องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 129 เวยเวยโต้กลับ
หยวนหมิงถ่ายทอดเสียงของตนออกมาจากมิติสวรรค์อย่างเกียจคร้าน
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้จิตของตนสื่อสารกับหยวนหมิง “จริงหรือ”
“จริงน่ะสิ การเก็บซ่อนอารมณ์เอาไว้เช่นนี้ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย” หยวนหมิงหัวเราะอย่างชั่วร้าย “เจ้าคงไม่ได้วางแผนการชั่วร้ายอะไรเอาไว้ใช่ไหม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ตอบ มีเพียงรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบริเวณมุมปากของนางเท่านั้นที่คล้ายจะเผยความเจ้าเล่ห์ของนางออกมา
แต่เด็กสาวที่ชื่อเฉิงเฉิงคนนั้นยังไม่รู้ถึงความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวย และถึงกับคิดไปว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวนางเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นริมฝีปากบางของนางจึงยกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ว่าความโกรธของอีกฝ่ายสงบลงแล้ว ริมฝีปากสีแดงของนางจึงโค้งขึ้น “พี่เฉิง ขึ้นไปข้างบนกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ อีกไม่ช้าคนจากเวยเจ๋อก็คงจะมาถึงแล้ว คงไม่ดีนักหากพวกเรายังยืนอยู่ตรงนี้”
“น้องเจียวเอ๋อร์ยังรอบคอบเหมือนเคย” เฉิงเฉิงละสายตาจากเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับกำลังดูถูกนางอย่างมาก “อีกประเดี๋ยวท่านพ่อของข้าก็คงจะมาเหมือนกัน ท่านพ่อของข้าน่ะ เฮ้อ สิ่งที่เขาทนเห็นไม่ได้คือพวกคนที่คิดจะไต่เต้าด้วยการประจบสอพลอคนอื่น พักนี้เขาติดต่อกับคนจากเวยเจ๋ออยู่บ่อยๆ บางทีเขาอาจจะสามารถช่วยเหลือน้องเจียวเอ๋อร์ได้”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยิ้ม “เช่นนั้นน้องคงต้องขอบคุณท่านพี่ล่วงหน้าแล้วเจ้าค่ะ”
“ระหว่างเจ้ากับข้า จะพูดขอบอกขอบใจกันไปทำไมเล่า” เฉิงเฉิงใช้มือข้างที่ถือผ้าเช็ดหน้าบีบแก้มของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อย่างสนิทสนม ทั้งสองยิ้มให้กันและกัน เด็กสาวผู้งดงามทั้งสองเอ่ยชมกันเอง ริมฝีปากของพวกนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ รอยยิ้มนั้นสามารถทำให้วิหคและอสูรถึงกับหลงใหลได้เลยทีเดียว
ผู้คนภายในโรงเตี๊ยมเคลื่อนสายตามามองพวกนางทีละคนสองคน แม้แต่สายตาของบรรดาคุณชายทั้งหลายก็มีประกายแห่งความปรารถนาฉายวาบ ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็คิดในใจว่า หากพวกเขาได้แต่งงานกับผู้หญิงเช่นนี้สักคน ชีวิตของพวกเขาคงสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
ด้วยเหตุนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยซึ่งผิวคล้ำและหน้าดำ จึงยิ่งดูไม่น่าจรรโลงใจ
สุดท้ายแล้ว นางก็ดูขัดหูขัดตาในสายตาของพวกเขา
แต่สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงเลยแม้แต่นิดเดียวคือการที่ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ดูแลของเวยเจ๋อจะบังเอิญรีบเดินออกมาจากห้องส่วนตัวที่อยู่ด้านหลังพวกเขาพอดี
ผู้ดูแลคนนั้นเป็นชายวัยกลางคนชื่อลุงจาง และเป็นผู้ช่วยที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดรองลงมาจากเฮยเจ๋อ
เมื่อเขาเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่บริเวณหน้าประตู ฝีเท้าที่เดิมทีไม่ได้เร่งรีบก็พลันรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ เขามองตรงไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับรีบวิ่งเข้าไป น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนยินดี “นายหญิง ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรขอรับ”
“มาคุยอะไรนิดหน่อย” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยราบเรียบ ขณะเดียวกันสายตาของนางก็เคลื่อนไปมองยังชายชราที่เดินตามเขามาจากทางด้านหลัง
เมื่อเห็นดังนั้น ลุงจางก็ชะงักไป แล้วเอ่ยว่า “นายหญิงขอรับ คนผู้นี้คือคนที่จะมาร่วมงานกับเราในครั้งนี้ ท่านผู้อาวุโสเฉิงขอรับ”
ระยะนี้เฉิงสงทุ่มความสนใจทั้งหมดของตนให้กับการร่วมงานกับเวยเจ๋อ จนกระทั่งไม่ได้ออกไปชมการแข่งขันประลองเจ้ายุทธ์ในวันนี้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องที่เฮ่อเหลียนเวยเวยมาจากเมืองหลวง แต่สิ่งที่ทำให้เขาทั้งตกใจและประหลาดใจก็คือเรื่องที่นายหญิงของเวยเจ๋อกลับเป็นเพียงเด็กสาวอายุน้อยคนหนึ่งเท่านั้น!
ในโลกของการสร้างอาวุธนั้นต่างก็รู้ดีว่า นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เวยเจ๋อถูกก่อตั้งขึ้น ก็มีอาวุธที่ชวนให้คนตกตะลึงจำนวนมากถูกผลิตออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน อาวุธแทบทุกชิ้นทำให้ทุกคนแย่งชิงกันราวกับคนบ้า
มีหลายคนกล่าวว่าอาวุธจากร้านของพวกเขาแทบจะสามารถนำไปเทียบกับอาวุธที่คุณชายอู๋ซวงสร้างได้เลย
แม้แต่ปรมาจารย์ผู้มีชื่อเสียงหลายท่านก็ยังไม่กล้าตัดสินเลยด้วยซ้ำว่าระหว่างอาวุธของเวยเจ๋อ กับอาวุธที่คุณชายอู๋ซวงเป็นผู้สร้างนั้น ชิ้นไหนที่ดีกว่ากัน
แม้แต่คุณชายอู๋ซวงก็ยังยอมโผล่หน้ามาร่วมงานประลองเจ้ายุทธ์ครั้งนี้ ดังนั้นจากคนจำนวนสิบคน จึงย่อมมีแปดถึงเก้าคนที่อยากรู้อยากเห็นยิ่งนักว่าผู้อยู่เบื้องหลังเวยเจ๋อคือใครกันแน่
แต่น่าเสียดายที่เจ้าของร้านคนนั้นกลับไม่มาปรากฏตัวเลยสักครั้ง
ไม่มีใครรู้ข้อมูลพื้นฐานอย่างเรื่องที่ว่าเจ้าของร้านเป็นหญิงหรือชาย อายุเท่าใดเลยด้วยซ้ำ
แต่ทุกคนมักจะคิดว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน
และอย่างน้อยก็น่าจะเกิดมาในตระกูลผู้มีอิทธิพล เช่นเดียวกันกับคุณชายอู๋ซวงซึ่งเป็นผู้สืบทอดจากตระกูลชั้นสูง
แต่เมื่อเฉิงสงมองคนที่อยู่เบื้องหน้าตนอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของคนผู้นี้ในโลกของการสร้างอาวุธมาก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น อันดับแรกเลยก็คือ ดูเหมือนว่าแม้แต่การทดสอบสร้างอาวุธ นางก็ยังไม่เคยผ่านมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
มิฉะนั้น จากการที่เขารับหน้าที่เป็นผู้ตัดสินอาวุธด้วยตัวเองมาทุกปี ย่อมไม่มีทางที่เขาจะจำอัจฉริยะเช่นนี้ไม่ได้!
ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดที่จะเค้นข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของเวยเจ๋อจากลุงจาง แต่ปากของลุงจางต่างหากที่หนักเกินไป ดูเหมือนว่าลุงจางจะเกิดมาเพื่อเป็นผู้ดูแลของตระกูลชนชั้นขุนนางโดยแท้ เพาะเขามีบางอย่างที่ผู้ดูแลทั่วไปไม่มี ยิ่งกว่านั้น แม้จะมีผู้คนมากมายปรารถนาจะได้ร่วมงานกับเวยเจ๋อ แต่ลุงจางกลับทำงานได้อย่างสุขุม และเป็นคนสุภาพอ่อนน้อม แต่ไม่กระตือรือร้นมากนัก
หากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของเด็กสาวผู้นี้ ใบหน้าของลุงจางก็คงไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาถึงเพียงนี้แน่
“ผู้อาวุโสแซ่เฉิงหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อย คิ้วได้รูปของนางเลิกขึ้นพร้อมกับยกริมฝีปากบางขึ้นอย่างมีเลศนัย “อันที่จริง ข้าตั้งหน้าตั้งตารอพบท่านมานานแล้ว”
เฉิงสงยืนตัวตรงพร้อมกับยืดอกขึ้น จากนั้นจึงบ่นออกมา ตาลุงจางนั่นช่างไร้มารยาททางสังคมเสียเหลือเกิน อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นถึงรองประธานในโลกของการสร้างอาวุธ แต่ลุงจางกลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย มัวแต่มองเจ้านายของตนที่อายุน้อยกว่าเขาด้วยสายตากระตือรือร้น
ลุงจางไม่คิดอย่างนั้น เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยเล็กน้อย แม้ว่าเขากับนายหญิงจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เข้าใจนายหญิงอยู่หลายเรื่อง
เราไม่สามารถมองนางด้วยสายตาเช่นเดียวกันกับที่ใช้มองเด็กสาวธรรมดาได้
ในเวลาที่นางต้องการเจรจาเรื่องธุรกิจกับใครสักคนด้วยใจจริง นางจะไม่มีทางยิ้มเช่นนั้นออกมาอย่างแน่นอน
นางเป็นคนเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำธุรกิจ หรือการเจรจาธุรกิจ และทำให้เขาซึ่งเป็นนักธุรกิจมาเนิ่นนานรู้สึกชื่นชมนางเป็นอย่างยิ่ง
จะว่าไป วิธีการที่นางใช้มันเรียกว่าอะไรกันนะ
อ้อ ใช่แล้ว!
“แนวคิดทางการตลาด” “อุปสงค์และอุปทาน”
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ลุงจางก็ยังไม่เข้าใจว่าคำพวกนั้นมาจากไหน แต่นายหญิงเริ่มต้นจากศูนย์ ทว่ากลับสามารถทำให้โลกของการสร้างอาวุธเกิดการตื่นตัวได้อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาๆ หรือจะเป็นนักวิจัยอาวุธผู้มีความสามารถ ก็ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับอาวุธของพวกเขาแม้แต่คนเดียว ดังนั้นเขาจึงรู้ได้ในทันทีว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดา!
ดังนั้นเขาจึงดูออกว่าเฉิงสงกำลังดูถูกนายหญิงของพวกเขาอยู่
“ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเด็กรุ่นราวคราวเจ้าจะเคยได้ยินชื่อของข้าด้วย” ระหว่างที่เฉิงสงพูด เขาก็ลูบเคราของตนไปด้วย ท่าทางหยิ่งผยองนั้นเป็นท่าทางของคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งใหญ่โตมาเป็นเวลานาน
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ท่านผู้อาวุโสเฉิงมีฝีมือในการประชาสัมพันธ์”
ประชาสัมพันธ์หรือ เฉิงสงขมวดคิ้วจนเป็นปมด้วยสีหน้าสงสัย ทำไมเขาถึงได้รู้สึกราวกับว่าในคำพูดของนางมีบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจอยู่ด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ต่อ แต่กลับเบนสายตาไปหาลุงจาง “ลุงจาง ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ ขอคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย”
“ขอรับ” ลุงจางเดินเข้าไปหานาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยลดเสียงลง ยิ่งนางพูด รอยยิ้มที่มุมปากของนางก็ยิ่งลึกล้ำ เหมือนปีศาจที่เบื่อหน่ายได้พบกับของเล่นแสนสนุก
สายตาของลุงจางที่เหลือบมองร่างของเฉิงสงอยู่ชะงักไป พร้อมกันนั้นเขาก็ตอบรับด้วยความเคารพว่า “นายหญิงไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นใดขอรับ”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับหันไปทางเฉิงสงและพยักหน้าให้เขา นางลูบเจ้าแมวขาว แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าสู่ตรอกยาว
รอยยิ้มที่ไม่กว้างไม่บางของหยวนหมิงส่งผ่านมาถึงนาง “แม่นาง เจ้าช่างชั่วร้ายเสียเหลือเกิน ถ้าเจ้าทำเช่นนี้ หัวใจของคุณหนูเฉิงผู้นั้นกับน้องสาวของเจ้าจะมิถูกบดขยี้จนสิ้นลมหายใจไปเลยหรือ หึๆ…”