องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 15 อัจฉริยะในด้านความไร้ประโยชน์
ความหรูหราของรถม้าคันนั้นแตกต่างจากรถม้าทั่วๆ ไป มันมีสีขาวใสที่ส่องประกายสีทองวิบวับไปทั้งคัน
“เอ๋ ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม นังผู้หญิงไร้ค่าคนนี้ก็ออกมาหาซื้อหมวกทรงสูงด้วยเช่นนั้นหรือ”
เฮ่อเหลียนเหมยที่เพิ่งจะถูกฝูงผึ้งรุมต่อยก้าวลงมาจากรถม้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง และพูดจาเหยียดหยาม “ท่านพ่อรีบมาดูเร็วเข้าเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ก็อยากจะเข้าเรียนที่สำนักไท่ไป๋ด้วยเจ้าค่ะ แต่ไม่รู้ว่านางจะถูกไล่ออกหรือไม่”
เฮ่อเหลียนกวงเย่าก็เดินออกมาจากรถม้าเช่นกัน และเมื่อเขาเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็ขมวดคิ้วแน่น ราวกับว่าเพียงแค่เห็นหน้าอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกคลื่นไส้แล้ว “ทำไมเจ้ายังยืนนิ่งอยู่เล่า ช่างน่าอับอายยิ่งนัก กลับไปซะ”
“ท่านพ่อ ใจเย็นๆ ก่อนเจ้าค่ะ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา “พี่ใหญ่ ท่านติดตามพวกเรามาจนถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน หรือเพราะว่ามู่หรงซื่อจื่ออยู่กับพวกเราด้วยเช่นนั้นหรือ”
มู่หรงฉางเฟิงยืนอยู่ข้างๆ นาง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้ออย่างสง่างาม แล้วหันหน้ามามองผู้หญิงผิวแทนคนนี้ เขาขมวดคิ้วช้าๆ อย่างไม่อาจซ่อนความเกลียดชังเอาไว้ได้ “ข้าก็อยากรู้นักว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”
“จากที่ข้าเห็น ดูเหมือนว่าพี่ใหญ่จะติดตามมู่หรงซื่อจื่อมาตลอดทางเจ้าค่ะ นางรังควานท่าน ราวกับเป็นวิญญาณที่ไม่ยอมปล่อยวาง ทำไมนางไม่หัดใช้เวลาไตร่ตรองถึงเรื่องน่าละอายที่ตนเองทำลงไปบ้าง แล้วผู้ชายคนใดจะสนใจนางกัน เว้นแต่จะเป็นคนตาบอดเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเหมยจงใจพูดเสียงดัง ทำให้แทบทุกคนบนท้องถนนที่เป็นตลาดขนาดใหญ่ต่างมองไปที่นางด้วยความสงสัย
เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย เงาทมิฬที่อยู่ไกลๆ ก็กระแอมอย่างหนัก และหันไปมองหน้านายท่านของตนที่อยู่ด้านข้าง หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเฉียบ
ชายคนนั้นค่อยๆ หมุนแหวนหยกดำบนนิ้วมือ แววตาอันเยือกเย็นคู่นั้นไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
[สวรรค์อาจจะเมตตา ทำให้ฝ่าบาทไม่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น เขาต้องไม่ได้ยินมันอย่างแน่นอน… บ้าเอ๊ย ผู้หญิงคนนั้นตะโกนว่า “ตาบอด” เสียงดังจนแม้แต่ตัวเขาเองยังได้ยินทุกคำ แล้วนายท่านจะไม่ได้ยินได้อย่างไรกันเล่า]
“ข้าว่าแล้ว พี่ใหญ่ยังไม่อาจปล่อยวางความรู้สึกที่มีต่อมู่หรงซื่อจื่อได้ใช่หรือไม่” เฮ่อเหลียนเหมยมองนาง “เจ้าตื่นได้แล้ว ซื่อจื่อชอบพี่รอง แล้วเจ้าเทียบอะไรกับพี่รองได้บ้างเล่า เจ้าออกมาข้างนอกตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ซื้ออะไรเลย ไม่ใช่เพราะว่าเจ้ามีเงินไม่พอหรอกหรือ ฮ่าๆ หัดเอาเวลาว่างไปส่องกระจกดูความยากจนของตัวเองบ้างเถอะ อย่าใช้เวลาทั้งวันมาเพ้อฝันว่าจะโบยบินไปอยู่บนกิ่งไม้แล้วกลายเป็นหงส์ [1] เลย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกอดอก นางไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ จนกระทั่งเฮ่อเหลียนเหมยหุบปากลง หญิงสาวจึงค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น “เจ้าพูดจบแล้วหรือ”
สิ่งที่เฮ่อเหลียนเหมยรับไม่ได้ที่สุด คือการที่อีกฝ่ายมีท่าทีสุขุมอย่างมาก นางทำได้เพียงพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง “ฮึ่ม”
“ในเมื่อพวกเจ้าพูดจบแล้ว ก็ถึงตาข้าพูดบ้าง” เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน จากนั้นก็ยื่นมือไปบีบคางของเฮ่อเหลียนเหมย และใช้นิ้วเรียวยาวของตนเงยหน้าของอีกฝ่ายขึ้น “ใครบอกเจ้าว่าข้าติดตามพวกเจ้ามาที่นี่กัน ข้ามาที่ตลาดแห่งนี้ก็เพื่อจะหาซื้อของบางอย่างเท่านั้น พวกเจ้าสำคัญตัวเองผิดไปแล้ว สำหรับมู่หรงฉางเฟิง พวกเจ้าก็รีบพาเขาออกไปได้แล้ว… ผู้ชายที่เติบโตแค่ร่างกาย แต่ไม่ได้พัฒนาสมองเช่นเขา พี่สาวคนนี้รู้สึกรังเกียจยิ่งนัก”
“เจ้า เจ้า เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงพูดจาเช่นนั้นกับเขา” เฮ่อเหลียเหมยตัวสั่นไปด้วยความโกรธ พร้อมกับชี้ไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
มู่หรงฉางเฟิงนั้นรู้สึกโกรธเคืองยิ่งกว่า ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาบิดเบี้ยว นังผู้หญิงชั่วคนนี้พูดว่าเขาได้อย่างไรกัน นางหาว่าเขาเป็นผู้ชายที่โตแต่ตัว แต่สมองไม่ได้พัฒนาไปด้วยเช่นนั้นหรือ
ใครกันที่เคยวิ่งตามเขาทั้งวัน แล้วทำไมวันนี้พฤติกรรมของนางกลับเปลี่ยนไปจากเดิมเช่นนี้ หรือจะเป็นกลยุทธ์ใหม่ของนางเช่นนั้นหรือ
หากเป็นเช่นนั้น เขาก็อยากจะแสดงความยินดีกับผู้หญิงไร้ค่าที่โง่เง่าคนนี้จริงๆ เพราะนางทำสำเร็จแล้ว
ตอนนี้มู่หรงฉางเฟิงแทบรอไม่ไหวที่จะผ่าร่างเฮ่อเหลียนเวยเวยออกเป็นสองท่อนด้วยกระบี่ใจจะขาด เขาไม่เคยรู้สึกเกลียดชังใครมากขนาดนี้มาก่อน
“ซื่อจื่อเจ้าคะ…” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตระหนักได้ว่าตั้งแต่ที่นังแพศยาคนนี้ปรากฎตัวขึ้น ก็ดึงความสนใจจากมู่หรงฉางเฟิงไปจนหมด แล้วนางจะยอมได้อย่างไรกัน
นางเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของมู่หรงฉางเฟิงแน่น พร้อมกับกัดริมฝีปากเล็กของตนเองอย่างแผ่วเบา ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำอย่างน่าสงสาร “ซื่อจื่อโปรดอย่าทะเลาะกับพี่ใหญ่ของข้าเลยเจ้าค่ะ นางเพียงแค่ทำอะไรไม่ถูก เมื่อไม่มีซื่อจื่อก็เท่านั้น คงอยากให้ซื่อจื่อเปลี่ยนใจ…”
“ข้าจะไม่มีวันแต่งงานกับคนไร้ค่าที่ทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้” มู่หรงฉางเฟิงเยาะเย้ยและดูถูก เขาหันหน้าหนี ราวกับตนเองเป็นหุ่นแกะสลักจากภูเขาน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นและรังเกียจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจว่าปฏิกิริยาของเขาจะเป็นอย่างไร มือข้างซ้ายของนางกำลังโยนสตรอเบอร์รี่อยู่ และปล่อยให้คนที่อยู่ด้านหลังหัวเราะเยาะเย้ยนางต่อไป
ไกลออกไป ดวงตาสีขาวดำของชายคนหนึ่งสะท้อนใบหน้าเรียบเฉยที่ดูไม่แยแสอะไร ใบหน้านั้นดูสงบนิ่ง ไม่รีบร้อน และไม่ยอมใคร ราวกับอยู่คนละโลกกับผู้หญิงไร้ค่าคนก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบางของชายคนนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าช่างน่าสนใจจริงๆ… เห็นแก่ความน่าสนใจของเจ้า ข้าคนนี้จะไว้ชีวิตเจ้าอีกสองสามวัน เหยื่อที่น่าสนใจขนาดนี้ หากเล่นจนถึงตายเร็วเกินไป ก็น่าเบื่อแย่…
“ฝ่าบาท” เงาทมิฬสั่นสะท้านและขนลุกซู่ [โธ่ สวรรค์ นายท่านหยุดยิ้มก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากท่านไม่พอใจก็พูดออกมาตรงๆ เลยก็ได้พ่ะย่ะค่ะ]
“ไป” ชายคนนั้นพูดสั้นๆ พร้อมกับสะบัดแขนเสื้อยาวของตน แผ่นหลังของเขาดูราวกับต้นสน
เงาทมิฬชะงักไปชั่วอึดใจหนึ่ง ‘ไปเช่นนั้นหรือ’
พวกเขาตกลงกันว่าวันนี้คือวันที่ “ดาววิหคแดง” จะต้องถูกฆ่ามิใช่หรือ
ฝ่าบาททรงเปลี่ยนใจอีกแล้วเช่นนั้นหรือ
จากนิสัยของนายท่าน ยิ่งเขากำจัดใครสักคนช้ามากเท่าไหร่ จุดจบของคนๆ นั้นก็จะยิ่งน่าเวทนามากขึ้นเท่านั้น
เงาทมิฬหันหลังกลับไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เดินอยู่บนถนนการค้า ก่อนจะภาวนาให้อีกฝ่ายอย่างเงียบๆ…
อีกด้านหนึ่ง มู่หรงฉางเฟิงที่ยังรู้สึกโกรธแค้นนั้น พาเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เหตุผลที่พวกเขาเดินทางมาด้วยกันในวันนี้ ก็เพราะมู่หรงฉางเฟิงต้องการจะพาเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มาแนะนำให้กับอาจารย์ของเขาที่มีชื่อว่าตู๋เทียนได้รู้จัก
ตู๋เทียนเห็นลูกศิษย์ของตนเองผลักประตูเปิดด้วยความโกรธแค้น ก็ย่นหัวคิ้ว “ฉางเฟิง อาจารย์เคยบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าหากอยากจะประสบความสำเร็จจนเป็นเจ้ายุทธ์ การฝึกฝนร่างกายสำคัญก็จริง แต่การฝึกฝนจิตใจนั้นก็สำคัญอย่างมากเช่นกัน”
“ขอรับ” มู่หรงฉางเฟิงกำมือแน่น แม้ว่าเขาจะอึดอัดเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังเชื่อฟังอาจารย์
แม้ตู๋เทียนจะสังเกตเห็น แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป ลูกศิษย์ของเขาคนนี้เก่งรอบด้าน แต่เย่อหยิ่งไปหน่อยและไม่รับฟังคำสอนของคนอื่น บางที อาจเป็นเพราะว่าเขาเกิดในตระกูลที่สูงส่ง เฮ้อ ไม่เหมือนกับนังหนูที่ฝึกฝนด้วยตัวเองเมื่อวานนี้ นางไม่ใช่คนหยิ่งจองหอง แต่ก็ไม่ใช่คนอ่อนโยน แล้วก็เห็นแก่เงินเล็กน้อย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ตู๋เทียนก็รู้สึกเสียดาย “เอาเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย คนที่ข้าต้องการให้เจ้าตามหา เจ้าพบนางแล้วหรือยัง”
มู่หรงฉางเฟิงส่ายหน้า และตอบ “ศิษย์ค้นหาจนทั่วทั้งเมืองหลวงแล้วขอรับ แต่ก็ยังไม่พบเด็กสาวที่อาจารย์พูดถึงเลย ท่านอาจารย์ขอรับ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน จึงทำให้ท่านสนใจได้ขนาดนี้”
“เป็นอัจฉริยะที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้” เมื่อตู๋เทียนพูดถึงนังหนูคนนั้น เขาก็ไม่อาจข่มความรู้สึกตื่นเต้นของตนเองได้ “เจ้าไม่รู้ว่านางมีพรสวรรค์ในการเป็นเจ้ายุทธ์สูงแค่ไหน แม้แต่ท่านปรมาจารย์ก็ยังต้องการรับนางไปเป็นศิษย์ เพื่อจะได้สอนนางด้วยตัวเองเลยทีเดียว”
อะไรนะ
มู่หรงฉางเฟิงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาของเขาฉายแววประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้ เขาเคยอยากกราบไหว้ผู้อาวุโสคนนั้นเป็นอาจารย์ของเขา แต่ไม่ว่าเขาหรือมู่หรงชินอ๋องท่านพ่อของเขาจะพยายามส่งคำเชิญไปให้เพียงใด ก็ไม่เป็นผล ผู้เฒ่าบ้าที่มีมาตรฐานสูงคนนั้นไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลย
แต่ตอนนี้ ผู้อาวุโสคนนั้นกลับต้องการรับลูกศิษย์คนหนึ่งเช่นนั้นหรือ เขาอยากจะรู้ยิ่งนักว่าใครกันที่ทำให้ผู้เฒ่าคนนั้นสนใจขึ้นมาได้
………………………………………………………………………………..
[1] โบยบินอยู่บนกิ่งไม้แล้วกลายเป็นหงส์ เป็นสำนวน หมายถึง เปลี่ยนจากฐานะหรือตำแหน่งที่ต่ำต้อยเป็นคนที่มีฐานะหรือตำแหน่งที่สูงขึ้นในทันทีทันใด