องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 149 ฝ่าบาทรู้สึกหึงหวง
“อุ๊บ” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหัวเราะออกมาเบาๆ
หนานกงเลี่ยรู้สึกว่าเขากำลังจะสำลัก ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว และดูถมึงทึงอย่างมาก ดูราวกับเขาไม่สบาย
จึงมีคำกล่าวไว้ว่า ไม่ควรไปหาเรื่องเหน็บแนมใคร เพราะอาจจะตกหลุมพรางของตนเองได้ ถ้าไม่ระวัง!
“เจ้าเลือกโหราศาสตร์ ส่วนเขาเลือกพลังปราณ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเหยียดร่างกาย “เจ้าสำนักต้องการให้พวกเราพูดคุยกันและตัดสินใจว่าใครจะลงแข่งก่อน”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญ” หนานกงเลี่ยเอนตัวไปพิงเสาที่อยู่ด้านหลัง แต่เมื่อเขากวาดตามามองใบหน้าด้านข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่คาดคิด
หนานกงเลี่ยไม่สนใจก็จริง แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นยิ่งกว่าไม่ใส่ใจเสียอีก ร่างสูงสง่าของเขายืนนิ่งๆ และพูดขึ้นอย่างไม่ยี่หระ “ยังไงก็ได้”
ก่อนหน้านี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยคิดว่าตนเองเป็นคนไม่มีระเบียบวินัย และไม่สนใจต่อสิ่งใดๆ แต่เมื่อเห็นชายทั้งสองคนในวันนี้ นางก็พบว่าจริงๆ แล้ว ตัวเองก็เป็นศิษย์ที่ ‘ประพฤติดี’ คนหนึ่งเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม…เรื่องที่ใครจะลงแข่งก่อนนั้น อืม…
“ถ้าเช่นนั้น ในเมื่อโหราศาสตร์ต้องใช้เวลามากที่สุด ก็ควรจะขึ้นประลองก่อน ส่วนพวกเราสองคนก็นอนพักอยู่ด้านหลังเวที ต่อมาก็เป็นข้า และคนสุดท้ายก็คือสาขาพลังปราณ ตกลงไหม” เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการจะรวบรวมความคิดที่เป็นเอกฉันท์อีกครั้ง
หนานกงเลี่ยเหมือนกำลังพูดพึมพำ “ข้าเองก็อยากนอนพักด้านหลังเวทีเช่นกัน” แค่นึกถึงเรื่องการผลัดกันนอนระหว่างการแข่งขัน ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดยิ่งนัก
“ในพวกเราสามคน มีเพียงเจ้าคนเดียวที่ไม่ต้องใช้ความแข็งแกร่งของร่างกาย” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม “คนที่ไม่ต้องใช้พลังทางร่างกาย จำเป็นต้องนอนพักด้วยหรือ”
หนานกงเลี่ยยังไม่ทันได้ตอบอะไร ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็อ้าปากขึ้นแล้ว “เขาไม่จำเป็นต้องนอน พูดต่อเลย”
หนานกงเลี่ย”…”
ใครบอกกันเล่าว่าเขาไม่จำเป็นต้องนอน ตอนที่เขาต้องทำนายนั้น เป็นช่วงเวลาที่เขาต้องใช้สมาธิมากที่สุด เข้าใจไหมเล่า
“เจ้าสามารถนอนหลับในระหว่างการทำนายได้” เดิมที เฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งใจที่จะพูดเล่น แต่นางไม่คิดว่าจู่ๆ ดวงตาของหนานกงเลี่ยนจะเป็นประกายขึ้นมาในทันที “เป็นความคิดที่ดี”
ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ เงาทมิฬที่รับฟังอยู่ด้านข้าง ก็รู้สึกสับสนขึ้นมา
ทั้งสามคนนี้กำลังจะเข้าร่วมการแข่งขันจริงๆ หรือว่าพวกเขาแค่จะไปนอนที่นั่นกันแน่…
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ต้องชนะเพื่อให้ได้เงินรางวัลมา” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเบาๆ อย่างอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
เงาทมิฬ…ครั้งนี้ อาจพูดได้ว่าเขาได้มีประสบการณ์กับถ้อยคำที่บอกว่า ‘มีเงินก็สั่งให้ผีโม่แป้งได้[1]’ แล้วจริงๆ
จุดประสงค์หลักที่สำนักไท่ไป๋จัดการแข่งขันครั้งนี้ขึ้น ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินรางวัลสักหน่อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม “แล้วยังมีวันหยุดให้อย่างดีอีกด้วย”เงาทมิฬคิดในใจ …แล้วความคิดที่ว่าการแข่งขันครั้งนี้เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของแต่ละหอเล่า
“ข้าได้ยินมาว่าวิธีการของสำนักไท่ไป๋เมื่อหลายปีก่อน ผู้เข้าแข่งขันจากทุกหอจะต้องฝึกซ้อมล่วงหน้า แล้วพวกเราต้องฝึกซ้อมด้วยไหม” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ “พวกเราฝึกซ้อมด้วยกันดีหรือไม่”
หนานกงเลี่ยส่ายศีรษะ ก่อนจะหันหน้าไปมองท้องฟ้า และคร่ำครวญ “ตอนที่ข้าทำนาย ข้าจะดูเย้ายวนอย่างมาก ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จนตกหลุมรักนายน้อยคนนี้เข้า”
“หึๆ” มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับริมฝีปากบางอย่างมีเสน่ห์ “ไม่จำเป็น”
คำพูดสามคำของเขาตรงกับความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวย “ข้าเองก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาฝึกซ้อมด้วยกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยเหยียดตัวและยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม หากพวกเขาอยู่ด้วยกัน นางคงจะเป็นคนเครียดแทน
อันที่จริง ชายหนุ่มทั้งสองคนนี้เหมือนกันมาก หากเปรียบเทียบกับเฮ่อเหลียนเวยเวย พวกเขาก็น่าเป็นห่วงมากกว่าว่าระหว่างที่ฝึกซ้อม พวกเขาอาจจะเผยตัวตนของตัวเองออกมา
“เมื่อถึงเวลา พวกเราจะต้องแข่งขันกับหอชั้นดีก่อน” เฮ่อเหลียนเวยเวยม้วนกระดาษที่เจ้าสำนักมอบให้นาง ก่อนจะยื่นให้พวกเขา “นี่คือรายชื่อของพวกหอชั้นดี พวกเราต้องชนะแบบสองในสาม หรือหากพวกเราชนะในสองรอบแรก คนที่สามก็ไม่จำเป็นต้องแข่งขัน”
หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น หนานกงเลี่ยก็หมุนตัวไปนอนบนโต๊ะหิน “อ่า หากข้ารู้เช่นนี้ ข้าคงจะขอเป็นคนที่สาม” เพราะหากเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นเวทีประลองเลยด้วยซ้ำ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหอชั้นเลิศ กติกาการแข่งขันก็จะเปลี่ยนไป เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว “สำนักไท่ไป๋กำหนดว่าสาขาโหราศาสตร์จะอยู่ในลำดับสาม ซึ่งตรงกันข้ามกับลำดับของก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง แต่พวกเราจำเป็นต้องชนะหอชั้นดี กับหอชั้นเยี่ยมให้ได้เสียก่อน”
“ถ้าอย่างนั้น มันก็ใช้เวลานานพอสมควร” หนานกงเลี่ยยกมือขึ้นมาม้วนผมยาวของตนเอง พร้อมกับเหลือบตามองขึ้น และครุ่นคิดอย่างใจลอย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับถ้วยชากระเบื้องเคลือบที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง และจิบมันอย่างสุขุม ท่าทางของเขาสง่างามและเต็มไปด้วยความยับยั้งชั่งใจอย่างแรงกล้า “ไม่เสมอไป”
“ไม่เสมอไปเช่นนั้นหรือ เจ้าคิดว่าพวกเราจะไม่ชนะเช่นนั้นหรือ” หนานกงเลี่ยขมวดคิ้ว มันไม่น่าจะใช่ เพราะแม้ว่าทุกคนจะบอกว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนไร้ค่า แต่จากที่เขาสังเกตดูในช่วงเวลาสั้นๆ หญิงสาวคนนี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดาขนาดนั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจัดแขนเสื้อของตัวเอง และมองหนานกงเลี่ยด้วยท่าทีห่างเหิน “อาจจะไม่ได้ใช้เวลานานเสมอไป”
หนานกงเลี่ยตกตะลึง จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายผิดไป
“เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเราได้ประลองกับพวกหอชั้นเลิศอย่างแน่นอน และจะจัดการกับพวกหอชั้นดีและหอชั้นเยี่ยมโดยใช้เวลาไม่นานนักเช่นนั้นหรือ” หลังจากที่หนานกงเลี่ยยืนยันเรื่องนี้อย่างเงียบๆ เขาก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “เจ้าพูดเช่นนี้ เจ้าได้คิดบ้างหรือไม่ว่าคนจากหอชั้นดีกับหอชั้นเยี่ยมจะคิดเช่นไร”
ฝ่าบาท ท่านเป็นเพียงลูกศิษย์จากหอสามัญเท่านั้น
แม้ความจริงจะเป็นเช่นนั้น แต่ฝ่าบาทก็ไม่ควรทำตัวเย่อหยิ่งเช่นนั้น เข้าใจไหมเล่า
อย่างไรก็ตาม
“ข้าชอบความคิดนี้” หนานกงเลี่ยยิ้มพร้อมกับหันหน้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้น มาตัดสินใจกันเถอะ พวกเราจะจัดการพวกสองหอแรกอย่างรวดเร็ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งย่อเข่าเล็กน้อย ท่าทีของนางตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปนัก นางเพียงแค่เผยรอยยิ้มบางๆ ที่ดูสบายตา “ความคิดนี้ไม่เลวเลย แต่การเอาชนะพวกหอชั้นดีกับหอชั้นเยี่ยมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด อย่างน้อยๆ ตอนที่พวกเราไปถึงหอชั้นเยี่ยม คุณชายจากตระกูลเฮยก็เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่ง่ายเลย”
“คุณชายตระกูลเฮยหรือ” หนานกงเลี่ยมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก่อน หลังจากนั้น เขาก็ตั้งใจหันหน้ากลับมามองเฮ่อเหลียนเวยเวยเพื่อพูดต่อว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะประเมินเขาไว้สูงมาก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้เงยหน้าขึ้น ขณะเดียวกัน นางก็มองดูกระดาษที่ตนเองม้วนขึ้น ก่อนจะตอบว่า “พวกเราควรจับตาดูเขาเอาไว้ ข้ารู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งกว่าบางคนในหอชั้นเลิศ”
“โห มันเป็นเช่นนี้นี่เอง” หนานกงเลี่ยพูดเสียงยืด พร้อมกับหันไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
สีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่ามือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อนั้นเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย แม้กระทั่งถ้วยชาที่เขากำลังถืออยู่ก็เกิดระลอกน้ำหลายชั้นก่อตัวขึ้น
ขณะนี้ นัยน์ตาที่ดูนุ่มนวลเมื่อก่อนหน้า กลับกลายเป็นเยือกเย็นและยากที่จะอธิบายได้
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสุขุม หนานกงเลี่ยก็รู้สึกว่าตนเองยังทำตัวปั่นป่วนไม่พอ จึงพูดเสริม “กล่าวคือ เจ้ารู้สึกชื่นชมเขาเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าจะพูดเช่นนั้นก็ได้” นิ้วมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยแตะตรงชื่อของฝ่ายตรงข้ามที่ควรจับตาดู และผลักไปข้างหน้าเล็กน้อย เดิมที นางต้องการให้ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามดูนายน้อยหยวนคู่แข่งที่เขาจะต้องเผชิญหน้า แต่เมื่อนางสบกับแววตาที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งคู่นั้น นางก็หยุดชะงักเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ “มีอะไรหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางถ้วยชาที่ถืออยู่ในมือ ก่อนจะยิ้มอย่างชั่วร้ายและเกียจคร้าน แววตาของเขาดูไร้ซึ่งความอบอุ่นอย่างสิ้นเชิง “ไม่มีอะไร”
“เจ้าเจ็บแผลที่หน้าอีกแล้วหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น พร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องห่วง หากการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศมาถึง พวกเราจะทำให้พวกผู้ชายเหล่านั้นได้สัมผัสถึงรสชาติที่บังอาจมาต่อยใบหน้าของเจ้า…”
———————————————–
[1] มีเงินก็สั่งให้ผีโม่แป้งได้ เป็นสำนวน เปรียบเปรยว่า มีเงินจะทำอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น