องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 154
ตู๋ซูเฟิงมองพวกเขา ภายในดวงตาของเขามีแสงสว่างวาบ และเผยรอยยิ้มอันอบอุ่นออกมา “หมายความว่าพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องปรับลำดับในการเข้าแข่งขันเช่นนั้นหรือ ข้าได้อ่านรายชื่อของพวกเจ้าแล้ว มันเขียนว่าหากหอสามัญสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ เจ้าจะส่งหยวนหลิงเซวียนเข้าแข่งขันเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ก็เลือกเป็นตัวสำรองกันทุกคน แผนการนี้ถูกต้องแล้วเช่นนั้นหรือ”
“แค่จัดการกับพวกหอสามัญไม่กี่คน ข้าสามารถจัดการได้ด้วยตัวคนเดียวขอรับ” หยวนหลิงเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม ภายใต้คำพูดอันสุภาพของเขานั้น ยากที่จะปกปิดความเย่อหยิ่งและการดูถูกเหยียดหยามเอาไว้ได้ “ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะสามารถผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศเพื่อมาแข่งขันกับพวกเราได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย”
ตู๋ซูเฟิงยิ้มเบาๆ ก่อนจะพูดว่า ‘อ้อ’ และไม่ได้ถามอะไรหยวนหลิงเซวียนต่อ แต่เขาหันไปพูดกับเด็กชายหัวโล้นแทน “แล้วเจ้าล่ะ คิดเช่นไร”
หลานชายของเขาคนนี้คือคนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่มคนนั้น
หึหึ เขาอยากจะเห็นสองพี่น้องคู่นี้ทะเลาะกันจริงๆ
องค์ชายเจ็ดมองดูเขาอย่างน่ารัก พร้อมกับกัดซาลาเปาหนึ่งคำ “ตราบใดที่ข้าไม่ต้องไปสู้กับพวกหอสามัญ หอที่เหลือ ข้าจัดการได้” ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าตนเองจะต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับพี่สามอย่างแน่นอน
แต่เขาไม่คิดว่าเมื่อหยวนหลิงเซวียนและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดเหล่านั้น พวกเขาจะตีความเป็นอย่างอื่น
“เจ้าสำนักขอรับ ดูสิ แม้แต่องค์ชายเจ็ดก็ยังรู้ว่าใครควรค่าที่จะแข่งขันด้วย และใครที่ไม่สมควรจะไปเสียแรงด้วย” มุมปากของหยวนหลิงเซวียนเผยให้เห็นการดูถูกเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็หัวเราะออกมาจากทางด้านหลังเช่นกัน “นั่นสิเจ้าคะ องค์ชายเจ็ดเป็นคนมองโลกตามความเป็นจริง”
อึก…เมื่อเห็นสองคนนั้นหัวเราะด้วยกัน เด็กชายหัวโล้นก็ก้มศีรษะลงไปกัดซาลาเปาอีกหนึ่งคำ แก้มของเขาพองออก และขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าจะบอกคนเหล่านี้อย่างไรว่าสาเหตุที่เขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหอสามัญ ไม่ใช่เพราะคู่แข่งเหล่านั้นไม่คู่ควร แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่กล้าจริงๆ ต่างหาก โดยเฉพาะหลังจากที่เขารู้ว่าองค์ชายสามได้เลือกสาขาพลังปราณ เขาก็ยิ่งไม่กล้าเสี่ยงมากขึ้น
เขาไม่ต้องการทำให้พี่สามขุ่นเคืองจริงๆ
ก่อนหน้านี้ ตอนเขายังเป็นเด็กที่ดื้อรั้น พี่สามก็สั่งให้เขาไปยืนเปลือยบั้นท้ายอยู่ข้างนอก
เมื่อรู้ว่าเขาชอบกินเนื้อมากพอๆ กับกิเลนอัคคี พี่สามก็จะไม่ให้เขากินเนื้อ
พี่สามยังเคยบอกอีกด้วยว่าคนอื่นๆ เคยเห็นบั้นท้ายอันเปลือยเปล่าของเขาแล้ว ดังนั้น ในอนาคต เขาจะไม่สามารถแต่งงานได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็จะไม่มีเนื้อกินอีกด้วย
เด็กชายหัวโล้นยังจดจำเรื่องเหล่านั้นได้ดี และเพื่อที่จะได้แต่งงานมีภรรยา และได้กินเนื้อ เขาจึงไม่มีวันทำผิดซ้ำเรื่องเดิมอีก
เขากลัวว่าพี่สามจะสั่งให้เขาเต้นระบำท่ากระต่ายแบบเปลือยบั้นท้ายต่อหน้าสาวใช้ในวังอีกครั้ง ตอนนี้ เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว จึงไม่สามารถทำตัวไร้ขอบเขตเช่นนั้นได้ จะได้มีใครสักคนตกหลุมรักเขาบ้าง
ตั้งแต่พี่สามสั่งให้เขาเต้นระบำท่ากระต่าย เด็กชายหัวโล้นก็เริ่มนับจำนวนสาวใช้ในวังที่มีท่าทีเขินอายเวลาเจอเขา
เมื่อคิดดูให้ดีแล้ว ก็มีมากเสียจนนิ้วมือของเขามีไม่พอที่จะนับได้
สมแล้วที่ตู๋ซูเฟิงเป็นคนที่อยู่กับองค์ชายเจ็ดมานานที่สุด เพียงแค่เขามองใบหน้าอันซื่อบื้อที่แสนน่ารักของเจ้าเสือน้อยคนนี้ เขาก็รู้ทันทีว่าศิษย์คนนี้กำลังตกอยู่ในภวังค์ด้วยเรื่องใด
แต่ว่า…
“พวกเจ้าคิดว่าศิษย์จากหอสามัญเหล่านั้นไม่คู่ควรที่จะทำให้เจ้าต้องเสียแรงเช่นนั้นหรือ” ท่วงท่าของตู๋ซูเฟิงนั้นช่างสูงส่ง ขณะเดียวกันเขาก็วางมือทั้งคู่ลงบนโต๊ะอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงของเขาลึกล้ำอย่างมีนัยยะ
มู่หรงฉางเฟิงที่เงียบมาตลอด ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าสำนักต้องการจะบอกว่าท่านเป็นคนเลือกพวกศิษย์ใหม่เหล่านั้นเอง พวกเราจึงควรระวังตัวให้มากขึ้นเช่นนั้นหรือขอรับ”
ตู๋ซูเฟิงยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับ “ไม่ใช่เพราะข้าเลือกพวกเขา แต่เพราะพวกเจ้าควรให้ความสนใจกับพวกเขาเหล่านั้นจริงๆ ต่างหาก”
“พวกเราจะจำคำพูดของเจ้าสำนักให้ขึ้นใจขอรับ” มู่หรงฉางเฟิงเป็นถึงทายาทของจวนมู่หรงอ๋อง วิธีการพูดจาและจัดการเรื่องต่างๆ จึงดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าหยวนหลิงเซวียน “แต่เหล่าผู้อาวุโสจากหอชั้นเลิศได้ตัดสินใจเรื่องลำดับการแข่งขันไว้แล้ว พวกเราก็แค่ทำตามขั้นตอนเท่านั้นขอรับ ในเมื่อเหล่าผู้อาวุโสรู้สึกว่าหยวนหลิงเซวียนลงแข่งแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เจ้าสำนักขอรับ ตอนนี้ ท่านคืออาจารย์ประจำหอสามัญ ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี แต่พวกเราก็แค่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่าหรือไม่ขอรับ พวกเรายังคงขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่าน และหากพวกเราต้องเผชิญหน้ากับพวกหอสามัญจริงๆ หลิงหยวนเซวียนก็จะระมัดระวังตัวมากขึ้นด้วยขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มของตู๋ซูเฟิงก็กว้างมากขึ้น “ในเมื่อพวกเจ้าคิดเช่นนั้น ข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก ข้าขอให้พวกเจ้าโชคดีและชนะการแข่งขันทั้งสี่รอบ”
“ขอรับ” ทั้งสามคนยิ้มออกมา ขณะที่เดินออกจากห้องโถงแห่งนี้ไปทีละคน
เมื่อเขาเดินออกมา หยวนหลิงเซวียนก็กัดริมฝีปากบางของตนเองเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าไอ้ขยะพวกนั้นมีความสามารถอะไร ถึงทำให้เจ้าสำนักโปรดปรานพวกเขาได้ขนาดนั้น”
“เจ้าสำนักคืออาจารย์ประจำหอสามัญ หรือพูดอีกอย่างคือ เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะเข้าข้างคนพวกนั้น” ท่าทีของมู่หรงฉางเฟิงดูเรียบเฉย พร้อมกับจัดแขนเสื้อของตนเอง “อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการรับประกันว่าพวกเราจะต้องชนะทั้งสี่รอบ พวกเราจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนขั้นตอนการแข่งขัน ไม่ใช่เพราะพวกหอสามัญ แต่เป็นเพราะพวกหอชั้นเยี่ยม เมื่อพวกเราต้องเผชิญหน้ากับคนพวกนั้น พวกเราทุกคนควรลงแข่ง”
หยวนหลิงเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกว่าข้อเสนอนี้สมเหตุสมผล เขาจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปมองเด็กชายหัวโล้น “องค์ชายเจ็ดไม่มีปัญหาที่จะต้องเผชิญหน้ากับพวกหอชั้นเยี่ยมใช่หรือไม่”
“ตราบใดที่ข้าไม่ต้องไปต่อสู้กับพวกหอสามัญ เรื่องอื่นๆ ก็ได้หมด” เด็กชายหัวโล้นยังคงพูดประโยคเดิม
นั่นทำให้หยวนหลิงเซวียนหัวเราะลั่น “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็มาตัดสินใจกันเถอะ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อีกแล้ว เมื่อพวกเราต้องเผชิญหน้ากับหอชั้นเยี่ยม พวกเราทุกคนจะต้องลงแข่ง”
“ตกลง” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่สนใจเรื่องลำดับการลงแข่งนัก ในความคิดของนาง ไม่มีศิษย์ใหม่คนใดจะสามารถเอาชนะหอชั้นเลิศของพวกเขาได้อยู่แล้ว
แม้ว่าหยวนหลิงเซวียนและมู่หรงฉางเฟิงจะไม่ได้พูดอะไร แต่การแสดงออกของพวกเขาก็ไม่ต่างจากเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เลย
แต่จากกลยุทธ์ที่พวกเขาใช้ ก็บ่งบอกได้ว่าคุณชายรองเฮยจากหอชั้นเยี่ยมนั้นเป็นคนที่พวกเขาควรให้ความสนใจ
ส่วนการเผชิญหน้ากับคนอื่นๆ นั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการไปซื้อซีอิ๊ว[1]
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ คือคนบางคนต้องพ่ายแพ้ เพราะพวกเขาประเมินความสามารถของคู่แข่งต่ำเกินไป และยังเย่อหยิ่งเกินไปอีกด้วย…
เวลายังผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ข่าวเรื่องหน่วยพิฆาตวิญญาณได้คัดเลือกตัวแทนของพวกเขา ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งสำนักไท่ไป๋
แต่เนื่องจากข้อกำหนดของหน่วยพิฆาตวิญญาณที่ระบุว่าตัวแทนที่ถูกคัดเลือกจะต้องถูกเก็บเป็นความลับอย่างเคร่งครัด ทุกคนจึงไม่รู้ว่าใครคือผู้ถูกเลือก
อย่างไรก็ตาม หากคิดให้ดี ใครๆ ก็พอจะนึกออกว่านอกจากอัจฉริยะไม่กี่คนจากหอชั้นเลิศแล้ว คนอื่นๆ ก็คงไม่มีใครสามารถได้รับการพิจารณาได้
ดังนั้น ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์และคนอื่นๆ ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาในสำนักไท่ไป๋ไปโดยปริยาย
เมื่อได้ยินคำพูดของลูกศิษย์เหล่านั้น ชายชราที่กำลังกวาดพื้นอยู่ก็หรี่ตาลงโดยไม่ได้พูดอะไร เขายังคงหยิบไม้กวาดมาทำงานของตนเองต่ออย่างเงียบๆ เหมือนกับก่อนหน้านี้
แต่หลังจากที่ศิษย์เหล่านั้นจากไปแล้ว เขาก็วางไม้กวาดลง และเดินไปที่สวนด้านหลัง พร้อมกับส่ายศีรษะไปมา
ร่างมนุษย์ที่ติดตามชายชรารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะพูดขึ้น “คนหนุ่มสาวสูญเสียความน่าค้นหาไปจริงๆ นึกถึงตอนที่ข้าได้รับเลือก ข้าเองก็อยากบอกให้ทุกคนรู้เช่นกัน”
“แต่เด็กสาวคนนั้นไม่ใช่แบบนั้น” หลังจากพี่ชายชราพูดจบ ก็ดูเหมือนเขาจะโกรธตัวเอง “ช่างเถอะ ขอข้าคิดเรื่องนี้ดูใหม่อีกที ขอคิดใหม่อีกที…”
ร่างมนุษย์ยิ้มออกมาพร้อมกับตอบกลับ “ผู้อาวุโสห้วนไม่ควรคิดเรื่องนี้นานเกินไปนะขอรับ นอกจากนี้ เมื่อการแข่งขันในสำนักไท่ไป๋ครั้งนี้จบลง รายชื่อผู้ที่ถูกคัดเลือกก็จะแก้ไขไม่ได้แล้ว แม้ว่าผู้อาวุโสห้วนต้องการจะเปลี่ยนแปลง แก็จะทำไม่ได้อีกต่อไป ผู้อาวุโสห้วนควรนึกถึงเรื่องการสอนผู้ฝึกปราณธาตุดินที่คุณหนูเฮ่อเหลียนจะพามาหาในอีกไม่ช้าจะดีกว่าขอรับ”
————————
[1] ซื้อซีอิ๊ว หมายถึง คนธรรมดาๆ เหมือนกับที่เดินไปซื้อซีอิ๊วตามร้าน (ในสมัยก่อนพ่อแม่ชาวจีนมักจะใช้ลูกไปซื้อซีอิ๊วที่ร้าน) หรืออีกความหมายคือ ไม่เกี่ยวอะไรด้วย