องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 616 หวาชิงไม่ได้เมาเหล้า แต่นางเมาหลงท่านอ๋องเย่
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 614 หวาชิงไม่ได้เมาเหล้า แต่นางเมาหลงท่านอ๋องเย่
หนานกงเย่ฟังอยู่ด้านในประตู ใจร้อนเหลือล้น
เขาไปเปลี่ยนชุด แล้วเรียกฉีเฟยอวิ๋นอยู่ด้านใน“อวิ๋นอวิ๋น”
ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวกลับไป ปิดประตูแล้วกล่าวว่า“ท่านอ๋อง”
“ชุดของข้าทำได้ไม่ดีเลย ทำให้ข้าหน่อย”หนานกงเย่ทำได้ไม่ดีจริงๆ ยิ่งทำยิ่งรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว
ฉีเฟยอวิ๋นหน้านิ่งคล้ายดั่งตำหนิกล่าวโทษเดินไปหาหนานกงเย่ จากนั้นออกแรงดึงเสื้อผ้า
หนานกงเย่หัวเราะตลกขบขันมองฉีเฟยอวิ๋น เขาถูกฉีเฟยอวิ๋นดึงทึ้งจวนจะล้มแล้ว และเขายังใช้มือโอบประคองเอวฉีเฟยอวิ๋นด้วย
ทั้งสองคนไม่พูดเยอะ พูดแล้วก็ล้วนเป็นการกล่าวพูดให้ชิงหวาฟัง
ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะไป สองมือของหนานกงเย่โอบกอดเธอไว้ แววตาอันลึกซึ้ง แม้จะมีคำพูดที่คับแค้นใจ แต่ก็รู้ว่าเธอนั้นถูกบีบบังคับจนไร้หนทางอื่น
แต่หนานกงเย่ยังก้มจูบสัมผัสเธอ ฉีเฟยอวิ๋นเลนหน้าหนี ปล่อยมือแล้วเดินไปอีกด้าน เธอมีความรู้สึกน้อยใจ
หนานกงเย่โอบกอดฉีเฟยอวิ๋นจากทางด้านหลัง ก้มศีรษะลงกระซิบข้างกกหูฉีเฟยอวิ๋นว่า“ข้าเกิดมาเป็นคนของอวิ๋นอวิ๋น ตายก็ผีก็คือคนของอวิ๋นอวิ๋น สวยถือว่าสวย แต่ไม่ใช่อวิ๋นอวิ๋นของข้า ข้าไม่ได้ต้องการหรอกนะ”
ฉีเฟยอวิ๋นหันศีรษะมองหนานกงเย่ หนานกงเย่ยิ้มละมุน จูบสัมผัสฉีเฟยอวิ๋น เขาจูงฉีเฟยอวิ๋นไปที่ประตู ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไป ก็รู้ว่าเธอมีลักษณะท่าทางกระเปิ๊บกระป๊าบไม่เรียบร้อยแล้ว เพรยงแค่ชอบ ก็ไม่ใช่อะไรสักหน่อย
ฉีเฟยอวิ๋นจัดการกับอารมณ์หงุดหงิดใจร้อน จากนั้นเดินตามหนานกงเย่ออกไป พอมาถึงด้านนอกประตูหวาชิงก็ยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว
เจอทั้งสองคนหวาชิงเลยรีบทำความเคารพนับถือ กล่าวว่า“หวาชิงถวายบังคมท่านอ๋องเย่เพคะ”
“แม่ทัพน้อยมิจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าตื่นสาย ได้ยินพระชายากล่าวแล้ว ต้องโทษข้าที่เมื่อคืนนอนดึก ถึงได้ลำบากพระชายา ขอแม่ทัพน้อยโปรดอภัยด้วย!”
“หวาชิงมิกล้าเพคะ!”
หวาชิงเงยหน้ามองหนานกงเย่ นางมองจนหน้าแดงก่ำจึงก้มหน้าลง
สายตาของหนานกงเย่อึมครึม เขามองฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่ข้างกายจากนั้นได้พากันเดินไปทางด้านนอก
ฉีเฟยอวิ๋นถูกเขาดึงไป หวาชิงที่อยู่ด้านหลังชะงักงัน ตอนที่มองหนานกงเย่กลับไม่ได้มีความรู้สึกโกรธเคือง นางได้แต่รีบเดินสาวเท้าตาม
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้มีความสุขเท่าไหร่ เธอรู้สึกได้ว่าหวาชิงไม่ได้โกรธเคือง
ทั้งสามคนมาถึงห้องอาหาร อาหารเช้านั้นได้เตรียมพร้อมแล้ว อยู่ที่ชายแดนไม่ได้อลังการเท่าที่เมืองหลวง อาหารเช้ามีสามอย่างกับซุปหนี่งอย่าง และหมั่นโถว
หนานกงเย่นั่งลงแล้วเริ่มลงมือกินข้าว ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้มีการวางมาด กินได้ทุกอย่าง พลทหารที่ชายแดนกินอะไรเธอก็กิน ต่อให้เธอไม่ชอบกิน เธอก็ไม่ได้พูดอะไร พอกินแล้วก็ชอบมาก
หวาชิงพินิจพิจารณาฉีเฟยอวิ๋นอย่างละเอียด นับว่าฉีเฟยอวิ๋นตกระกำลำบากได้ เป็นคนที่ซื่อตรงถ่อมตัว
หนานกงเย่คีบน่องไก่ให้ฉีเฟยอวิ๋นจากนั้นกล่าวว่า“ระหว่างเดินทางไม่ได้กินของอร่อย กินเนื้อเยอะๆหน่อย หลีกเลี่ยงตอนที่กลับไปแล้วจะซูบผอม”
หวาชิงยิ้ม กล่าวขึ้นว่า“จริงอยู่ว่าอาหารที่ชายแดนมันหายาก แต่ของเหล่านี้ที่หามาก็ไม่เลวแล้ว ปกติเนื้อของพวกเราก็ไม่มากเพคะ”
หนานกงเย่ชำเลืองมองหวาชิง กล่าวว่า“แท่ทัพน้อยก็กินเยอะๆหน่อย ข้าจะพยายามเอาตั๋วเงินมาส่งที่ชายแดน แก้ไขเรื่องอาหารการกินนี้ ทำให้เหล่ากองกำลังทหารได้กินเนื้อกัน”
มีบางเวลาที่ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกนับถือหนานกงเย่ เขามีบางเวลาที่เขาหยิ่งยโส ท่าทางนั้นไม่ลดละ แต่มีบางเวลาที่เขาถ่อมตน ท่าทางอย่างนั้นมันเข้าถึงได้ง่ายมาก”
หวาชิงกล่าวว่า“ปีนี้มั่งคั่งเหลือเฟือเพคะ ดีกว่าปีก่อนๆ เยอะ ปีก่อนๆ ทหารต้องขุดผักป่า กินรากไม้ ปีนี้เป็นปีที่ดีที่สุด นี่เนื่องมาจากคุณงามความดีของท่านอ๋องเย้เพคะ
ตั้งแต่ท่านอ๋องได้เริ่มเข้ามาควบคุมระบบราชการของเมืองต้าเหลียง เข้าเป็นเสนาบดีในราชสำนัก ทุกปีพลทหารที่อยู่ชายแดนล้วนได้รับตั๋วเงินบำรุง ไม่เพียงแค่สามารถส่งกลับไปบำรุงภายในเรือน ยังสามารถกินเนื้อได้ด้วย
เหล่ากองกำลังทหารเคารพนับถือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะได้ยินว่าท่านอ๋องเย่เป็นแม่ทัพน้อยที่ไร้คู่ต่อสู้มาเทียบเทียน ทุกคนล้วนอยากเจอท่านแม่ทัพน้อย ที่ได้กลายเป็นทหารของแม่ทัพน้อยกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกกินไม่ลงแล้ว ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของหนานกงเย่ที่อยู่ด้านนอก คนที่เคารพนับถือมีจำนวนไม่น้อยทีเดียว หนึ่งในนั้นประกอบไปด้วยหวาชิง
หนานกงเย่คีบเนื้อให้ฉีเฟยอวิ๋น แล้วกล่าวว่า“กินเนื้อสิ”
หนานกงเย่เกรงว่าฉีเฟยอวิ๋นจะไม่ได้กินเลยออกคำสั่งเสียเลย
“น่าเสียดายที่ข้าดำรงตำแหน่งในราชสำนักแล้ว ไร้หนทางที่จะร่วมรบต่อสู้กับเหล่าทหารกล้า ชายแดนเลยต้องมอบแก่แม่ทัพน้อยมาปกป้องดูแล”
หนานกงเย่กล่าวจบได้มองไปทางฉีเฟยอวิ๋น เขาไม่พอใจที่เธอไม่ยอมกินเนื้อ เลยกล่าวคะยั้นคะยอว่า“กินข้าว กินข้าวเสร็จยังต้องไปที่ค่ายทหารอีกนะ”
“เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้กินข้าว หลังจากนั้นหวาชิงก็พูดคุยอย่างต่อเนื่อง คำเดียวฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้พูดเลยทีเดียวเชียว
ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ข้างกายหนานกงเย่ตั้งแต่ต้นทาโดยตลอด ต่อมาหวาชิงก็อยู่ข้างกายหนานกงเย่ด้วย ฉีเฟยอวิ๋นมีความรู้สึกหนึ่งทันที ว่าไม่แน่หวาชิงอาจจะกลายเป็นพระชายาเย่ นางมีความเหนือกว่ามาก
พอมาถึงค่ายทหาร หนานกงเย่พบปะทหารสามเหล่าทัพก่อน และพินิจพิจารณาเฝ้าดูการฝึกซ้อม ตั้งแต่ต้นจนจบฉีเฟยอวิ๋นถูกเขาแนบไว้ข้างกาย บางทีพลั้งเผลอได้จูงมือเธอขึ้นไปด้วย
หวาชิงเดินตามอยู่อีกข้าง ทั้งสามคนเดินทางร่วมกัน
มีคนบางกลุ่มเริ่มถกกันว่าหวาชิงน่าจะได้แต่งงานกับหนานกงเย่ ไม่เสียแรงเปล่าที่หวาชิงรักมาหลายปี และก็มีคนพูดว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่คู่ควรกับหนานกงเย่ บอกว่าเธอไร้อารยะธรรมใช้วิธีแผนการที่ต่ำช้าถึงได้แต่งกับหนานกงเย่ ไม่อยากนั้นหนานกงเย่ไม่มีทางแต่งงานกับเธอหรอก
ไม่นานคำพูดเหล่านี้ก็ได้มาถึงหูฉีเฟยอวิ๋น แน่นอนว่าหนานกงเย่ก็ได้ยินเช่นกัน
ค่ำคืนนั้นฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่เตรียมตัวจะพักผ่อน หวาชิงได้มาหาหนานกงเย่ นางอยากจะพูดคุยด้วยตามลำพัง
หนานกงเย่กล่าวว่าเขาไม่ค่อยสบาย ได้นอนลงแล้ว หวาชิงไม่ไปไหน นางยังคงรออยู่ด้านนอก
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่หน้าประตูเห็นหวาชิง เลยหมุนตัวกลับไปมองหนานกงเย่ที่อยู่บนเตียง เธอเลยเดินไปนั่งลงข้างกายเขา
หนานกงเย่ไม่ได้อธิบาย แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าใจ ตอนนี้เสียงเรียกร้องหวาชิงดังหนักมาก หากตอนนี้ปฏิเสธหวาชิง จะทำให้จิตใจของทหารกวัดแกว่ง ครั้งนี้ทางฝั่งชายแดนได้ทำการเปิดสู้รบมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวาชิงต่อสู้รบแล้วชนะ นางได้รับคุณงามความดีมากมาย แม้ว่าเหล่าพี่ชายของนางจะแกร่งกล้าเรื่องราวการสู้รบ แต่ทว่าไร้หนทางที่จะมาแทนตำแหน่งนางได้ มันมีแค่นางเท่านั้นที่ทำได้
ในกลุ่มทหารกล่าวกันว่า หวาชิงสามารถจัดการกับการสู้รบได้นับพันลี้ และมีการวางกลยุทธ์ที่แยบยลด้วย
ลองถามหญิงผู้หนึ่ง สามารถอยู่ในกองกำลังทหารท่ามกลางผู้ชายได้ เช่นนั้นจะต้องเป็นหญิงเช่นไรหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ หนานกงเย่ต้องการสงบจิตใจทหาร เพราะว่าต้องการใช้พวกเขาสู้รบ
คิดนับไปนับมา ผลมาออกที่หวาชิง
หนานกงเย่ยอมนั้นไม่ได้
และก็ไม่สามารถทำให้ใจของทหารว้าวุ่นด้วย
ก็เลยทำได้เพียงแกล้งป่วย
อวิ๋นเซวียนอี้สองสามีภรรยามาขอพบ ฉีเฟยอวิ๋นเลยจำใจต้องออกไปเจอพวกเขา ไม่อยากนั้นก็เผยความลับออกมาแน่
ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไป อวิ๋นเซวียนอี้กับอู๋กั่วรออยู่ด้านนอกแล้ว ตอนเจอฉีเฟยอวิ๋นอวิ๋นเซวียนอี้ค่อนข้างระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก เขาก้าวเดินเข้ามาทำความเคารพ
อู๋กั่วเพียงแต่เรียกฉีเฟยอวิ๋นปกติว่าพระชายาเย่
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า“ท่านอ๋องไม่สบาย น่าจะไม่คุ้นชินน้ำและดินฟ้าอากาศ พวกเจ้ามีเรื่องอันใดหรือ?”
“กองทัพทั้งสองทำสงครามกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เมืองถาถ่านนั้นแข็งแกร่ง พวกเราอยากรู้ว่าท่านอ๋องเย่มีวิธีใด ที่จะทำลายเมืองถาถ่านโดยเร็วที่สุด”
“เรื่องนี้วันพรุ่งค่อยคุยเถิด ทั้งสามท่านน่าจะมาเพราะเรื่องนี้ แม่ทัพหวาและท่านอ๋องหย่งจวิ้นไม่ได้อยู่ทางด้านนี้ ท่านอ๋องก็ไม่สบายด้วย รอพรุ่งนี้ค่อยคุยอีกทีเถิดนะ”
ฉีเฟยอวิ๋นอยากให้หวาชิงกลับไปเช่นกัน
อวิ๋นเซวียนอี้รีบกล่าวว่า“เช่นนั้นกระหม่อมและอู๋กั่วกลับก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ วันพรุ่งนี้ยามเช้าค่อยเจรจาหารือกัน”
“แม่ทัพน้อยอวิ๋นเชิญ ข้ามาหาท่านอ๋องเย่นั่นเพราะเรื่องส่วนตัว”
“…….”
อู๋กั่วขมวดคิ้ว ที่แท้เป็นอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ!
หวาชิงไม่ได้เมาเหล้า แต่เมาหลงท่านอ๋องเย่