬิ
กาเรือนนั้นอยู่หลายรอบ จดจ้องอยู่
ค่อนวันด้วยความเสียดาย ก่อนจะถามอวี้เหวินว่า “ท่านพ่อ ท่านไปได้มาอย่างไรหรือเจ้าคะ?
ข้าเพิ่งเคยได้ยินว่ามีของเช่นนี้อยู่ด้วย”
มากพอจะเป็นหน้าเป็นตาให้นางได้เลย
อวี้เหวินเอ่ยอย่างได้ใจว่า “นี่มิใช่ความคิดข้าหรอก เป็นนายท่านเจียงต่างหาก” จากนั้น
ก็เล่าเรื่องที่เขาไปซูโจวรอบนี้ให้ฟังอย่างลําพอง “เขารู้ว่าสกุลเผยตั้งใจให้เกียรติเขา ก็ดีใจยก
ใหญ่ จึงหานาฬิ
กานกร้องเรือนนี้มาให้เป็นพิเศษ ข้ากับนายท่านอู๋ไม่กล้ารับไว้ จึงยอมถอยให้
เขาหนึ่งในสิบ”
ครั้งก่อนตอนไปหนิงปัว เจียงเฉายังบอกว่าขอคิดดูก่อน แต่ครั้งนี้กลับเสนอตัวมาเชิญ
พวกเขาไปซูโจว คาดว่าคงสืบรู้เรื่องสถานการณ์ของสกุลเผยแล้ว
เฉินซื่อประคองถาดเข้ามา เผอิญได้ยินประโยคท้ายพอดี นางจึงเอ่ยว่า “แล้วได้บอก
หรือไม่ว่าเรือนนี้ราคาเท่าไร? ท่านต้องจ่ายเงินให้เขาถึงจะถูก เป็นพี่เป็นน้องยิ่งต้องทําบัญชีให้
ชัดเจน พอเรื่องเงินชัดเจนแล้ว กิจการถึงจะทําต่อได้ยาวไกล มิใช่หนี้ที่ท่านติดค้างต้องให้นาย
ท่านสามเป็นคนตอบแทน เขาช่วยพวกเรามามากพอแล้ว ลุงใหญ่เองก็คิดเช่นนี้ หากนายท่าน
สามยังช่วยเหลือสกุลเราไปเรื่อยๆ แล้วเรายังไม่อาจรํ่ารวยได้อีก เช่นนั้นคงเป็นชะตาของเราเอง
แล้ว ต่อไปก็อย่าได้ไปรบกวนนายท่านสามเลย”
เผยเยี่ยนแม้จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรเขยของนาง แต่นางยังทําใจเชื่อไม่ลง ไม่กล้าเรียกชื่อ
เผยเยี่ยนตามใจชอบ
อวี้เหวินแต่ไรก็เป็นคนใจกว้างเรื่องเงินทอง ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “เจ้าเอาแต่บ่นใส่หูข้า
ไม่เว้นแต่ละวัน ข้ามีหรือจะไม่จ่ายเงินให้นายท่านเจียง? เจ้าสบายใจได้ เขาเป็นคนฉลาด เงิน
สองพันตําลึงเขารับเอาไว้แล้ว ข้าไม่สนใจว่าเป็นราคาจริงหรือราคาหลอก แต่เงินนั้นข้าได้จ่าย
ไปแล้ว”
เฉินซื่อค่อยพอใจ ก่อนส่งถ้วยรังนกให้กับอวี้ถัง “รีบดื่มเสีย ข้าฝากนายหญิงอู๋ซื้อมาให้
เชียวนะ”
อวี้ถังไม่ชอบดื่มของพวกนี้ แต่เพราะวันแต่งที่ใกล้เข้ามา มารดานางจึงเริ่มตุ๋นของเสริม
ความงามทุกอย่างให้นางดื่ม ทั้งยังเชิญหมอหลวงหยางมาจับชีพจรให้นางอีก ไถ่ถามหมอ
หลวงหยางว่าต้องเขียนใบสั่งยาให้นางหรือไม่
หมอหลวงหยางเองก็รู้เรื่องงานแต่งระหว่างสกุลอวี้กับสกุลเผย จึงวางท่าเกรงใจ
สกุลอวี้มากกว่าเดิมหลายส่วน บอกว่าอวี้ถังมีสุขภาพดีเป็นเลิศ ไม่จําเป็นต้องสั่งยาใดๆ ทั้งนั้น
เฉินซื่อถึงได้ยอมวางมือ
อวี้ถังยกรังนกขึ้นดื่มจนหมดราวกับกําลังกลืนยาถ้วยหนึ่ง
เฉินซื่อยิ้มอย่างพอใจ สั่งให้ซวงเถาเอาถ้วยไปเก็บ แล้วเอ่ยเรื่องสาวใช้สองคนที่จะ
ติดตามอวี้ถังตอนแต่งงานออกไปว่า “ซิ่งเอ๋อร์พูดง่าย ข้าสังเกตว่านางหัวไวไม่เลว แต่หลันฮวา
คนนั้น ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ข้าคิดว่าจะส่งนางไปเรียนรู้กับนายหญิงอู๋สักสองวันดีหรือไม่?”
สกุลอวี้มีบ่าวไพร่อยู่ไม่กี่คน ทั้งสกุลนางก็ปฏิบัติต่อบ่าวไพร่ในเรือนด้วยความใจกว้าง
เฉินซื่อจึงไม่ชํานาญเรื่องพวกนี้นัก
สองสามีภรรยาจึงนั่งอยู่ตรงนั้น ยกเรื่องงานแต่งของอวี้ถังมาคุยบ้างเป็นบางคราว
อวี้ถังนั่งฟังอยู่ข้างๆ กลับรู้สึกเหมือนตนเป็นเพียงคนนอกคนหนึ่ง
นางอดจะเม้มปากลอบยิ้มไม่ได้
ช่วงที่มีเรื่องวุ่นวายเวลามักจะผ่านไปไวกว่าปกติ
เพียงพริบตา ก็มาถึงวันที่หนึ่งเดือนสิบวันไหว้บรรพบุรุษแล้ว
อวี้เหวินรู้สึกว่าปีนี้ครอบครัวของเขาต่างไปจากปีก่อนๆ มาก ในสกุลไม่เพียงมีหลาน
คนโตเพิ่มขึ้นมา งานแต่งของอวี้ถังก็กําหนดเรียบร้อยแล้ว ของเซ่นไหว้ในปีนี้จึงสมบูรณ์พูนล้น
กว่าปกติ ทั้งยังไปทําบุญที่วัดเจาหมิงอีกด้วย
ส่วนเผยเยี่ยนในตอนนี้ กําลังออกไปพบเจียงเฉาอย่างเงียบๆ
สองคนทําข้อตกลงบางอย่างเรื่องการค้า จากนั้นเจียงเฉาถึงเดินทางไปเรือนสกุลอวี้
ด้วยความเอิกเกริก
การออกเรือนของอวี้ถังกําลังจะเริ่มอย่างเป็นทางการแล้ว
ตั้งซุ้ม ตกแต่งโถงทําพิธี เชิญคนครัว เชิญคณะละคร นอกจากอวี้ถังแล้ว คนอื่นๆ ใน
สกุลอวี้ต่างมือเท้าวุ่นวายไม่ได้หยุดหย่อน
อวี้ถังฟังเสียงอึกทึกด้านนอก ยิ่งรู้สึกว่าในห้องของตนเองเงียบสงัดกว่าเก่า
นางลุกขึ้นแล้วเดินไปจับชุดแต่งงานสีแดงเข้มซึ่งแขวนอยู่บนราว หางตายกขึ้นอย่าง
เป็นสุข ถึงขนาดไล้นิ้วเล่นไปตามขลิบทองอยู่ครึ่งค่อนวันเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง
วันที่หกเดือนสิบ อาทิตย์สดใสเจิดจ้าอยู่กลางฟ้า
อวี้ถังตื่นนอนขึ้นมาเหมือนกับทุกๆ วัน เซียงซื่อยกอาหารเที่ยงมาให้ ทั้งยังยิ้มแฉ่งไถอั่ง
เปาจากอวี้ถังด้วย
หลังจากมื้อเที่ยง นายท่านอู๋ก็พาสะใภ้ใหญ่มาถึง
นางเป็นเฉวียนฝูเหรินที่สกุลอวี้เชิญมา
เริ่มจากอาบนํ้า ขัดหน้า หวีผม ดื่มเหล้าหวาน จากนั้นนายหญิงอู๋กับสะใภ้ใหญ่ก็ช่วย
สวมชุดแต่งงานให้
เพริศพริ้งจับตา งดงามจับใจ
กระทั่งนายหญิงอู๋ที่ช่วงนี้เจอหน้าอวี้ถังบ่อยๆ ยังตกตะลึง ชมเสียงเปาะว่า “งามจริงๆ”
ส่วนเฉินซื่อที่แอบแวบมามองตรงหน้าประตูยังนํ้าตาเอ่อคลอ