องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 115 งานประลองเจ้ายุทธ์
“นี่เป็นความคิดที่ดี” หลังจากเด็กชายรูปงามได้ฟังแผนการของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็เผยรอยยิ้มที่เห็นฟันเขี้ยวออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่ากำลังรอให้เขาตัดสินใจ
เด็กชายรูปงามเลิกคิ้วขึ้นและมองหน้านางอย่างครุ่นคิด แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า “เหล่าองครักษ์ทั้งหลาย จงฟังคำสั่งข้า และให้ความร่วมมือกับคนคนนี้ นายน้อยคนนี้ต้องการจะเปิดบ่อนพนันของตัวเอง”
ด้วยเหตุนี้ ในวันต่อมา เมืองอู่ซิวก็ได้เปิดตัวบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดของเมือง
บ่อนพนันแห่งนี้ตั้งขึ้นติดกับงานประลองเจ้ายุทธ์ เหล่าเจ้ายุทธ์ต่างก็หลั่งไหลกันเข้ามาในสถานที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง การวางเดิมพันจากคนภายนอกก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน และทุกคนต่างก็ลงเดิมพันไว้ว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะต้องชนะ
รถม้าที่มีล้อสีขาวเงินอันเรียบหรูวิ่งไปบนพื้นถนนสีเข้ม ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ตรงริมถนนอย่างสง่างาม
“นายท่านขอรับ” คนขับรถม้าคันนั้นส่งเสียงทุ้มลึก ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาอยู่ภายใต้แสงแดด ถ้าสังเกตดูดีๆ แล้ว ผมของเขานั้นมีประกายสีแดงอย่างน่าประหลาด และดวงตาของเขาที่กำลังก้มลงมองก็ส่องประกายสีแดงเช่นกัน “ถึงแล้วขอรับ”
“เข้าไป”
มันเป็นคำสั้นๆ เพียงสองคำเท่านั้น แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความเยือกเย็นจนยากจะต้านทาน
เนื่องจากมีม่านกั้นเอาไว้ จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ในรถม้าคันนี้คือใคร พวกเขามองเห็นเพียงเงารางๆ ของคนร่างสูงเท่านั้น นิ้วมืออันเรียวยาวของเขานั้นค่อยๆ หมุนแหวนในมืออย่างสุขุม ท่าทีของเขานั้นเผยให้เห็นถึงการระงับอารมณ์ของตนเอง “คนขับรถม้า ก้มหัวลง”
ริมฝีปากบางโค้งขึ้น และตอบกลับด้วยความเคารพ “ขอรับ”
ในที่แห่งนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยที่แต่งกายด้วยชุดผู้ชายอยู่นั้นก็ยกมือขึ้นมาเท้าคาง ในขณะที่นิ้วมือของนางจะกำลังเล่นกับพัดกระดาษที่อยู่ในฝ่ามือ ยิ่งผู้คนวางเดิมพันของตัวเองกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มากเท่าไหร่ รอยยิ้มตรงมุมปากของนางก็ยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น “ทีนี้ ข้าก็จะสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลในคราวเดียว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าแมวขาวก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่เขาก็อดชื่นชมความสามารถในการหาเงินของหญิงสาวคนนี้ไม่ได้
“ดูเหมือนว่าการหนีออกจากสำนักไท่ไป๋ในครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ” ขาเรียวยาวทั้งสองข้างของเฮ่อเหลียนเวยเวยยกสูงขึ้นเล็กน้อย และไม่มีสิ่งใดขวางทางนางได้เลย นางรู้สึกเป็นอิสระและมีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่เมืองหลวงอย่างมาก ริมฝีปากบางของนางโค้งขึ้นอย่างชั่วร้าย “ไม่มีใครสักคนเดิมพันว่าข้าจะชนะ เสี่ยวไป๋ เจ้าไปเอาเงินหนึ่งร้อยตำลึงนี้ไปลงพนันฝั่งข้า ยิ่งพวกเราเดิมพันสูงเท่าไหร่ พอชนะก็จะยิ่งได้มากขึ้นเท่านั้น”
“ข้าขอพูดซ้ำอีกครั้งว่าข้าไม่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แล้วข้าจะไปลงพนันได้อย่างไรเล่า” เจ้าแมวขาวเลิกคิ้วอย่างเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะอย่างรู้ทัน “เมื่อครู่นี้ ข้าเพิ่งเห็นม้าบินได้สีดำตัวหนึ่งกำลังช่วยนายท่านของมันลงเดิมพัน ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่มากมายเลยทีเดียว”
“นั่นเป็นเพราะเจ้ายุทธ์ผู้เก่งกาจระดับโลกต่างก็อยู่กันที่นี่” เจ้าแมวขาวมองนางอย่างสุขุม “ดังนั้น เมื่อถึงเวลาแข่งขัน เจ้าต้องระวังตัวให้ดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกะพริบตาและไม่ได้พูดอะไรอีก
ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก มีดวงตาลึกลับคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องมาจากพื้นที่สูงและกำลังมองดูเจ้านายและข้ารับใช้ที่กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ด้านล่าง แล้วดวงตาคู่นั้นก็ทอแสงวาบ
ชายหนุ่มรูปร่างดีคนนี้มีขาเรียวยาวและดูแข็งแกร่ง ร่างกายท่อนบนที่สูงตระหง่านนั้นกำลังสวมเสื้อสีขาวที่พลิ้วไหว เขานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ แต่ท่าทีของเขาก็สง่างามจนทำให้ผู้คนต่างรู้สึกกดดัน
เขากำลังถือถ้วยชาอยู่ในมือ และปลายนิ้วมือที่วางอยู่ตรงขอบถ้วยอย่างเรียบเฉยนั้นก็ออกแรงมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากอันเย้ายวนคู่นั้นไร้ตำหนิ และเขาก็ดูราวกับเป็นเทพจากสวรรค์ชั้นเก้า
คนขับรถม้าที่ยืนอยู่ข้างเขายิ้มออกมา ดวงตาของเขาเป็นประกายสีแดง “นายท่านขอรับ โปรดรอสักครู่ เดี๋ยวข้าจะช่วยท่านจับเหยื่อตัวนั้นเองขอรับ”
ชายหนุ่มมองไปด้านข้างด้วยท่าทีเรียบเฉย แต่สายตาของเขานั้นดูเย็นชาในทันที
คนขับรถม้าคนนั้นตัวแข็งเกร็งและถอยหลังไป ท่าทีเช่นนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หนังศีรษะของคนขับรถม้ารู้สึกชามากขึ้นเรื่อยๆ เขาเลียริมฝีปากล่างอย่างแผ่วเบา
ชายหนุ่มคนนั้นจิบชาอย่างผ่อนคลาย โดยไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา “ตามเจ้าแมวขาวตัวนั้นไป ไม่ว่ามันจะวางพนันที่ฝั่งใคร เจ้าก็ลงฝั่งเดียวกับมันด้วย และลงเงินเดิมพันมากกว่าอีกฝ่ายสิบเท่า”
“ขอรับ” คนขับรถม้ารับคำสั่งอย่างแผ่วเบา แต่เขาไม่เข้าใจแผนการที่นายท่านของเขาให้ไปจัดการเรื่องต่างๆ เช่นนี้เลย
ชายหนุ่มคนนี้พุ่งความสนใจไปที่ร่างของคนที่สวมชุดผู้ชายเท่านั้น แล้วมุมปากของเขาก็ค่อยๆ เผยให้เห็นถึงความเยือกเย็นและชั่วร้ายมากขึ้นทีละนิด…
“ฮัดเช้ย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบแขนของตนเอง ก่อนจะหันมองไปทางซ้ายและขวา พร้อมกับสงสัยว่าทำไมเมื่อครู่นี้ แผ่นหลังของนางถึงรู้สึกเย็นลงเล็กน้อย
หรือเป็นเพราะว่านางสวมใส่เสื้อผ้าน้อยเกินไปเช่นนั้นหรือ
นางต้องแต่งหน้าให้เสร็จโดยเร็วที่สุด แล้วค่อยสวมใส่เสื้อผ้าเพิ่มอีกหนึ่งชั้น
เฮ้อ แล้วนางก็จะกลายเป็นคนผิวดำคล้ำเหมือนกับถ่านอีกครั้ง
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังถอนหายใจอยู่นั้น เจ้าแมวขาวก็เดินกลับมาพร้อมกับพูดเสียงเรียบ “ข้าเพิ่งไปดูรายชื่อมา จนถึงตอนนี้ เจ้าเป็นคนเดียวที่ที่ลงพนันฝั่งเจ้า”
“ดีมาก” ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้นอย่างพอใจ ราวกับว่านางมองเห็นเงินกำลังบินเข้ามาหานางก็ไม่ปาน ชีวิตของนางไม่อาจดีงามได้มากกว่านี้อีกแล้ว
ในขณะเดียวกัน ผู้คนที่มองดูรายชื่อต่างก็หัวเราะลั่น “น่าแปลกใจนักที่ยังมีคนลงพนันว่าคนไร้ค่านั่นจะชนะ ให้ตายเถอะ สมองของพวกเขาต้องมีปัญหาแน่!”
เมื่อได้ยินดังนั้น คนขับรถม้าที่กำลังทำหน้าที่ของตนเอง ก็หันหน้าเหลือบมองทางนายท่านของตนเอง แต่ก็เห็นเพียงท่าทีอันเย็นชาเหมือนแต่ก่อน ราวกับอีกฝ่ายไม่ได้ยินถ้อยคำที่ผู้คนเหล่านี้กำลังพูดกัน
แม้ว่าเขาจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ แต่ก็มีหลายครั้งที่เขาไม่สามารถคาดเดาได้ว่านายท่านของเขากำลังคิดอะไรอยู่…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหล่าผู้จัดงานเริ่มนั่งบนเก้าอี้ของผู้ตัดสินที่อยู่บนเวทีตามลำดับ
ผู้ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในงานประลองแห่งนี้ คือชายหนุ่มผู้โดดเด่นที่สวมใส่ชุดสีขาวอยู่ นั่นคือจิ่งอู๋ซวงจากตระกูลเหลียนเฉิง
ใบหน้าด้านข้างของเขาดูสูงส่งและงดงามกว่าทุกครั้ง ทุกอิริยาบถของเขาแสดงถึงความเป็นคนชนชั้นสูงผู้บริสุทธิ์ เขาแทบจะดึงดูดสายตาของทุกคนให้หันมามองพร้อมกัน
ซึ่งรวมถึงเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ด้วย
วันนี้นางสวมชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพูสด ปกคอเสื้อทำมาจากขนสุนัขจิ้งจอกคุณภาพสูง ใบหน้ารูปไข่ของนางกำลังยิ้ม และแววตาที่ทอประกายนั้นก็มองไปที่จิ่งอู๋ซวง ขณะเดียวกัน นางก็นึกถึงสิ่งที่สาวใช้พูดกับตนเองก่อนหน้านี้ แล้วดวงตาคู่งามของนางก็ดูอ่อนโยนขึ้นมา
คุณชายอู๋ซวงคนนี้เป็นคนที่ทำให้หัวใจของทุกคนเต้นระรัวได้อย่างง่ายดายจริงๆ
การมีผู้ชายอย่างเขาชื่นชมนาง ก็ทำให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น จนรอยยิ้มของนางกว้างขึ้นเล็กน้อย
รูปร่างของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั้นสง่างามราวกับต้นหลิว และการเคลื่อนไหวของนางก็ราวกับดอกบัวที่สัมผัสกับผิวน้ำ ท่าทีเขินอายของนาง ผนวกกับความอ่อนโยนและนุ่มนวลนั้น ทำให้มีมนต์สะกดจนผู้คนต่างก็หลงใหล
เมื่อผู้ดำเนินงานกล่าวแนะนำนางต่อผู้ชมทั้งหลาย เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่กำลังสวมผ้าคลุมก็ดูราวกับเป็นเทพธิดาที่กำลังยืนอยู่บนก้อนเมฆและกำลังเพลิดเพลินไปกับการชื่นชมของเหล่ามนุษย์ก็ไม่ปาน
แต่จู่ๆ ก็ดูเหมือนว่านางจะมองเห็นอะไรบางอย่าง จนเผยให้เห็นความชั่วร้ายขึ้นบนใบหน้าเล็กๆ ของนาง
สายตาของนางจับจ้องไปท่ามกลางผู้คน
เป็นนางคนนั้น! เฮ่อเหลียนเวยเวย!
ปรากฏว่านังแพศยานั่นอยู่ที่นี่จริงๆ
นางคิดว่าการพนันพวกนั้นเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น
เพราะตั้งแต่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยออกจากสำนักไท่ไป๋ไป นางก็คิดว่านังแพศยาคนนี้ได้ตายไปแล้ว
แต่ในเมื่อนังผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้ยังคอยตามราวีราวกับผีที่คอยหลอกหลอน วันนี้ นางก็จะทำให้นังแพศยานั่นต้องอับอายอย่างไร้ความปรานี
นางจะทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยได้รู้ซึ้งถึงความแตกต่างระหว่างพวกนางสองคน
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เดินไปอย่างงดงามราวกับดอกบัว ริมฝีปากสีแดงสดของนางยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำ ราวกับนกตัวเล็กๆ “พี่ใหญ่ ไม่คิดเลยว่าจะเจอท่านที่นี่ คุณชายเฮยก็อยู่กับท่านด้วยหรือ พวกท่านออกจากสำนักไท่ไป๋ไปโดยไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของตระกูลเช่นนั้น ท่านพ่อคงรู้สึกอับอายมากแน่ๆ”
บุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนคือใครกันน่ะหรือ อ้อ นางคือเรื่องตลกที่สุดของเมืองหลวงอย่างไรเล่า
ร่างกายของนางไม่มีพลังปราณเลยแม้แต่น้อย และการแต่งงานของนางก็ถูกยกเลิกไป อีกทั้งนางยังไม่อาจดูแลตัวเองได้ จนต้องพึ่งพาท่านปรมาจารย์ และเขาก็ชื่นชอบนางอย่างออกนอกหน้าอีกด้วย ถึงนางจะกลายเป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์แล้ว แต่นางจะสามารถเป็นเจ้ายุทธ์ได้จริงๆ เช่นนั้นหรือ
ช่างน่าขันยิ่งนัก!