องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 1 ยกเลิกงานแต่งงาน
“ร้อนหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ทันจะได้ดื่มด่ำกับความสุขในการแต่งงาน นางก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่ตนเองอยากแต่งงานด้วยนั้นกำลังโอบกอดแนบชิดกับหญิงสาวอีกคนในอ้อมแขนของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นน้องสาวต่างมารดาที่มีชื่อว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ประคองถ้วยชาในมือ และยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมกับส่ายศีรษะเบาๆ ใบหน้าของนางแดงระเรื่อราวกับมะเขือเทศ เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกราวกับถูกมีดน้ำแข็งทิ่มแทงหัวใจ นางรู้สึกเจ็บปวดเมื่อมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า
ความรู้สึกปวดร้าวที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้นี้ ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวเท้าไปข้างหน้า
เจียวเอ๋อร์หดคอลงในทันที ใบหน้าเล็กๆ อันน่าทะนุถนอมของนางเผยให้เห็นความหวาดกลัว นางร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านพี่ ข้าอธิบายได้…”
“ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรหรอก” ผู้ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเย็นชาและเมินเฉย ขณะที่กำลังลูบไหล่ของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ และพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา “ไม่มีอะไรต้องอธิบายให้หญิงชั่วช้าคนนี้ฟังหรอก”
สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยซีดเผือด นางผงะถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว “หญิงชั่วช้าหรือ ฮ่าๆ ท่านเรียกข้าว่าหญิงชั่วช้าเช่นนั้นหรือ”
นางรอคอยเขามากว่าเจ็ดปี เจ็ดปีแห่งการรอคอยอย่างไม่ย่อท้อ และนี่คือผลลัพธ์ที่ได้เช่นนั้นหรือ
“เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าตนเองทำอะไรลงไป” น้ำเสียงของชายหนุ่มดูเย็นชาและไร้ซึ่งความปรานี ดวงตาที่เขามองนางนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจ “ข้าคิดว่าเจ้าเป็นเพียงเด็กสาวไร้เดียงสา แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น แม้แต่คนจิตใจดีอย่างเจียวเอ๋อร์เจ้าก็ยังทำได้ลง ช่างมีจิตใจที่เหี้ยมโหดยิ่งนัก เฮ่อเหลียนเวยเวย ความหยาบคายและความจองหองของเจ้าควรยุติลงเสียที”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของชายผู้นั้นเบาๆ “ซื่อจื่อ ทั้งหมดเป็นความผิดของเจียวเอ๋อร์เองเจ้าค่ะ พี่สาวรักท่านมาก นางจึงทำกับเจียวเอ๋อร์เช่นนี้ เจียวเอ๋อร์… เจียวเอ๋อร์ทนได้เจ้าค่ะ”
นางร่ำไห้ไปพลางพูดไปพลางกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ ขณะมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ท่าทีเช่นนี้ทำให้ผู้คนสงสารยิ่งนัก
เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มผู้นั้นก็หมดความอดทน ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและโยนกระดาษแผ่นหนึ่งใส่หน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย
บนกระดาษแผ่นนั้น มีตัวอักษรเพียงสองตัวเขียนว่า ถอนหมั้น
มือของเฮ่อเหลียนเวยเวยสั่นเทา นางรู้สึกราวกับดวงตาของตนนั้นถูกผึ้งต่อย บาดแผลนั้นช่างทรมานยิ่งนัก
ชายผู้นั้นไม่แม้แต่จะเหลียวมองนางอีกเลย เขาเดินนำเจียวเอ๋อร์ไปยังห้องหนังสืออย่างอ่อนโยน ราวกับว่าสิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเขานั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเพียงสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น
“ฮ่าๆๆ ที่แท้คุณชายมู่หรงก็ตั้งใจมาส่งหนังสือถอนหมั้นกับนางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ข้าว่าแล้ว มิเช่นนั้น เขาจะเจาะจงมายังห้องโถงหน้าโดยเฉพาะทำไมกัน” เฮ่อเหลียนเหมยผู้มักจะสนุกกับการกลั่นแกล้งรังแกเฮ่อเหลียนเวยเวย เอื้อมมือไปคว้าหนังสือถอนหมั้นในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความยินดี
เวลานี้ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ไปส่งชายคนนั้นได้กลับมาแล้ว นางมองดูข้อความที่ปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นนั้นแล้วยิ้มเยาะ ก่อนจะโยนมันใส่หน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย พร้อมกับเอนตัวไปข้างหน้า จากนั้น จึงใช้มืออีกข้างกระชากผมของเฮ่อเหลียนเวยเวยไปด้านหลังอย่างรุนแรง
“ปกติเจ้าเป็นคนยโสโอหังมิใช่หรือ ข้าอยากเห็นเจ้าทำตัวเช่นนั้นเดี๋ยวนี้” ท่าทีเขินอายของเจียวเอ๋อร์ได้หายไปแล้ว นางดึงผมของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วจับศีรษะของอีกฝ่ายกระแทกลงบนโต๊ะหลายต่อหลายครั้งโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “ตอนนี้เจ้าก็ถอนหมั้นกับซื่อจื่อแล้ว ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะทำอย่างไร นังแพศยา”
“พี่เจียวเอ๋อร์ อย่าเสียเวลากับนางเลย นังแพศยาคนนี้ก็เหมือนกับสุนัขขี้เรื้อนที่คอยเดินตามซื่อจื่อทั้งวัน ท่านควรจะสอนบทเรียนดีๆ ให้นางรู้ถึงสถานะของตัวเองบ้าง”
“เจ้าพูดถูก” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เย้ยหยัน ก่อนจะเอื้อมมือออกไปอีกครั้ง แล้วจับศีรษะของเฮ่อเหลียนเวยเวยกดลงในถังน้ำที่อยู่ใกล้ๆ
ในนั้นมีน้ำอยู่เต็มถัง และเมื่อศีรษะของเฮ่อเหลียนเวยเวยจมอยู่ในนั้น นางก็เริ่มสำลักน้ำที่เข้าไปในโพรงจมูกและต้องการอากาศหายใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อที่จะหลุดพ้นออกมาให้ได้ แต่โชคร้ายที่นางไม่มีแรงพอ เพียงครู่ต่อมา ร่างของนางก็ตกลงไปในถังน้ำนั้น
ดูเหมือนว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะยังไม่พอใจ นางคว้าผมของอีกฝ่ายก่อนจะดึงนางขึ้นมา จากนั้นจึงกดลงไปอีกครั้ง “เจ้ากล้าสู้กับข้าเช่นนั้นหรือ เจ้าไม่ส่องกระจกดูเงาตัวเองบ้างหรืออย่างไร ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่าเขาเบื่อหน่ายเจ้ามานานแล้ว แต่เจ้าก็ยังคอยป้วนเปี้ยนอยู่กับซื่อจื่อ หน้าไม่อาย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกถึงคลื่นความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วหนังศีรษะจากการถูกเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กระชากอย่างรุนแรง นางรู้สึกราวกับว่าชั้นผิวหนังนั้นกำลังลอกออกจนแสบร้อน ในขณะที่มีน้ำเย็นเฉียบไหลเข้าปาก นางกลืนเข้าไปพร้อมกับไอและสำลักมันออกมา นางหายใจอย่างเหนื่อยหอบด้วยความสิ้นหวัง รู้สึกท้อแท้ ในขณะที่พยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ไม่นานนัก แม้แต่แสงสว่างในดวงตาของนางก็ค่อยๆ มืดดับลง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เผยประกายความชั่วร้ายออกมา ก่อนจะพูดถ้อยคำที่อยู่ในความคิดของตนเอง “น้องสาว ทำไมพวกเราไม่โยนผู้หญิงชั่วช้าคนนี้ลงไปในแม่น้ำเล่า แล้วพวกเราก็จะพูดได้ว่านางได้รับหนังสือถอนหมั้น หลังจากนั้นจึงฆ่าตัวตาย…”
เสียงของทั้งสองคนนั้นค่อยๆ ไกลห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีเสียงน้ำกระเซ็นอย่างแรงเหมือนของหนักตกลงไปในน้ำดังขึ้น
ในที่สุด เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ต้องฟังเสียงเหล่านั้นที่ทำให้ต้องขมขื่นอีกต่อไป
เพียงแต่นางไม่ยินยอม!
หากมีใครสักคนสามารถเอาทุกอย่างที่เป็นของนางกลับคืนมาได้ นางก็เต็มใจที่จะเสียสละทุกอย่างที่มี
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถเพ่งมองไปในท้องฟ้าอันมืดมิดได้ ในขณะที่รอบข้างของนางมืดลงเรื่อยๆ น้ำตาของนางก็ไหลออกมา และไม่นานนัก หางตาของนางก็เห็นประตูบานใหญ่ที่ไม่น่าจะมีอยู่ในโลกใบนี้…
…….
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย และเสียงสะอื้นเบาๆ ที่ดังขึ้นข้างๆ ก็ดึงเฮ่อเหลียนเวยเวยออกมาจากความมืดที่อยู่รอบกายของนาง
ทันทีที่หญิงสาวลืมตาขึ้นมา นางก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าอย่างมาก
สะพานเล็กๆ บนลำธารที่มีน้ำใสไหลริน ทางเดินหินกรวดและศาลาโบราณตั้งตระหง่าน หญิงชราในชุดโบราณคนหนึ่งกำลังคุกเข่าและร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ นาง
เมื่อหญิงชราคนนั้นสังเกตเห็นว่านางฟื้นแล้ว ก็ยิ้มออกมา นางดูโล่งใจในขณะที่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ก่อนจะรีบปาดน้ำตาออกทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ราวกับตกอยู่ในภวังค์ ในช่วงเวลาที่ผ่านไปนั้น สีหน้าของนางดูงุนงงอย่างมาก
หญิงชรามองนางในสภาพนั้น แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นความห่วงใยและวิตกกังวล นางรู้สึกเคร่งเครียด ก่อนจะรีบเอ่ยถาม “คุณหนูเจ้าคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ คุณหนูเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าเจ้าคะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ตอบอะไร นางเงียบงันไปครู่หนึ่ง และสายตาของนางก็ดูเย็นชาขณะที่กำลังมองตรงไปยังหญิงชราคนนั้น
“คุณหนู…” หญิงชราตัวสั่นเทาด้วยความตื่นตระหนกเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น “คุณหนูเจ้าคะ ท่านไม่พูดอะไรเลยเช่นนี้ไม่ดีเลยเจ้าค่ะ พวกเราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ บ่าวรับใช้คนนี้จะไปหานายท่านในห้องหนังสือ ท่านเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลเฮ่อเหลียน แม้ว่าเขาจะเป็นคนไร้หัวใจ แต่เขาก็ควรจะทำอะไรบางอย่างบ้าง เขาไม่อาจทำตัวเนรคุณเช่นนี้ได้ ถึงขนาดตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นแบบนี้ มันเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
นายท่านหรือ ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นเช่นนั้นหรือ
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ลง คนๆ นี้กำลังหลอกนางอยู่หรือเปล่า
ใครกันที่กล้าหลอกราชินีนักรบเช่นนี้
รนหาที่ตายชัดๆ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับตัวเล็กน้อย และกำลังจะลุกขึ้น แต่ทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของนาง เรื่องราวมากมายที่ไม่ใช่ความทรงจำของนางต่างก็พรั่งพรูเข้ามา ข้อมูลจำนวนมากเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกเวียนศีรษะและคลื่นไส้
ความทรงจำเหล่านี้เป็นของผู้อื่น ตั้งแต่เริ่มพูดได้ไปจนถึงตอนที่เป็นเด็กสาววัย 15 ปี เรื่องราวต่างๆ ประกอบกันเป็นความทรงจำอันยุ่งเหยิงและไม่สมบูรณ์ สำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว มันเป็นการเปิดโลกใบใหม่ที่นางไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
สถานที่แห่งนี้คือโลกยุคโบราณที่แตกต่างจากศตวรรษที่ 21 อย่างสิ้นเชิง และเป็นโลกที่ทุกคนถูกปกครองโดยฮ่องเต้
ในโลกแห่งนี้เคารพยกย่องผู้ที่มีทักษะการต่อสู้ทั้งหลาย ใครที่มีหมัดอันแข็งแกร่งถึงจะมีสิทธิ์พูด
ในฐานะราชินีนักรบผู้โด่งดัง เฮ่อเหลียนเวยเวยแทบไม่อยากเชื่อเลย เธอเพิ่งจะหลับไปได้ครู่เดียว หลังจากที่ตื่นขึ้นก็มาปรากฏตัวอยู่ในโลกยุคนี้อย่างงุนงง ยิ่งไปกว่านั้น คือนางมาอยู่ในร่างของเด็กสาวคนหนึ่งอีกด้วย