องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 139 ฝ่าบาทไม่ยอมจำนน
เพราะไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงสวมหน้ากากสีเงินอยู่ ผิวกายยามเมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์จึงมีประกายสีเงินจางๆ ขับให้เขายิ่งดูหล่อเหลาเสียจนทำให้ผู้คนรู้สึกตาลาย แต่เขามีนิสัยสุขุมเยือกเย็นจนเกินไป ท่าทางไม่แยแส ไว้ตัว และเย็นชาของเขากลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการเข้าใกล้เขาแม้เพียงเล็กน้อยนั้นไม่ต่างอะไรไปจากการทำให้เขาต้องแปดเปื้อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องมองชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ นางงุนงงเล็กน้อยกับภาพอันย้อนแย้งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ร่างของนางแข็งทื่ออยู่กับที่
แต่ระหว่างที่นางกำลังตกอยู่ในภวังค์ จู่ๆ น้ำเสียงอันเย็นชาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดังขึ้น เสียงนั้นดึงสตินางให้กลับมาสู่ความเป็นจริงในทันที “ถ้าเจ้าอยากจ้องหน้าข้าเป็นอาหารตาก็ลุกขึ้นมานั่งจ้องดีๆ เจ้าเบียดข้าอยู่อย่างนี้ ข้ารู้สึกอึดอัดมากทีเดียว” คำพูดทุกคำล้วนแต่ผ่านการเลือกสรรมาเป็นอย่างดี กระนั้นก็ยังมีน้ำเสียงง่วงงุนปนอยู่เล็กน้อย “หรือข้าควรจะบอกว่า เจ้าเป็นฝ่ายที่ต้องการเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของข้าเอง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว นางหลุบสายตาลงมองต่ำ พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา “แต่ดูจากสภาพขององค์ชายแล้ว ท่านเองก็คงไม่มีสิทธิ์มากล่าวหาข้าหรอกกระมัง”
“หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงเอามือประสานไว้ที่ด้านหลังศีรษะเช่นเดิม ท่าทางเกียจคร้านที่เขาแสดงออกมานั้นดูเหมือนกำลังบอกว่าคนที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบนั้นไม่ใช่เขา แต่เป็นผู้ร้ายที่ชั่วช้าที่สุดต่างหาก
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อาจเอาความหน้าหนาหน้าทนของตนไปเทียบกับเขาได้ นางจึงชักมือของตนกลับมา แล้วทำท่าจะลุกขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งพร้อมกับมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาทำหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจกับการเสีย ‘หมอนข้าง’ ไป “ข้ายังนอนไม่พอ”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก เขาหมายความว่ายังไงที่บอกว่ายังนอนไม่พอ อีกทั้งยังเห็นได้อย่างชัดเจนว่าท่าทางของเขาไม่ใช่ท่าทางที่ใช้กอดมนุษย์ แต่เป็นท่าทางที่ใช้กอดสัตว์เลี้ยงต่างหาก!
นางดูเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงไปได้อย่างไร!?
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังคิดที่จะใช้กำลังเพื่อสยบองค์ชายสาม แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำอันแหบพร่าดังขึ้นข้างหู เสียงนั้นเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว “คราวหลังเวลาเจ้าหลับ อย่ากรนอีกล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องหน้าเขาเขม็ง นางกรนตอนหลับเสียที่ไหนกัน นอกจากพูดโจมตีนางแล้ว องค์ชายสามผู้นี้ยังทำอะไรอย่างอื่นเป็นอีกบ้าง
เขาเบื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่บนก้อนเมฆทั้งวันแล้วหรือ ทำไมต้องมาใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ด้วย!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองชายหนุ่มที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม แล้วแอบสบถใส่เขาอยู่ในใจ แม้แต่ท่าตอนนอนของเขาก็ยังสมบูรณ์แบบจนผิดปกติ ทั้งยังดูไม่ได้รับผลกระทบจากความเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
อันที่จริงนางก็ง่วงแล้วเหมือนกัน นอกจากนั้นที่นี่ก็ไม่มีเตียงเสริมหลังอื่นอีก หลังจากต่อสู้กับพิษไข้ขององค์ชายบางคนอยู่ทั้งคืน ดวงตาของนางก็เริ่มรู้สึกล้าขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยจัดท่าทางของตน แล้วพลิกตัวเข้าหาผนังเพื่อนอนต่อ
แต่…ทำไมองค์ชายสามกลับล้มตัวลงนอนข้างๆ นางล่ะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าคนที่เป็นโรคคลั่งความสะอาดอย่างเขาจะรีบลุกออกจากเตียงทันทีที่ตื่นขึ้นมา เหมือนครั้งก่อนตอนที่อยู่ในป่าวิญญาณ
แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนเขาไม่คิดที่จะไปหาห้องอื่นอีกแล้ว
ชายหนุ่มเพียงแค่เอนตัวลงนอนข้างนางโดยปราศจากความลังเล ระหว่างพวกนางมีกลิ่นไม้จันทน์ชั้นดีลอยอบอวลอยู่รอบกาย กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นเย็นๆ และบริสุทธิ์อย่างมีเอกลักษณ์
สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเผลออ้อยอิ่งอยู่บนใบหน้าด้านข้างที่เห็นได้บางส่วนจากหน้ากากสีเงินของเขา จมูกของเขาสันเป็นคม ริมฝีปากบาง โครงหน้าคมเข้ม ทุกสิ่งทำให้คนที่เห็นถึงกับคิดว่าหัวใจตัวเองหยุดเต้นได้เลยทีเดียว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกว่าหนังตาของตนเริ่มหนักขึ้น นางหาวออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง พร้อมกับหลับตาลงนอนต่อ
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับยังอยู่ในท่าเดิม เขานอนตะแคงอยู่ข้างกายนาง พลางมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังหลับอยู่ นัยน์ตาสีดำของเขาค่อยๆ จมลงในภวังค์ความคิดของตนทีละน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยในยามหลับนั้นดูเงียบสงบยิ่งนัก แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือความดื้อรั้นที่ทำให้เขาสงสัยนักว่านางไปเรียนรู้มาจากไหน เวลาที่ขนตายาวงอนอันงดงามซึ่งอยู่บนเปลือกตาของนางสั่นไหวน้อยๆ ช่างให้ความรู้สึกราวกับปีกผีเสื้อ จมูกเล็กๆ จิ้มลิ้มของนางดูสวยงามมากทีเดียว บนใบหน้าของนางมีคราบน้ำสีดำเปื้อนเป็นบางจุด หน้าตาเหมือนสุนัขจิ้งจอกผู้โง่เขลาที่ตกลงไปในน้ำหมึก
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็รู้ว่าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้จะยอมอยู่เงียบๆ ก็ต่อเมื่อหลับเท่านั้น
แต่ในยามปกตินั้น…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่มือซ้ายของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่พาดอยู่บนเอวของเขา และยื่นมือของตนออกไปเติมเต็มช่องว่างในมือนาง
เหมือนอย่างที่เฮ่อเหลียนเวยเคยพูดเอาไว้ มือที่กุมมือของนางอยู่ไม่เหมือนกับกุมมือมนุษย์ แต่กลับดูเหมือนเขากำลังกุมมือสัตว์เลี้ยงเอาไว้เสียมากกว่า
ดังนั้นแม้กระทั่งตอนนี้ องค์ชายสามก็ยังคงพิจารณาอยู่ว่าเขาควรจะทำลายกรงเล็บทั้งสองข้างที่นางใช้ข่วนใครต่อใครไปเลยดีหรือไม่!
กรงเล็บพวกนี้ที่ไม่เคยเชื่อฟัง!
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจมอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็มองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย นางดูเหมือนจะหนาว ถึงได้ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว แม้ว่าผ้าห่มของเขาจะถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยคว้าไปห่มจนถึงอก และยึดเป็นเจ้าของอยู่คนเดียว แต่เขาก็ยังคิดที่จะหลับตาลงอีกครู่หนึ่ง
“ฝ่าบาท” เงาทมิฬลองเสี่ยงส่งเสียงเข้าไปในห้อง อันที่จริงเขายืนอยู่นอกห้องมานานแล้ว แต่เขาก็กลัวว่าตนจะไปรบกวนเวลาพักผ่อนของผู้เป็นนาย
สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือการที่องค์ชายสามารถนอนร่วมเตียงกับคนอื่นได้อย่างประหลาด
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าโรคคลั่งความสะอาดขององค์ชายนั้นอยู่ในระดับไหน
เว้นก็แต่ตอนที่ต้องดัดนิสัยป่าเถื่อนของเจ้ากิเลนอัคคี ในปีนั้นองค์ชายต้องฝึกมันเอาไว้ข้างกาย และอยู่ร่วมกับมันเป็นเวลากว่าครึ่งปี
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้นอนข้างกายองค์ชายอีกเลย
เป็นไปได้หรือไม่ว่าองค์ชายตั้งใจจะนำตัวคุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียนมาเลี้ยงดูเป็นสัตว์เลี้ยง
หรือเขาควรจะบอกว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่น…
ในระหว่างที่เงาทมิฬกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในหัว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ลุกขึ้นยืนแล้ว เขายังคงสวมเสื้อคลุมหน้าตาโบราณตัวเดียวกับเมื่อวาน คอเสื้อของเขาเปิดออกครึ่งหนึ่ง เขาดึงประตูไม้เปิดออกจนเกิดเสียงดัง แรงลมพัดมาโดนร่าง และเผยให้เห็นหน้าท้องที่ทำให้ใครต่างก็อิจฉาภายใต้เสื้อคลุม เสื้อคลุมอีกตัวที่อยู่บนโต๊ะไม้ดูคล้ายกับลู่ไหวไปตามลมในยามที่มันค่อยๆ ทาบทับลงมาเหนือบ่าของชายหนุ่ม เสื้อคลุมสีดำตัวนั้นพาดลงบนตัวเขา และประทับลงบนผิวกายอันงดงามไร้ที่ติได้อย่างเหมาะเจาะ ความรุนแรงจากภาพที่เห็นชวนให้ตกตะลึงจนตาค้าง ในเวลาเดียวกันนั้นความปรารถนาอันคุ้นเคยที่ถูกข่มกลั้นเอาไว้ก็พลันกระจายออกมา
บาดแผลบนไหล่ไม่ได้ทำให้เขาดูน่าเวทนาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันกลับเสริมความชั่วร้ายให้กับเขามากกว่าในยามปกติอีกด้วย
เมื่อเห็นร่างของเขา เงาทมิฬก็ถึงกับตกตะลึง เมื่อนำเอาบทสนทนาเมื่อครู่ และสิ่งที่คุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียนทำกับองค์ชายเมื่อครู่นี้มารวมกัน.. คงไม่ใช่ว่าองค์ชาย…องค์ชายคงไม่ได้ถูกคุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียนฝืนใจเอาหรอกกระมัง
ไม่ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้เด็ดขาด!
เขาคงจะคิดมากไปเอง!
เงาทมิฬส่ายศีรษะ
สีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในชุดคลุมขนสัตว์สีดำยังคงนิ่งเฉย เขาเอนกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่อยู่ด้านข้าง เอานิ้วดึงหน้ากากสีเงินออกจากใบหน้า ยามเมื่อมีแสงส่องกระทบ ใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาอันยากจะหาใดเปรียบนั้นจึงเผยให้เห็นรำไร มันดูเหมือนกับรูปสลักหยกที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ ทำให้คนที่ได้มองไม่อาจละสายตาไปทางอื่นได้
“ว่าอย่างไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปหยิบถ้วยชาสังคโลกที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา ทั้งที่ถ้วยนั้นเป็นเพียงถ้วยชาจีนใบเล็กๆ แต่มันกลับดูโดดเด่นเมื่ออยู่ในมือเขา แม้กระทั่งปลายนิ้วของเขาก็ยังดูบริสุทธิ์ และมีแสงเปล่งประกายเป็นสีขาวราวกับหยก
มือของเขาเรียวบางเฉกเช่นเดียวกันกับบรรดาบัณฑิตทั้งหลาย แต่ก็ทำให้รู้สึกราวกับว่าสองมือนั้นสามารถคว้าจับฟ้าดินมาไว้ในกำมือได้
“ทูลองค์ชาย พวกกระหม่อมเหลือนักโทษเอาไว้หนึ่งคนพ่ะย่ะค่ะ และปล่อยข่าวออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกกระหม่อมอ้างว่าคนพวกนั้นมาหาเรื่องนายน้อยหานพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับเอ่ยตอบอย่างเคารพ
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจิบชาไปอึกหนึ่ง ในเวลาเดียวกันดวงตาสีดำอันมืดมิดของเขาก็คล้ายจะหรี่ลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขากำลังมองไปที่ใดในระหว่างที่สั่งว่า “จับตามองต่อไป”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬรับคำ “เช่นนั้นควรจะเปิดเผยฐานะในสำนักไท่ไป๋ของฝ่าบาทให้คุณหนูเฮ่อเหลียนทราบดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
นิ้วที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้หมุนหน้ากากสีเงินอยู่ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง เขาตอบอย่างไร้อารมณ์ว่า “ไม่จำเป็น ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬก้มศีรษะลงพร้อมกับถอยกลับไป
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจัดแจงสวมหน้ากากเงินอีกครั้ง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องจนมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง นิ้วของเขาลูบแก้มของเฮ่อเหลียนเวยเวย ในเวลาเดียวกัน มุมปากของเขาก็ยกขึ้นอย่างชั่วร้าย…