องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 150 ดูถูกองค์ชายสาม
“เจ้าถูกใครบางคนทำร้ายจนบาดเจ็บเช่นนั้นหรือ” หนานกงเลี่ยมีท่าทีราวกับกำลังฟังนิทานหลอกเด็ก ก่อนจะยืนขึ้นเพื่อมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ชายหนุ่มที่รู้จักกันในนามองค์ชายสามแห่งวังปีศาจเคยถูกทำร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แม้ว่าเขาจะสูญเสียพลังปราณก็ตาม
แต่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังต่อหน้าเขาด้วยซ้ำ
ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด แต่เป็นเพราะว่าวิธีการของคนๆ นี้ไร้ความปรานีเกินไปนั่นเอง
เขาโหดเหี้ยมอย่างมาก แม้แต่กลุ่มคนที่มาจากสี่ตระกูลใหญ่ก็ยังไม่กล้าทำอะไรโดยไม่คิดไตร่ตรองก่อน
ยิ่งกว่านั้น เขายังชอบเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกด้วย
เขาไม่ชอบสะสางทุกอย่างให้จบในทันที แต่ชอบที่จะแก้แค้นในภายหลังอย่างเชื่องช้า
เหล่าองครักษ์ลับที่พยายามจะลอบสังหารเขานั้นถือเป็นตัวอย่างที่ดี
อย่าให้ท่าทีอันสุขุมและไม่รีบร้อนที่เขาเป็นตอนที่อยู่ในเมืองอู่ซิวหลอกเอาได้
หลังจากที่เขากลับมา เขาก็ไปยังวังหลวง เพียงเพื่อจะสร้างความตื่นตระหนกให้กับทั้งสี่ตระกูลใหญ่และแปดตระกูลที่มีอิทธิพลเท่านั้น
เขาไม่ได้บอกว่าใครคือคนที่ส่งกลุ่มองครักษ์ลับไป แต่เขาแค่บอกว่าเขาเจอหลักฐานบางอย่างในกลุ่มคนพวกนั้น และนั่นทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก แต่ก็ทำได้เพียงแค่มองหน้าอย่างไม่มีทางเลือก ขณะที่มองดูเขาสอบสวนพวกเขาทีละคน
ทุกครั้งที่ตรวจสอบแต่ละตระกูลเสร็จ ก็จะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างถูกเปิดเผยออกมาเสมอ
ประมุขของสี่ตระกูลใหญ่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องใช้เงินจำนวนมากจัดการเรื่องต่างๆ พวกเขาต้องการรักษาหน้าเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องปกป้องเหล่าลูกหลานของตระกูล หากผู้คนในเมืองหลวงรู้เข้า พวกเขาคงจะกลายเป็นเรื่องตลกของคนทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย และนั่นก็เป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งกว่าการถูกเฆี่ยนตีเสียอีก
ตอนนี้ ไม่มีใครกล้าเข้าหอนางโลมเลยสักคน เพราะกลัวว่าองค์ชายสามจะแค้นเคือง จนส่งคนไปหาถึงบนเตียง
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่องค์ชายสามนั้นสูงส่งราวกับเทพเจ้า แล้วจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นี้เลย
จนถึงตอนนี้ มีผู้อาวุโสสองคนที่ถูกจัดการด้วยวิธีนี้ วิธีการไต่สวนนั้นทำให้พวกเขาขวัญผวาอย่างมาก จนไม่สามารถรับมือได้ ไม่ว่าคู่นอนของพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในระหว่างการทำกิจกรรมดังกล่าวอย่างมีความสุขนั้น คือช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานและไม่ระมัดระวังตัวเองที่สุด และทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีกระบี่ปรากฏอยู่บนศีรษะของเขา พร้อมกับองครักษ์เงาจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่บนอากาศโดยไม่เคลื่อนไหว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้จับผมแม้แต่เส้นเดียว และเพียงแค่มองดูด้วยสายตาจ้องเขม็งเท่านั้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นี้ หนานกงเลี่ยก็ขนลุกไปทั้งตัว
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาไม่เชื่อว่าคนอย่างผู้ชายคนนี้จะถูกใครทำร้ายได้
แม้แต่การฆ่าผู้ชายคนนี้ หนานกงเลี่ยก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย
มันจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
จากความเข้าใจที่เขามีต่ออาเจวี๋ย อีกฝ่ายจะต้องทำอะไรไว้อย่างแน่นอน
หนานกงเลี่ยมองดูท่าทางอันสุขุมของเพื่อนคนนี้ และกำลังจะอ้าปากพูด แต่ก็ถูกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขัดจังหวะเสียก่อน “พวกเขาสี่คนรุมทำร้ายข้าแค่คนเดียว มันแปลกหรือที่ข้าจะได้รับบาดเจ็บ”
“นั่นสิ…”
เดิมที หนานกงเลี่ยตั้งใจจะพูดว่า ‘มันแปลกประหลาดยิ่งนัก’ แต่หลังจากที่เห็นท่าทีของอีกฝ่าย ลูกกระเดือกของเขาก็สั่นไหวอย่างอดไม่ได้ พร้อมกับเปลี่ยนคำพูดทันที “ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
ให้ตายสิ นี่มันเรื่องอะไรกัน
คิดย้อนกลับไปในอดีต คนๆ นี้ยังเคยเอาไม้เท้าทำร้ายคนอื่นๆ นับร้อยคนด้วยซ้ำ
หลังจากที่เขาจัดการคนเหล่านั้นเสร็จ เขาก็ยังบอกอีกว่าในอนาคต อย่ามารังควานเขาเพราะเรื่องเหล่านี้อีก เขาจะได้ไม่เสียเวลานอนไปเปล่าๆ
แต่ตอนนี้ เขากลับไม่สามารถเอาชนะคนสี่คนได้เช่นนั้นหรือ
แล้วใครจะเชื่อคำพูดเหล่านั้นกันเล่า
ยิ่งไปกว่านั้น พลังปราณของเขาก็ฟื้นกลับคืนมาแล้วด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าเขาคงไม่ได้ใช้พลังปราณด้วยซ้ำ มิเช่นนั้น เพียงแค่เขายกนิ้วขึ้นมา คนพวกนั้นก็ล้มลงในชั่วพริบตาแล้ว รู้ไหมเล่า
เขากำลังเล่นอะไรอยู่
ถึงกับต้องทำร้ายตัวเองเช่นนั้นหรือ
จากมุมมองของหนานกงเลี่ย ไม่ว่าเขาจะคิดเช่นไร ‘บาดแผล’ นั้น ก็จะต้องเกิดขึ้นจากความจงใจอย่างแน่นอน
เขารอจนกระทั่งเฮ่อเหลียนเวยเวยไปหาของบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยถามเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างแทบจะทนไม่ไหว “เจ้าคงไม่ได้ชกตัวเองจนเกิดบาดแผลบนใบหน้าหรอก ใช่หรือไม่” การแกล้งทำร้ายตัวเองเพื่อจะได้รับความสงสารจากคุณหนูเฮ่อเหลียนนั้นเป็นสิ่งที่คนสองหน้าแบบเขาสามารถทำได้
“ไม่ใช่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางถ้วยชากระเบื้องเคลือบที่อยู่ในมือลง และมองไปด้านหลังเขาอย่างไร้อารมณ์ “หมัดนั้นเป็นของคนอื่น”
สมควรแล้วที่หนานกงเลี่ยซึ่งเป็นคนที่ได้อยู่กับองค์ชายสามมาเป็นเวลานาน และสามารถถอดความหมายที่แฝงนัยยะจากคำพูดไม่กี่คำของอีกฝ่ายได้ มุมปากของหนานกงเลี่ยกระตุกเล็กน้อย พูดอีกอย่างคือ เขาไม่ได้ชกตัวเอง แต่ใช้หมัดของคนอื่นกระแทกใส่ใบหน้าของตนเองต่างหาก
“คนพวกนั้นไม่กล้าที่จะเปิดโปงการกระทำของเจ้าใช่หรือไม่” หนานกงเลี่ยยิ้ม “และตอนที่เจ้าต่อสู้กับพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองมีตา แต่หามีแววไม่ แต่พูดก็พูดเถอะ การปลอมตัวของเจ้าจะไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็จะต้องย้ายไปอยู่ที่หอชั้นเลิศอยู่ดี เพราะเมื่อดูจากความสามารถของหอสามัญแล้ว คงไม่สามารถต้านทานพวกนักฆ่าที่ต้องการจะเอาชีวิตของเจ้าได้”
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้แค่ยิ้มอย่างเยือกเย็นจนเสียดแทงเข้าไปในกระดูก “พวกเขาไม่กล้าหรอก”
เขาไม่ได้ใช้คำว่า ‘พวกเขาทำไม่สำเร็จ’ แต่เป็น ‘พวกเขาไม่กล้าหรอก’
ดูเหมือนว่าอาเจวี๋ยได้สอนบทเรียนที่ยากจะลืมให้แก่ศัตรูของตนเองแล้ว
เฮ้อ พวกชายหนุ่มผู้น่าสงสารเอ๋ย พวกเขามีเป้าหมายอยู่สองคนแน่ๆ
พวกเขาสามารถเลือกเป้าหมายเป็นใครก็ได้ แต่พวกเขากลับเลือกพุ่งเป้าไปที่อาเจวี๋ย
แทนที่จะเลือกอาเจวี๋ย พวกเขาน่าจะเลือกเขามากกว่า
อย่างน้อยๆ หากเปรียบเทียบกัน วิธีการของเขาก็ค่อนข้างอ่อนโยนกว่า และจะไม่ทำให้พวกเขาต้องบอบช้ำ
คาดว่าตอนนี้ พวกคุณชายเหล่านั้นคงกำลังกอดกันร้องไห้อยู่
หนานกงเลี่ยคาดเดาไว้ไม่ผิด เหล่าคุณชายของตระกูลผู้ร่ำรวยที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมกำลังเจ็บปวดอย่างมากจนถึงกับน้ำตาไหล แต่พวกเขาก็ไม่กล้าบอกความจริงกับหยวนหลิงเซวียน
พวกเขากลัวว่าหยวนหลิงเซวียนจะมองว่าพวกเขาไร้ประโยชน์
นอกจากนี้ พวกเขายังไม่สามารถพูดความจริงได้ เพราะเขาไม่สามารถบอกหยวนหลิงเซวียนได้ว่าศิษย์จากหอสามัญคนนี้แข็งแกร่งอย่างน่ากลัว และอาจจะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเขาเลยทีเดียว
พวกเขาคิดว่านอกจากคุณชายหยวนจะไม่พอใจกับความจริงข้อนี้แล้ว เขาอาจจะเตะพวกเขาออกมาด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น จนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่สามารถลืมสายตาของผู้ชายคนนั้นได้เลย
มันเป็นสายตาที่เยือกเย็นของปีศาจที่มาจากขุมนรก
พวกเขามีประสบการณ์เช่นนี้เพียงแค่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว พวกเขาไม่อยากจะยั่วโมโหเจ้าแห่งนรกคนนั้นอีกแล้ว
ดังนั้น เมื่อนายน้อยหยวนเรียกตัวพวกเขาไปคุย พวกเขาจึงพูดโกหกเป็นส่วนใหญ่
“เดิมที พวกเราทั้งสี่คนสามารถจัดการเขาได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยมาที่นั่นได้อย่างไร พวกเรากลัวว่าไอ้คนนั้นจะหลุดมือไปได้แล้วเจ้าสำนักจะรู้เรื่อง จนอาจส่งผลเสียต่อนายน้อยหยวนได้ ดังนั้นพวกเราจึงเก็บกวาดทุกอย่างและออกมาอย่างเร่งรีบขอรับ”
หยวนหลิงเซวียนกวาดตามองบาดแผลบนใบหน้าของพวกเขาอย่างเย็นชา “บาดแผลพวกนี้เกิดจากเขาเช่นนั้นหรือ”
“ขอรับ…” พวกเขาทั้งสี่คนมองหน้ากัน “บางจุดก็เกิดจากเฮ่อเหลียนเวยเวยขอรับ”
หยวนหลิงเซวียนขมวดคิ้ว “จริงๆ แล้ว เมื่อไม่นานมานี้ นังคนไร้ค่าคนนั้นก็ทำเรื่องน่าแปลกใจยิ่งนัก แต่จากความแข็งแกร่งของนางนั้น ก็ถึงกับทำให้คนจากหอชั้นดีอย่างพวกเจ้าพ่ายแพ้ได้เลยทีเดียว”
“นายน้อยหยวนพูดถูกขอรับ” เมื่อชายหนุ่มทั้งสี่คนก้มศีรษะลง ก็รู้สึกปวดกล้ามเนื้อคอในทันที นอกจากพวกเขาจะหวาดกลัวผู้ชายคนนั้นแล้ว พวกเขายังข่มความแค้นที่ซ่อนอยู่ในใจไว้อีกด้วย “นายน้อยหยวนขอรับ ระหว่างการแข่งขัน ท่านต้องทำให้พวกเขาลิ้มรสถึงความทุกข์ทรมานนะขอรับ พวกเขากล้าขัดขืนพวกเรา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคารพต่อนายน้อยหยวนเลยขอรับ”
หยวนหลิงเซวียนไม่ใช่คนที่จะถูกปั่นหัวให้โกรธเคืองได้เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ เขาเริ่มไม่พอใจกลุ่มคนจากหอสามัญพวกนั้นแล้ว สีหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความเย้ยหยันและเหยียดหยาม “หากพวกเขาต้องการจะเอาชนะข้า พวกเขาก็จะต้องไปสู้กับศิษย์จากหอชั้นเลิศให้ได้เสียก่อน” เมื่อพูดถึงจุดนี้ เขาก็หันกลับมา และหัวเราะเยาะเย้ย “แต่พวกเขาก็เป็นแค่ตัวตลกสองสามตัวเท่านั้น พวกเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า พวกเขามีความสามารถทำได้เช่นนั้นหรือไม่”