องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 131 กดดันพวกเขาโดยตรง
เมื่อได้ยินดังนั้น เปลวไฟอันร้อนระอุภายในใจของเฉิงสงก็ยิ่งโหมกระหน่ำ เดิมทีเขาก็สั่งสอนบุตรสาวมาเช่นนั้นจริงๆ ในฐานะที่เป็นรองประธานสมาคมเจ้ายุทธ์ เป็นเรื่องปกติที่จะมีอภิสิทธิ์บางอย่าง แต่อธิสิทธ์เหล่านั้นก็ควรพูดกันอยู่แต่ในที่ลับ แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่นางควรจะเอามาป่าวประกาศเสียงดังต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้!
“เจ้า!” ดูเหมือนเฉิงสงจะโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว เขาชี้นิ้วไปที่องครักษ์คนสนิทที่อยู่ข้างกาย แล้วกล่าวว่า “ไปทำให้คุณหนูเงียบซะ แล้วในอนาคตก็อย่าให้นางออกมาข้างนอกบ่อยนัก หากนางยังพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว เช่นนั้นก็พานางไปที่หอบรรพชนหลังภูเขาเสีย!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดขององครักษ์คนสนิทคนนั้นส่งไปถึงนางหรือไม่ แต่ในที่สุดเฉิงเฉิงก็เงียบลง
เฉิงสงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก แล้วหันหน้าไปหาลุงจาง พร้อมกับกล่าวว่า “ลูกสาวของข้าคนนี้พูดมากเกินไปจริงๆ ลุงจางอย่าได้ถือสานางเลย”
“รองประธานเฉิง เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้วนี่ ว่าข้าเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลคนหนึ่งเท่านั้น” ลุงจางยิ้มแล้วพูดต่อ “แต่นายหญิงของพวกข้ามีคำพูดอีกสองสามคำที่อยากจะกล่าวกับรองประธานเฉิง ในฐานะคนคนหนึ่ง การรู้จักข่มใจเอาไว้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า”
รอยยิ้มที่มุมปากของเฉิงสงแข็งค้างทันที มือสองข้างของเขากำแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกเด็กสาวปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมข่มขู่ และที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นคือการที่เด็กสาวคนที่ว่าไม่ได้อยู่ที่นี่เสียด้วยซ้ำ เพียงแค่ฝากคำพูดมา แต่เขากลับไม่สามารถตอบโต้อีกฝ่ายได้เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่จะว่าไปแล้ว ทำไมเด็กสาวคนนั้นถึงได้มองลูกสาวสุดที่รักของเขาอย่างไม่พอใจเล่า
หรือว่าเฉิงเอ๋อไปทำอะไรเสียมารยาทต่อนางเอาไว้
เฉิงสงคิดไม่ตก แต่ภายในเวลาเพียงสั้นๆ ความพยายามตลอดหลายวันที่ผ่านมาของเขาก็กลับกลายเป็นไร้ประโยชน์ไปจนหมด
อันที่จริงในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ตระกูลเฉิงสร้างอาวุธอันโดดเด่นออกมาไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว เบื้องหน้านั้นตระกูลเฉิงก็ยังดูเหมือนเดิม ยังคงครองตำแหน่งที่มีอิทธิพลในโลกของการสร้างอาวุธอยู่ แต่ในความเป็นจริงนั้น มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตระกูลเฉิงในปัจจุบันไม่สามารถเทียบชั้นกับที่พวกเขาเคยเป็นได้
และกระแสของเวยเจ๋อก็มาได้ตรงเวลาพอดี เขาตั้งใจตามหาเวยเจ๋อเพราะต้องการหยิบยืมกระแสของพวกเขาในการปฏิรูปตระกูลเฉิง
หากเวยเจ๋อไม่ยอมร่วมมือกับพวกเขา เช่นนั้นอนาคตของตระกูลเฉิงก็คงจะมีแต่เส้นทางอันยากลำบากรอคอยอยู่แล้ว
แต่จะให้เขาก้มหัวให้กับเด็กสาวตัวเล็กๆ นั่นน่ะหรือ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมเด็ดขาด!
ลุงจางรู้ถึงความคิดของเฉิงสง ตอนที่พวกเขาเพิ่งตั้งร้านใหม่ๆ นายหญิงก็เคยบอกว่าไม่เห็นด้วยที่จะทำธุรกิจร่วมกับตระกูลเฉิง แต่เป็นเพราะการก้าวก่ายของเขา เขารู้สึกว่าเครื่องหมายการค้าของตระกูลเฉิงมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน และยังมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ในโลกของการสร้างอาวุธ ดังนั้นเขาจึงยื่นข้อเสนอให้กับนายหญิงครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังขอให้นางคิดทบทวนดูให้ดี
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเฉิงสงไม่เพียงแต่จะเลี้ยงดูบุตรสาวของตนเองได้ไม่ดีเท่านั้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังยึดติดกับความรู้สึกที่ว่าตนอยู่เหนือผู้อื่น และเห็นทุกคนด้อยกว่าตนทั้งสิ้น
คนประเภทนี้คงทำเงินไม่ได้มากนักในโลกธุรกิจ
ลุงจางหยิบหมวกขึ้นสวมโดยไม่ได้พูดอะไรกับเฉิงสงอีกแม้แต่คำเดียว แต่ทันทีที่เขาออกมาจากโรงเตี๊ยม ก็มีคนจำนวนหนึ่งตามหลังเขามา
“ลุงจาง รอก่อนเจ้าค่ะ” เป็นเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั่นเอง หากเทียบกับเฉิงเฉิงแล้ว นางเป็นคนที่ฉลาดกว่ามาก อย่างน้อยถึงในใจของนางจะดูถูกบรรดาข้ารับใช้ยิ่งกว่า แต่นางก็จะไม่แสดงมันออกมาทางสีหน้า รอยยิ้มประหม่าของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
แต่ลุงจางเป็นคนที่ฉลาดกว่านาง และยังเป็นผู้ดูแลตระกูลเฮยมาถึงสองรุ่น บรรดาคุณหนูในเมืองหลวงอาจจำเขาไม่ได้ แต่เขาก็รู้จักพวกนางแต่ละคนเป็นอย่างดี
เฮ้อ เรื่องมันเริ่มจากการตัดสินใจเมื่อเร็วๆ นี้ของบิดาชราที่หวังจะให้คุณชายรองแต่งงานแท้ๆ อา ไม่สิ เขาต้องการให้คุณชายรองแต่งงานและพาลูกสะใภ้เข้าตระกูลต่างหาก
สำหรับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์คนนี้ เขาสามารถบอกได้เพียงว่าคนคนนี้รู้วิธีปฏิบัติตัวเป็นอย่างดี
เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เห็นว่าเขาหยุดเดิน นางก็บุ้ยใบ้บอกให้สาวใช้ของตนยื่นของที่อยู่ในมือให้กับเขา
ลุงจางรู้อยู่แล้วว่าของสิ่งนั้นคืออะไรโดยที่ไม่ต้องมอง ริมฝีปากของเขาคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับของชิ้นนั้น
เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เห็นว่าเขาไม่รับเงินไป คิ้วยาวได้รูปของนางก็ขมวดเข้าหากัน
“คุณหนู ทำอย่างไรต่อเจ้าคะ” สาวใช้ไม่เคยเห็นคนที่ไม่ยอมรับเงินมาก่อน
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สบถที่เขาไม่ยอมรับความเมตตาของนางอยู่ในใจ แต่มุมปากของนางกลับยกยิ้ม “ลุงจางปฏิเสธ เพราะคิดว่ามันน้อยเกินไปหรือ”
“คุณหนูเจียวเอ๋อร์เข้าใจความหมายของข้าผิดแล้ว” ลุงจางเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางไม่โกรธเคือง แต่ก็ไม่ได้ยินยอมอ่อนน้อม “คุณหนูเฮ่อเหลียนอาจจะยังมิคุ้นเคยกับพวกเราที่เป็นคนของเวยเจ๋อ คนทั้งโลกการสร้างอาวุธล้วนแต่รู้ว่าพวกเราที่อยู่ในเวยเจ๋อไม่รับของพวกนี้”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น แล้วเอ่ยตอบอีกครั้งว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่ต้องการซื้ออาวุธที่นายหญิงของท่านเป็นคนสร้างด้วยตัวเองเท่านั้น ส่วนเรื่องราคา เราสามารถต่อรองกันได้จนกว่าจะพอใจ”
ลุงจางหัวเราะ “สำหรับผู้ที่จะสามารถซื้ออาวุธที่นายหญิงของพวกข้าสร้างด้วยตัวเองได้นั้น เงินย่อมเป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง แต่ความสามารถในการใช้อาวุธก็ยังต้องเป็นปัจจัยที่สำคัญ”
“หากเป็นเงื่อนไขพวกนั้น ท่านไม่ต้องกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว!” ก่อนที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะพูด สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อ้าปากขึ้นมา ในความยโสโอหังนั้นมีความภูมิใจแฝงอยู่ “คุณหนูของข้าเป็นทายาทของตระกูลเฮ่อเหลียน เป็นศิษย์ชั้นเลิศของสำนักไท่ไป๋ เป็นอัจฉริยะที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชม อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้แต่ตระกูลที่มีฝีมือในการสร้างอาวุธทั้งหลายในเมืองหลวงก็ยังมิอาจเอาชนะคุณหนูของข้าได้!”
ลุงจางมองสาวใช้คนนั้น แล้วยิ้มออกมาทันที “ข้าลืมบอกเงื่อนไขข้อที่สามไป ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เวยเจ๋อเพิ่งเพิ่มเข้ามาเมื่อไม่นานนี้”
“อะไรหรือ ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร คุณหนูของข้าก็สามารถมอบให้ได้!” สาวใช้มองสีหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ และเห็นคำชมปรากฏอยู่ในดวงตาของนาง คำพูดของนางจึงยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้นไปอีก
น้ำเสียงของลุงจางลื่นไหลเป็นจังหวะสม่ำเสมอในขณะที่กล่าว เขาเน้นย้ำทีละคำว่า “ร้านเวยเจ๋อของเราจะไม่ขายอะไรให้กับคนหยิ่งยโสโอหัง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ความหยิ่งผยองที่มุมปากของสาวใช้ก็แข็งค้างไป นางหันไปมองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์โดยไม่รู้ตัว
แน่นอนว่าสีหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ย่อมไม่น่ามองยิ่งกว่านางเสียอีก ใบหน้าเล็กๆ ที่เคยเสแสร้งว่าจริงใจ กลับแปรเปลี่ยนเป็นร้ายกาจภายในเสี้ยววินาที! สีหน้านั้นดูราวกับว่านางต้องใช้ความพยายามอย่างใหญ่หลวงเพื่อข่มกลั้นคลื่นแห่งความโกรธของตนเอาไว้!
“นี่มันบ้าอะไรกัน!”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมาจนกระทั่งลุงจางกลับไปแล้ว นางปาผ้าเช็ดหน้าในมือของตนอย่างเดือดดาล!
“คุณหนู อย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ” สาวใช้ละล่ำละลักบอก “นายท่านได้ติดต่อกับคนจากเวยเจ๋อเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ผู้ดูแลคนนี้ต้องไม่รู้แน่ๆ ว่าคุณหนูเป็นใคร เขาถึงได้กล้าหยาบคายกับคุณหนูเช่นนี้ รอจนกว่าพวกเราจะกลับไปถึงเมืองหลวงก่อนเถิดเจ้าค่ะ นายท่านจะต้องเอาอาวุธกลับมามอบให้คุณหนูอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น เราค่อยมาดูกันว่าผู้ดูแลคนนี้จะยังเคารพเชื่อฟังนายหญิงของตนได้อยู่หรือเปล่า พวกมันคิดว่ากำลังหาเรื่องใครอยู่!”
พอเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้ฟังคำพูดของสาวใช้ นางก็หายใจเข้าลึกๆ ดูเหมือนว่านางจะสงบลงมากทีเดียว “เจ้าพวกคนบ้านนอกมีตาหามีแววไม่!”
“คุณหนูพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าอย่างแรง ในเวลาเดียวกันก็อดที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้ โชคดีที่นางแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างทันท่วงที มิฉะนั้นหากคุณหนูระเบิดอารมณ์ออกมาล่ะก็ นางคงจะไม่ปรานีข้ารับใช้ของตนด้วยเช่นกัน
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จัดแขนเสื้อเล็กน้อย “พวกเรากลับกันเถอะ รอถึงเมืองหลวงแล้วค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที”
หากคนจากเวยเจ๋อมีตาหามีแววไม่เช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องนึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างแน่นอน!
แต่นางรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ ‘มีตาหามีแววไม่’ ทั้งที่ที่จริงแล้ว พวกเขาเพียงแค่ไม่คิดที่จะขายอาวุธให้กับนางเลยต่างหาก
เด็กรับใช้คนหนึ่งถึงกับเอ่ยปากถามหลังจากที่เห็นลุงจาง “ลุงจาง คนคนนั้นคือคุณหนูรองของคฤหาสน์ผู้พิทักษ์มิใช่หรือขอรับ”
ลุงจางชำเลืองมองเด็กรับใช้ตัวน้อย “อย่าถามในสิ่งที่เจ้าไม่ควรถาม”
เด็กรับใช้ลูบสันจมูกของตน “ข้าก็ไม่อยากถามหรอกขอรับ ข้าเพียงอยากรู้ว่านางพูดอะไรกับท่าน มองใกล้ๆ แล้วนางสวยมากจริงๆ”
“แล้วนั่นไม่ใช่คำถามหรือ” น้ำเสียงของลุงจางไม่ช้าไม่เร็ว “เอาล่ะ ได้เวลากลับแล้ว นายหญิงเองก็อยู่ที่นี่ด้วย นางได้เจอกับเฉิงสง และนางก็แค่รู้สึกไม่พอใจตระกูลเฉิงเท่านั้น”
เด็กรับใช้ตาโต “นายหญิงหรือ นางอยู่ที่นี่หรือขอรับ! อยู่ไหนขอรับ!”