องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 12 ความสนใจขององค์ชายแห่งวังปีศาจ
เพราะสถานที่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังฝึกฝนอยู่นี้ คือของขวัญพิเศษที่หยวนหมิงมอบให้นางตอนที่พบกันครั้งแรก… มิติสวรรค์
ที่นี่ไม่มีเสียงรบกวน มีเพียงเสียงน้ำไหลจากในลำธาร และสายลมอ่อนที่พัดผ่านหญ้าเท่านั้น
สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว สภาพแวดล้อมถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก การฝึกฝนในมิติสวรรค์แห่งนี้สามารถพัฒนาพลังลมปราณของนางได้รวดเร็วกว่าผู้ที่ฝึกฝนบนภูเขาสูงเสียอีก
ที่พวกเรามักจะพูดกันว่าบำรุงลมปราณด้วยจิตวิญญาณธรรมชาตินั่นเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถรู้สึกถึงมันได้ นางหรี่ตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะฝังต้นสตรอเบอร์รี่ที่กำลังจะตายลงไปในดิน…
อันที่จริง นางเพียงแค่อยากจะลองทดสอบดูเท่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า กลับทำให้นางตกตะลึง
นางมองดูต้นอ่อนที่เหี่ยวเฉานั้นฟื้นตัวขึ้น ราวกับพวกมันกำลังดูดซับสารอาหารเข้าไปจนเพียงพอ ที่จะแตกกิ่งก้านที่อ่อนแอขึ้นใหม่ กิ่งก้านนั้นเริ่มแผ่ขยายและกางใบออกอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ยังผลิดอกสีขาวเล็กๆ ออกมาอีกด้วย…
แม้แต่หยวนหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังตกตะลึงเช่นกัน ถึงมิติแห่งนี้จะเป็นของเขา แต่เขาก็รู้เพียงแค่ว่าที่นี่ใช้ฝึกพลังปราณได้ดีเท่านั้น เขาไม่เคยรู้เลยว่าสามารถทำเช่นนี้ได้ด้วย การค้นพบครั้งนี้ทำให้เขาได้รู้ว่ามันส่งผลดีกับการปลูกพืชด้วยเช่นกัน… บ้าน่า ตอนนี้มันเริ่มออกผลแล้ว
หยวนหมิงกะพริบตาสองสามครั้ง หูที่มีขนปุกปุยสีขาวบนศีรษะของเขาก็กระดิก “มีลูกสตรอเบอร์รี่เยอะเลย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง และลูบคางของตนเองครู่หนึ่ง ราวกับกำลังคิดเรื่องน่าเหลือเชื่อบางอย่างอยู่ ดวงตาของนางส่องประกายจนน่ากลัว
หยวนหมิงสั่นสะท้าน แต่เขายังไม่ทันจะได้ลูบแขนของตนเอง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยิบเอาตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อ แล้วฝังลงในดิน… นางฝังเงินลงไปในดินจริงๆ
ดวงตาสีเงินของหยวนหมิงเบิกกว้าง ผู้หญิงคนนี้กำลังทำบ้าอะไรอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดอะไร ดวงตาของนางยังคงจับจ้องไปยังจุดที่เพิ่งจะฝังเงินเอาไว้…
เวลาค่อยๆ ผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า และแล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยก็พูดขึ้นอย่างผิดหวัง “มันปลูกเงินไม่ได้สินะ จริงๆ แล้ว มิติแห่งนี้ก็ไม่ได้พิเศษสักเท่าไหร่นี่”
หยวนหมิงอึ้งจนพูดไม่ออก ช่วยบอกข้าทีเถิดว่าใครเขาปลูกเงินในมิติสวรรค์แห่งนี้กันบ้าง
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สตรอเบอร์รี่นี้ก็รสชาติดีทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยเด็ดผลสตรอเบอร์รี่แล้วใส่เข้าไปในปากของตัวเอง แล้วโยนอีกผลหนึ่งให้กับหยวนหมิง
หยวนหมิงไม่ตอบโต้ที่อีกฝ่ายโยนอาหารให้ตน ราวกับกำลังให้อาหารสุนัข หูสีขาวของเขากระดิก และอ้าปากรับสตรอเบอร์รี่อย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะลิ้มรสหวานหอมของสตรอเบอร์รี่สดที่อยู่ในปาก…
“สตรอเบอร์รี่พวกนี้ดูแตกต่างจากที่อื่น” เฮ่อเหลียนเวยเวยดวงตาเป็นประกาย แล้วนางก็เด็ดสตรอเบอร์รี่ออกมาอีกหนึ่งลูก และรับรู้ได้ถึงปราณชนิดหนึ่งที่อยู่รอบๆ พวกมัน นี่เป็นผลไม้ที่เสริมพลังให้กับผู้ฝึกปราณอย่างไม่ต้องสงสัย
กล่าวได้ว่า ผลไม้ที่นี่เป็นผลไม้พิเศษ คล้ายกับการมีอยู่ของบัวหิมะเทียนซาน
มีผลไม้เหล่านี้อยู่ ต่อให้นางไปที่สำนักไท่ไป๋ และไม่สะดวกที่จะฝึกฝนในมิติสวรรค์แห่งนี้ แต่นางก็จะยังคงสามารถได้รับผลลัพธ์จากการฝึกเพิ่มเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
…
ขณะเดียวกัน ณ สถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งมีดอกกุหลาบหลายชั้นปกคลุมอยู่ทั่ววัง ทำให้พระราชวังที่ถูกฝังด้วยดอกกุหลาบในเวลากลางคืนนั้นดูเหมือนปราสาทเก่าแก่ในยุคศตวรรษที่ 17
ภายใต้ชั้นของกุหลาบเหล่านั้น มีเสาศิลาสีเงินที่แกะสลักอย่างเรียบง่ายและหรูหราตั้งอยู่ เสาเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นสี่ทิศ ได้แก่ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ดูราวกับพวกมันกำลังค้ำท้องพระราชวังอยู่
บนบัลลังก์ในวังแห่งนี้ มีชายคนหนึ่งกำลังเอนกายอย่างผ่อนคลาย เขาสวมชุดคลุมสีดำหรูหรา และผูกสายคาดเอวเอาไว้หลวมๆ ผมสีดำของเขาเป็นเฉดเดียวกับรัตติกาล มันสยายลงข้างลำตัวตัดกับผิวเนียนสีขาวผ่องของเขา นิ้วเรียวยาวนั้นถูกแขนเสื้อสีดำคลุมเอาไว้ ผิวพรรณอันงดงามของเขาถูกเปิดเผยให้เห็นเพียงแค่หนึ่งชุ่นเท่านั้น ดึงดูดให้ผู้คนอดที่จะอยากเห็นมากกว่านี้ไม่ได้
ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังหลับอยู่ มือของหนึ่งของเขารองศีรษะอย่างเกียจคร้าน ส่วนมืออีกข้างก็วางอยู่บนที่พักแขนของบัลลังก์ ดวงตาหงส์คู่นั้นปิดสนิท ดูสบายอย่างมาก แต่เมื่อเงาทมิฬปรากฏตัวขึ้นในห้องอย่างเงียบๆ ทันใดนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งในโลกใบนี้
“ฝ่าบาท มหาปุโรหิตเพิ่งออกจากการกักตน หลังจากที่เขาได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่าบาทกับคุณหนูเฮ่อเหลียน เขาก็…” ดูเหมือนว่าเงาทมิฬไม่อาจสรรหาคำพูดดีๆ มาอธิบายได้ จึงเปลี่ยนประเด็น “เขากำลังเดินทางมุ่งหน้ามาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มหรี่ตาลงพร้อมกับแผ่รังสีอำมหิต “หึ เรื่องระหว่างนางกับข้าผู้นี้เช่นนั้นหรือ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างข้ากับนางเช่นนั้นหรือ”
เงาทมิฬคิดว่านายท่านของเขาจะลืม จึงตอบกลับด้วยความเคารพว่า “ครั้งก่อน ฝ่าบาทเสด็จไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฮ่อเหลียน และเข้าไปช่วยเหลือคุณหนูเฮ่อเหลียนเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“ช่วยเหลือเช่นนั้นหรือ” หางเสียงของชายหนุ่มลากยาว แววตาอันเย็นชาของเขาจ้องมองเงาทมิฬ “เจ้ากำลังย้ำเตือนว่าข้าผู้นี้ถูกผู้หญิงคนนั้นลวนลามเช่นนั้นหรือ”
เงาทมิฬตัวแข็งเป็นหิน ก่อนจะพูดอย่างตะกุกตะกัก “ข้าน้อย… ข้าน้อย…”
“อาเจวี๋ย เจ้ากำลังกลั่นแกล้งเงาทมิฬน้อยของพวกเราอีกแล้วหรือ ไม่ควรทำเช่นนั้นเลยนะ”
ทันใดนั้น ประตูวังก็เปิดออก และชายในชุดเสื้อคลุมสีแดงก็เดินเข้ามาช้าๆ ด้วยรอยยิ้มสดใส เหนือปกคอที่เป็นขนสุนัขจิ้งจอกโบราณนั้นคือสีหน้าที่มีชีวิตชีวาสามารถดึงดูดสิ่งมีชีวิตทุกอย่างได้ เสื้อคลุมสีแดงเลือดที่เขาสวมใส่อยู่นั้นไม่ได้ดูฉูดฉาดนัก แต่มันก็ทำให้เขาดูโดดเด่นและร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม
เขามองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และเอ่ยหยอกล้อขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปเจอลูกแมวน้อยน่าสนใจตัวหนึ่งมาหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นอย่างเกียจคร้าน สีหน้าของเขายังคงนิ่งเฉย ก่อนจะหมุนแหวนหยกดำบนนิ้วมือ และสั่งคนที่อยู่ข้างล่างด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ไปเตรียมน้ำร้อนมา”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬก้มศีรษะรับคำสั่ง และไม่นานนัก ไอน้ำร้อนก็ล่องลอยไปทั่ววัง
ชายผู้ดื้อรั้นยังคงไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมเปลี่ยนประเด็นเรื่อง ‘ลูกแมวน้อย’ ริมฝีปากของเขาโค้งเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะวางแขนบนไหล่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “ข้าได้ยินมาว่าลูกแมวน้อยตัวนั้นลวนลามเจ้าด้วยเช่นนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เงาทมิฬก็สูดหายใจเข้าลึก ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เป็นเพราะความไม่คิดหน้าคิดหลังของชายผู้นี้นั่นเอง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มอย่างเยือกเย็น และผลักมือของเขาออก ก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ดบริเวณที่เขาเพิ่งสัมผัส มุมปากของเขายกขึ้น “หนานกงเลี่ย เจ้าไม่อยากเก็บมือเอาไว้แล้วหรือ”
“เฮ้ อย่าเพิ่งใจร้อนไป ในฐานะที่ข้าเป็นมหาปุโรหิต ข้าก็จำเป็นต้องเป็นใส่ใจเรื่องความรักขององค์ชายอยู่แล้ว” หนานกงเลี่ยก้าวถอยหลังทันที และยกมือทั้งสองขึ้นเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
สายตาของเขาเหลือบไปเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย รวมถึงปกคอของเสื้อคลุมที่ออกแบบมาอย่างเรียบหรู ช่างดูดีมีระดับ…
ชายที่อยู่ตรงหน้านั้นสง่างามราวกับหยกที่ถูกแกะสลักมาอย่างประณีต ส่วนใหญ่แล้ว ท่าทีของเขาจะดูเฉยเมยและห่างเหิน แม้แต่ตอนที่เขาสูญเสียพลังลมปราณไปก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงมีกลิ่นอายอันกล้าแกร่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด และเขาก็ยังสามารถกดข่มองค์ชายคนอื่นๆ ไว้ได้อีกด้วย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคือชายที่เกิดมาจากความมืดอย่างแท้จริง
ความสามารถของเขานั้นแม้แต่เขาเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ นอกจากนั้น จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่มั่นใจนักว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสูญเสียพลังลมปราณของตนเองไปจริงหรือไม่…