ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่360 พูดคุย
อวี้ถังกับนายหญิงรองไม่เหมือนกัน
นายหญิงรองแต่เล็กก็ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องหอ พอออกเรือนก็ยังแต่งให้กับสกุลใหญ่ที่มี
กฎเกณฑ์มาก สามีให้เกียรติ แม่สามีรักใคร่ นางพบเจอเรื่องมาไม่มาก ดังนั้นจึงคิดหาวิธีต่างๆ
ไม่ค่อยออก
อวี้ถังเติบโตในตรอกถนนกลางเมือง ทั้งเป็นสกุลพ่อค้า เพื่อนบ้านซ้ายขวาต่างเห็น
ความสําคัญของการจัดการเรื่องราวให้สําเร็จ มากกว่ามาใส่ใจเรื่องกฎระเบียบพวกนี้
นางค่อยๆ บอกกับนายหญิงรองว่า “ส่งคนที่เราไว้ใจไปเป็นบ่าวรับใช้ที่สกุลฉินสิเจ้า
คะ”
แต่ก่อนพวกนางก็ใช้วิธีนี้ในการสืบเรื่องของสกุลเผยเช่นกัน
แม้เรื่องใหญ่จะสืบอะไรมาไม่ค่อยได้ แต่เรื่องจุกจิกเล็กน้อยนั้นแม่นยําเป็นที่สุด
และหากพิจารณาจากเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ก็สามารถเห็นถึงนิสัยใจคอและ
ความสามารถของคนคนหนึ่งได้
นายหญิงรองลังเล เอ่ยว่า “พวกบ่าวรับใช้ไม่ค่อยรู้ความ เรื่องราวจะพลิกผันหรือไม่”
อวี้ถังหัวเราะ “แค่ให้พวกนางไปแอบฟังเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาเท่านั้นเจ้าค่ะ ส่วนว่าคน
เป็นอย่างไรนั้น พวกเราต้องมาตัดสินกันเอง อย่างเช่นว่า สาวใช้พวกนั้นบอกว่านายจ้างตระหนี่
พวกเราก็ต้องซักถามให้ชัดว่าตระหนี่อย่างไร? หากว่าอมเบี้ยหวัดรายเดือนของสาวใช้ เช่นนั้นก็
ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ถ้าเขาตระหนี่แม้แต่กับตนเอง เช่นนั้นไม่อาจเรียกว่าตระหนี่ได้ หากมิใช่
ประหยัดมัธยัสถ์ ก็ต้องเป็นคนใช้ชีวิตอย่างกระเหม็ดกระแหม่อยู่แล้ว ถ้าแค่ประหยัดมัธยัสถ์ก็
ยังพอรับไหว แต่ถ้าเขียมมากเกินไป ต่อให้อาตันมีสินเดิมมากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ เพราะ
ขนาดพ่อแม่สามียังใช้ชีวิตเช่นนั้น นางเป็นแค่ผู้น้อยจะข้ามหน้าข้ามตาพ่อแม่สามีได้อย่างไร?
2865
ต่อให้บุตรเขยดีเลิศปานไหน อาตันแต่งไปก็ต้องตกระกําลําบาก อย่างพวกสกุลเช่นนี้เราต้อง
ไตร่ตรองให้หนัก”
นายหญิงรองฟังแล้วก็พยักหน้าไปพลาง ก่อนจะขอคําชี้แนะจากอวี้ถังอย่างเลื่อมใสว่า
“แล้วจะแยกประหยัดมัธยัสถ์กับตระหนี่ได้อย่างไร?”
“ง่ายมากเจ้าค่ะ” อวี้ถังยิ้ม “ให้ดูว่าเขาปฏิบัติต่อคนรอบข้างอย่างไร? มัธยัสถ์เป็นนิสัย
อย่างหนึ่ง แต่มิใช่ว่าไม่กินไม่ดื่มเลย ส่วนตระหนี่นั้น แค่เงินสักสลึงเขาก็ไม่อยากจ่าย ท่านให้
พวกเขาไปซื้ออาหารสุราดีๆ มา ก็เหมือนจะเอาชีวิตพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น”
“เจ้าพูดมีเหตุผลนัก” นายหญิงรองผงกศีรษะไม่หยุด นางนั่งหารือกับอวี้ถังอยู่ค่อนวัน
ทั้งยังให้อวี้ถังช่วยเลือกหญิงรับใช้คนที่เหมาะสมเพื่อส่งไปสืบความด้วย
อวี้ถังยังไม่กล้าตัดสินใจเรื่องนี้
แม่นมจินเป็นคนสนิทของนายหญิงรองซึ่งเห็นคุณหนูห้ามาแต่เล็กๆ เห็นเผยตันเป็นดั่ง
แก้วตาดวงใจ นางไม่มีทางคิดร้ายกับเผยตันแน่
อวี้ถังจึงเสนอชื่อแม่นมจินออกไป
นายหญิงรองร้องว่าเห็นด้วยอย่างชื่นชม
หลังจากแม่นมจินรู้เรื่อง ยังมาขอบคุณอวี้ถังเป็นพิเศษ บอกว่าที่อวี้ถังเลือกนางนั้น
นับเป็นเกียรติแก่นางยิ่ง ดังนั้นเรื่องงานแต่งของเผยตัน นางจะทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่ คน
หายหน้าหายตาไปจากเรือนอยู่ช่วงหนึ่ง รอกระทั่งนางสืบข่าวได้มากพอ ก็ล่วงเลยวันตวนอูไป
แล้ว
อวี้ถังกับนายหญิงรองไปชมการแข่งขันเรือมังกรด้วยกัน
ตอนนั้นพวกนางอยู่ในห้องส่วนตัวของโรงสุราแห่งหนึ่ง ที่ติดตามมาด้วยยังมีสวีเซวียน
และอินซื่อ หลังจากพวกนางมาถึงแล้วจึงได้รู้ว่า ห้องฝั่งซ้ายมือเป็นของเหล่าสตรีสกุลหลี ห้อง
2866
ฝั่ งขวามือเป็นของฮูหยินฉินและนายหญิงผู้เฒ่าสกุลเฟ่ ย ยังมีหญิงแปลกหน้าอีกคน อายุ
ประมาณยี่สิบสี่ปีแล้ว แต่หน้าตาเลอโฉม บริสุทธิ์
สูงส่งคล้ายดอกบัว
อวี้ถังเดาว่านางคงเป็นคุณหนูฉินที่กําลังจะแต่งให้กับสกุลเฟ่ ยเป็นแน่
ดูท่านายหญิงผู้เฒ่าสกุลเฟ่ ยจะใช้ได้เลยทีเดียว รู้ใจว่าบุตรชายตนรักหญิงงาม ถึงหา
สะใภ้หน้าตาสะสวยมาให้
นางกับนายหญิงรองพาเผยตันและเผยหงไปคารวะนายหญิงผู้เฒ่าสกุลเฟ่ ย ฮูหยินฉิน
ชอบพอเผยตันอย่างมาก ดึงมือนางไว้พูดคุยด้วยเป็นค่อนวัน เผยตันเดิมมีนิสัยขี้อาย แต่เพราะ
ไม่รู้ว่าฮูหยินฉินอยากได้นางเป็นสะใภ้ นางจึงตอบคําถามด้วยท่าทางสง่าเปิดเผย เป็นเหตุให้ฮู
หยินฉินถูกใจนางยิ่งกว่าเดิม
กลับเป็นนายหญิงผู้เฒ่าสกุลเฟ่ ย ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากที่สตรีสกุลเผยไปทักทาย
เหล่าสตรีสกุลหลีแล้ว ก็เชื้อเชิญให้สตรีสกุลเผยอยู่กินข้าวกลางวันด้วยกัน พอมื้อเที่ยงผ่านไป
ก็หาจังหวะเข้ามาสนทนากับอวี้ถังว่า “เจ้าคิดว่าคุณหนูฉินหน้าตาเป็นอย่างไร? นางงดงาม
หรือไม่?”
นํ้าเสียงนั้นเจือกระแสวิตกกังวลแปลกๆ
อวี้ถังเพิ่งเคยเจอคุณหนูฉินเป็นครั้งแรก จึงไม่กล้าพูดอะไรออกไปมาก ได้แต่อ้อมแอ้ม
ตอบให้ผ่านไป ใครจะคิดว่านายหญิงผู้เฒ่าสกุลเฟ่ ยกลับถอนหายใจเฮือกพลางเอ่ยว่า “จื้อ
เหวิน แต่เล็กก็ชอบทําให้ข้าเป็นห่วง ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด เขาทําให้ข้าปวดหัวมากที่สุด แต่ก็
มีความสามารถมากที่สุดเช่นกัน ข้าได้แต่หวังว่าเขาจะมีความสุข แต่เขาเอาแต่คิดว่าข้าไปจู้จี้
บงการ เขาบอกว่าต้องการขอบรรดาศักดิ์
ให้ภรรยาคนแรก ข้าก็ยอมตกลงแล้วมิใช่รึ? ข้าไม่
เข้าใจเอาเสียเลยว่าเขาคิดอะไรกันแน่”
อวี้ถังได้แต่ตอบว่า “คนตายเป็นใหญ่เสมอ ใต้เท้าเฟ่ ยเป็นคนมีความรักมีหัวใจ ท่าน
ควรจะดีใจนะเจ้าคะ”
2867
ส่วนเรื่องจะรักจริงหรือไม่นั้น นางไม่อาจสรุปได้ ก็แค่ต้องการปลอบใจท่านผู้เฒ่า
เท่านั้น
นายหญิงผู้เฒ่าสกุลเฟ่ ยพยักหน้าเห็นด้วย “ได้แต่หวังว่าครั้งนี้เขาจะตั้งหลักและอยู่
อย่างสงบสุขได้เสียที อายุก็มากปูนนั้นแล้ว แต่กลับไม่มีลูกหลานสืบสกุลสักคน แค่ข้าคิดถึง
เรื่องนี้ก็หลับไม่ลงแล้ว ต่อไปถ้าลงไปอยู่ในปรโลกแล้วเจอกับแม่สามีข้า ข้าจะได้ตอบคําถาม
นางถูก”
มารน้อยในร่างอวี้ถังได้แต่ปาดเหงื่อ รีบเอ่ยว่า “คําโบราณว่าเอาไว้ ลูกที่เลี้ยงออกมา
อกตัญ�ูเป็นความผิดของบิดา ในเมื่อใต้เท้าเฟ่ ยอยากทรมานตัวเอง ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับท่านนี่
เจ้าคะ? ท่านอย่าคิดมากเลย! ตอนนี้เขาก็กําลังจะแต่งงานสร้างครอบครัวแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าดวงหน้าสดใสขึ้นบ้าง นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ถ้าสะใภ้คนก่อนของเขามาพูดกับ
ข้าเหมือนเจ้าตอนนี้ก็คงดี ข้าเองก็คงไม่รังเกียจรังงอนนางนัก เจ้าไม่รู้หรอก ต่อให้ข้าพูดอะไร
ถามอะไร นางก็ตอบเหมือนลูกยุงบิน ข้าไม่เคยฟังนางรู้เรื่องเสียที”
อวี้ถังไม่กล้าต่อความ ได้แต่ฉีกยิ้มเอ่ยว่า “สามีข้าบอกว่าข้าดื้อรั้น เหอะๆ ใครจะคิดว่า
พออยู่กับท่าน กลายเป็นได้รับคําชมเสียได้ กลับไปข้าต้องไปเล่าให้เขาฟังสักหน่อย ให้ข้าได้มี
หน้ามีตาบ้าง”
นายหญิงผู้เฒ่าได้ฟังก็หัวเราะใหญ่ คล้ายอารมณ์เบิกบานขึ้นบ้างแล้ว จึงเลิกพูดเรื่อง
สะใภ้คนก่อนของตนอีก แล้วหันไปเอ่ยเรื่องคุณหนูฉินแทนว่า “ข้ารู้ ครั้งนี้ที่จื้อเหวินยอมแต่ง
ภรรยา ล้วนเป็นความชอบของสยากวง ข้าไม่อยากพูดให้มากความแล้ว ดูท่าคุณหนูฉินจะ
ค่อนข้างเก็บตัว ข้าคิดว่าหากเจ้ามีเวลาก็ไปเล่นที่เรือนข้าบ่อยๆ หน่อย ถือเสียว่าช่วยเหลือ
จื้อเหวินของข้าก็แล้วกัน”
คุณหนูฉินมีนิสัยอย่างไรอวี้ถังมองไม่ออก และนางก็ไม่อาจตอบรับคําขอของฮูหยินผู้
เฒ่าได้ อีกอย่างเผยเยี่ยนก็พูดจามีเหตุผล ไม่มีทางที่ทุกคนจะชื่นชอบเรา ชีวิตคนแสนสั้น สิ่งที่
สําคัญคือทําให้ตัวเองมีความสุข ใครที่ไม่ชอบเรา ก็ไม่จําเป็นต้องทนคบหา
2868
นางไม่ได้รับคํา แต่ถามกลับอย่างประหลาดใจว่า “งานแต่งของใต้เท้าเฟ่ ยกําหนดวัน
แล้วหรือเจ้าคะ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้คิดมาก ทั้งไม่ได้คุยเรื่องคุณหนูฉินต่อ กลับรู้สึกว่าอวี้ถังร่าเริงเปิดเผย
คนก็คุยสนุก ถูกใจนางเป็นที่สุด จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เขาอายุไม่น้อยแล้ว พวกเราสองสกุล
เลือกวันที่สองเดือนแปดเอาไว้ พอแต่งภรรยาก็ฉลองวันไห ว้พระจันทร์เลย แต่ก็รู้สึกผิดต่อ
คุณหนูฉินไม่น้อย เพราะเวลากระชั้นเกินไปหน่อย”
“เลือกวันได้ดีเลยเจ้าค่ะ” อวี้ถังรีบลากบทสนทนาออกไปไกล “ข้าเคยได้ยินว่า พอผ่าน
วันไหว้พระจันทร์ไปเมืองหลวงก็จะเริ่มกักตุนอาหารแล้ว ต้องซื้อผักกาดขาว หัวไชเท้ามาเก็บไว้
ที่ห้องใต้ดิน สะใภ้เพิ่งแต่งเข้ามา ในเรือนเริ่มมีเวลาว่าง จะได้จัดการเตรียมของต่างๆ สําหรับ
หน้าหนาวด้วย”
ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังสาวก็เคยติดตามสามีมาอยู่ที่เมืองหลวงช่วงหนึ่ง พอรู้ว่าคนเมือง
หลวงใช้ชีวิตช่วงหน้าหนาวอย่างไร นางหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ข้าก็คิดไว้แบบนั้น ถึงได้เลือกวัน
แต่งงานก่อนช่วงไหว้พระจันทร์อย่างไรเล่า”
อวี้ถังถือโอกาสชวนนางคุยเรื่องการข้ามผ่านหน้าหนาวในเมืองหลวงต่อ ฮูหยินผู้เฒ่า
คงเห็นว่านางอายุยังน้อย อาศัยว่าตนเป็นผู้อาวุโสมีประสบการณ์ จึงชี้แนะอวี้ถังไปหลายอย่าง
ขอเพียงไม่ต้องคุยเรื่องเรือนหลังของสกุลเฟ่ ย อวี้ถังล้วนยินดีรับฟังทั้งสิ้น
นางถอนหายใจเฮือก แล้วนั่งคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าพักใหญ่
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกประทับใจนางมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่จะกลับจึงเอ่ยกับฮูหยินฉินว่า “ข้า
คิดว่าสกุลเผยไม่เลว ไม่พูดถึงอย่างอื่น แต่การเลือกสะใภ้ก็นับว่าสายตาแหลมคมยิ่ง” ทั้งยัง
ทอดถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ข้ากับฮูหยินเผยเคยเจอกันที่เมืองหลวงครั้งหนึ่งตอนที่ยังสาว ตอนนั้น
ข้ารู้สึกว่านิสัยนางแข็งกร้าวเกินไป ต่อไปย่อมจะลําบากแน่ ใครจะคิดว่าคนที่ลําบากจะเป็นข้า
เสียเอง เห็นได้ว่าเรื่องบางเรื่อง นางเก่งกาจกว่าข้า ทั้งมองคนออกกว่าข้าอีก!”
2869
ฮูหยินฉินคิดถึงท่าทางลังเลตอนที่สามีเอ่ยเรื่องการเกี่ยวดองกับสกุลเผย อดจะเอ่ย
ไม่ได้ว่า “เช่นนั้นท่านคิดว่าคุณหนูห้าสกุลเผยเป็นอย่างไรเจ้าคะ?”
“อวี้ซื่อเป็นสะใภ้บ้านหลักกระมัง?” ฮูหยินผู้เฒ่าถาม “นางแก่กว่าคุณหนูห้าไม่กี่ปี
เท่านั้น มีญาติที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ ต่อให้คุณหนูห้ามีด้านใดบกพร่อง ผู้ใหญ่จากสกุลฝั่งมารดา
ก็พร้อมจะช่วยสั่งสอน อีกอย่างการอบรมเลี้ยงดูของสกุลเผยเจ้าก็รู้อยู่ ต่อให้ยํ่าแย่แต่จะแย่ไป
ถึงขั้นไหนได้กัน?”
ฮูหยินฉินฟังแล้วคิดว่ามีเหตุผล จึงเริ่มร้อนใจอยากตกลงกันให้เรียบร้อย
หลังผ่านวันตวนอู นางก็ให้คนส่งข้าวสาลีใหม่ไปให้สตรีสกุลเผยทําบะหมี่เย็นกินกัน
ประกอบกับแม่นมจินทางนั้นก็สืบได้เรื่องจนกระจ่างแล้ว
ใต้เท้าฉินคงอยากรักษามารตรฐานของสกุล ไม่ว่ากับฮูหยินฉินหรือกับลูกๆ เองต่างก็
อบรมอย่างเข้มงวด ความเข้มงวดนี้มิใช่ความประหยัดมัธยัสถ์ในชีวิตประจําวัน แต่เป็นการ
ประพฤติปฏิบัติตัว คุณชายฉินแม้จะไม่ได้ปราดเปรื่องเหนือใคร แต่ก็หนักแน่นใจกว้าง มุมานะ
เล่าเรียน ปฏิบัติต่อน้องสาวน้องชายในสกุลเป็นอย่างดี บ่าวไพร่ในสกุลเมื่อพูดถึงคุณชายท่าน
นี้ ต่างก็ให้ความเคารพยําเกรงนัก
นายหญิงรองฟังแล้วก็ยิ้มหน้าบาน โพล่งออกมาว่า “ประเสริฐยิ่งๆ!” จากนั้นก็เริ่มกังวล
ใจเล็กน้อย หันมาถามอวี้ถังว่า “เจ้าคิดเห็นอย่างไรเล่า?”
อวี้ถังก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย
นายหญิงรองถึงได้ตัดสินใจแน่วแน่ ปรึกษากับเผยเซวียนว่าจะเชิญฮูหยินฉินมาเป็น
แขกที่เรือนสักครั้ง
เผยเซวียนก็จัดการด้วยวิธีของตนเองเช่นกัน เขาสืบได้ความว่าสกุลฉินชื่อเสียงใช้ได้
เขาไม่เพียงแค่เห็นด้วย ยังแนะนําให้เชิญคนจากสกุลฉินมาทั้งหมด “พวกเขาเคยเป็นขุนนางที่
2870
แถบเจียงซีเจ้อเจียง พวกเราก็เป็นคนทางนั้น จะสนิทกันไว้ก็ไม่เสียหาย” ทั้งยังบอกเผยเยี่ยนให้
หาเวลาว่างเอาไว้ “เจ้าก็มาร่วมด้วยเถอะ”
นี่คล้ายว่าเป็นการดูตัวครั้งสุดท้ายแล้ว
หากว่าเด็กทั้งสองคนไม่ถูกใจกัน เรื่องนี้ก็ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น หากว่าเด็กสองคนรักชอบ
กัน ตอนที่สกุลฉินส่งคนมาสู่ขอ สกุลเผยเองก็ไม่ต้องกระอักกระอ่วนอ้างว่าขอคิดดูก่อน
สองสกุลนัดแนะเวลาจัดงานเลี้ยงได้อย่างรวดเร็ว เป็นวันที่สองรองเจ้ากรมหยุดพัก
พอดี
อวี้ถังกับนายหญิงรองเตรียมตัวกันหลายวันเพื่องานเลี้ยงครั้งนี้ แค่เรื่องว่าต้องใช้ถ้วย
ชามสีอะไร นายหญิงรองก็ลังเลอยู่ครึ่งวันแล้ว ตอนที่กู้ซีไปยืมแม่พิมพ์ทําขนมที่คลังเก็บของ
นั้นเอง นางถึงเพิ่งรู้ว่าสกุลเผยจะเชิญคนจากสกุลฉินมาเป็นแขก
นางมุ่นคิ้วจนพันกันยุ่ง
อวี้ถังไม่เคยพูดกับนางมาก่อนเลย
หลังจากที่กลับไปนางก็อารมณ์เสียเล็กน้อย ยังคงเป็นแม่นมของนางที่ปลอบใจนางว่า
“ถ้ารู้เรื่องก็ต้องไปช่วยงานอีกเจ้าค่ะ ไปช่วยแล้วยังไม่มีใครเห็นความดี ถ้าไม่ต้องไปเลยจะไม่
ดีกว่าหรือเจ้าคะ? อย่าได้โมโหไปเลยเจ้าค่ะ”
อารมณ์มืดครึ้มของกู้ซีถึงค่อยสลายไป
อวี้ถังกับนายหญิงรองไม่มีทางหลงลืมนางอยู่แล้ว แต่เพราะไม่ต้องการให้นางรู้ถึง
จุดประสงค์แท้จริงที่เชิญคนจากสกุลฉินมา ถึงไม่ได้เรียกนางไปช่วยเหลือ กระทั่งสองวันก่อน
เริ่มงาน ถึงค่อยบอกให้นางทราบเรื่อง