องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 160 เกือบถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง
เขารับรองว่าตนจะทำภารกิจนี้จนสำเร็จให้จงได้! องค์ชายเจ็ดตัวน้อยพยักหน้ารัวเร็ว
แต่คุณชายรองตระกูลเฮยไปยั่วโมโหพี่สามได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้พี่สามก็ยังพูดอยู่เลยมิใช่หรือว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์คนหนึ่ง
แต่ตอนนี้กลับส่งเขาไปสู้กับอีกฝ่ายเสียนี่
แปลกจัง องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเกาศีรษะ พร้อมกับโยกตัวไปๆ มาๆ อยู่บนเก้าอี้ด้วยความสงสัย ก่อนจะกลับมานั่งท่าเดิมด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปมองชายหนุ่ม “เจ้ากับเฮยเจ๋อมีเรื่องบาดหมางกันหรือ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงออกจากแขนเสื้อ สีหน้าท่าทางดูเฉยเมยและไร้ซึ่งพิษภัย “ข้าเพียงแค่ให้กำลังใจองค์ชายเจ็ดเท่านั้น เด็กๆ ต้องการกำลังใจนี่!”
หนานกงเลี่ยที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ถึงกับเงยหน้า เขาได้เห็นองค์ชายบางคนเลี้ยงเจ้าปีศาจตัวน้อยตนนี้มาด้วยตาตนเอง
ในพจนานุกรมคำสอนขององค์ชายคนนั้นไม่ได้มีคำว่า ‘ให้กำลังใจ’ อยู่สักคำ
จากที่เขารู้จักอาเจวี๋ย คำพูดที่เจ้าตัวเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่คงสามารถแปลออกมาได้ว่า เจ้าเจ็ด ไปหักแขนขาเจ้าหมอนั่นให้ข้าที!
หนานกงเลี่ยลูบคางและเริ่มคิดทบทวนว่าเมื่อครู่เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า… ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย ทันทีที่สายตาของเขาหยุดลงตรงร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวย ความเข้าใจก็พลันฉายชัด มุมปากของเขากระตุกขึ้นอย่างชั่วร้าย
เป็นอย่างนี้นี่เอง
อาเจวี๋ยเองก็คงจะสังเกตได้เหมือนกัน
เรื่องราวชักจะน่าสนใจขึ้นมาอีกระดับแล้วสิ…
แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่คนจากหอชั้นเลิศไม่เปิดโอกาสให้องค์ชายเจ็ดได้ขึ้นไปบนเวทีเลย
ตัวแทนในการประลองรอบสองซึ่งเป็นการสร้างอาวุธคือมู่หรงฉางเฟิง แทบจะกล่าวได้ว่าเขาคว้าชัยชนะมาได้อย่างหมดจดงดงามเลยทีเดียว
ทุกคนที่ได้ชมการแข่งขันต่างก็อดที่จะถอนหายใจและพูดออกมาไม่ได้ว่า “สมกับเป็นศิษย์คนแรกของอาจารย์ตู๋เทียน ฝีมือด้านการสร้างอาวุธของมู่หรงซื่อจื่อน่ากลัวเหลือเกิน เวลาผ่านไปเพียงไม่เท่าไหร่ แต่เขาก็สามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้อยู่หมัด สมควรแล้วที่ถูกเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ”
เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนที่นั่งอยู่ข้างล่าง อาจารย์ไป๋ก็ลูบเคราขาวของตนพลางหัวเราะ ‘หึๆ’ พร้อมกันนั้นก็ชำเลืองมองไปทางตู๋เทียน “ลูกศิษย์คนนี้ของเจ้ายังคงเปี่ยมไปด้วยความสามารถเช่นเคย นับว่าเป็นคนที่นำความภาคภูมิใจมาสู่หอชั้นเลิศของเราจริงๆ”
“อืม” ตู๋เทียนส่งเสียงตอบรับคำชื่นชมของอีกฝ่ายโดยไม่ได้รู้สึกภูมิใจนัก หากคนที่ถูกพูดถึงไม่ใช่ศิษย์ของเขา เขาคงบอกให้อาจารย์ไป๋ถอนคำพูดไปแล้ว อย่างไรเสียเมื่อเทียบกับความเร็วที่เขาได้เห็นที่หอเฟิ่งหวงก่อนหน้านี้แล้ว ความเร็วระดับนี้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจแต่อย่างใด
แต่ เฮ้อ เขาค้นหาสถานที่ที่มีความเป็นไปได้ทุกหนแห่งแล้ว แต่ก็ยังหาตัวเด็กสาวคนนั้นไม่พบ
ตอนนี้นางไปอยู่ที่ไหนกัน
ตู๋เทียนเกือบคิดแล้วว่านางอาจจะไม่ใช่คนของจักรวรรดิจ้านหลง
ดังนั้นเขาจึงตั้งตารอ รอให้ถึงการแข่งขันประลองยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินที่จะจัดขึ้น ณ เมืองหลวงแห่งนี้
เมื่อถึงเวลานั้น หากเด็กสาวคนนั้นยังไม่มาปรากฏตัวอีก เช่นนั้นเขาก็คงทำได้เพียงจำใจล้มเลิกการค้นหาเสีย
ตู๋เทียนก้มหน้าลง ในดวงตาของเขามีความเสียดายที่ไม่อาจมีใครเข้าใจได้ปรากฏขึ้น
หยวนหมิงนั่งมองภาพนี้จากมิติสวรรค์ และหัวเราะอย่างชั่วร้าย “แม่นาง ความเร็วของเจ้าเร็วกว่านี้อย่างน้อยก็สามเท่าได้ จริงไหม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ตอบ แต่รอยยิ้มที่อยู่บนริมฝีปากของนางก็อธิบายทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
“ก่อนหน้านี้เขาเคยดูถูกเจ้าเอาไว้ คิดว่าเจ้าเป็นคนไร้ค่า และเหยียบย่ำเจ้าอย่างไม่มีเยื่อใยเลยแม้แต่น้อย” ระหว่างที่พูด หยวนหมิงก็เผยรอยยิ้มร้ายกาจออกมา “ข้าสงสัยนักว่าหลังจากที่เขาได้เห็นพรสวรรค์ด้านการสร้างอาวุธที่แท้จริงของเจ้าแล้ว เขาจะแสดงสีหน้าอย่างไรออกมา”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เคลื่อนไปจับจ้องอยู่ที่ร่างของมู่หรงฉางเฟิง มุมปากของนางกระตุกขึ้น การได้อัดใบหน้าของคนเฮงซวยจนดูไม่ได้นั้นย่อมเป็นสิ่งที่นางต้องการทำมาโดยตลอด
หนานกงเลี่ยชำเลืองมองนาง จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ใช่รอยยิ้มออกมา พร้อมพูดกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่า “ดูเหมือนว่าหัวหน้ากลุ่มของเราจะยังไม่ลืมซื่อจื่อที่นางติดตามมาตลอด สีหน้าเช่นนั้นดูไม่เหมือนตัวนางในยามปกติเอาเสียเลย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ไหวติง แม้แต่เปลือกตาของเขาก็ไม่กะพริบ
หนานกงเลี่ยขมวดคิ้ว เขาเดาผิดหรือ อาเจวี๋ยไม่สนใจจริงๆ หรือว่าในสายตาของคุณหนูเฮ่อเหลียนจะมีใครอยู่
แต่เขาไม่รู้เลยว่าในวินาทีที่เขากำลังนึกสงสัยอยู่นั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเองก็เงยหน้าขึ้นสังเกตสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเช่นกัน นัยน์ตาของเขาลุ่มลึกเสียจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา สันกรามคมคายนั้นมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ และยังดูเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสไม่แยแสสิ่งใด…
แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามู่หรงฉางเฟิงเอาชนะการประลองรอบนี้มาได้อย่างสวยงาม แทบจะถึงขั้นที่เป็นตัวอย่างของการประลองระดับสูงได้เลยทีเดียว และนั่นทำให้หอชั้นเลิศมีชัยเหนือหอชั้นเยี่ยม
ตามกฎของการชนะสองในสาม องค์ชายเจ็ดจึงไม่จำเป็นต้องขึ้นเวที และนั่นทำให้เขารู้สึกหนักใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นร่างของคนที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นจึงมองปลอกแขนถ่วงน้ำหนักที่ถูกถอดออกอีกครั้ง และลงมือตัดสินใจอย่างแน่วแน่!
เขารวบรวมพละกำลังในตัว จากนั้นจึงหันหน้าไปทางผู้เข้าแข่งขันของหอชั้นเยี่ยม แล้ววิ่งเข้าไปหาพวกเขา ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าเฮยเจ๋อที่กำลังปลอบสมาชิกในกลุ่มของตนอยู่ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นว่า “เลือกเวลาการประลองของเรามา”
นี่มัน… พวกเขาเพิ่งจะชนะไป แต่ก็ยังมาหาเรื่องสู้ต่อหรือ
เจ้าเจ็ด เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ได้คิดที่จะเทเกลือใส่บาดแผลของพวกเขา
ตู๋ซูเฟิงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมขมับ และเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาทั้งที่คิดเช่นนั้น แต่แล้วในตอนนั้นนั่นเอง คนผู้หนึ่งก็นำผลการประลองระหว่างหอสามัญกับหอชั้นดีมาส่งให้ มิหนำซ้ำยังเอนตัวมากระซิบบางอย่างข้างหูของเขาด้วย
คราวนี้ตู๋ซูเฟิงถึงกับหัวเราะออกมาจริงๆ และถึงกับเผยสีหน้าบางอย่างออกมาอย่างปิดไม่มิด…
อีกทางหนึ่ง เฮยเจ๋อที่ชะงักไปครู่หนึ่งกับจิตสังหารขององค์ชายเจ็ดก็เริ่มคิดทบทวนว่าตนไปทำอะไรเสียมารยาทกับคนตัวเล็กคนนี้เข้าที่ไหน เขาคิดอยู่ครู่ใหญ่แต่ก็ยังหาสาเหตุไม่พบ ดังนั้นจึงทำได้เพียงปฏิเสธว่า “ข้าขอปฏิเสธ”
เขาถูกปฏิเสธหรือ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ ครั้งนี้เขาจะหนีจากโชคชะตาที่ต้องเต้นระบำกระต่ายเปลือยบั้นท้ายไม่ได้แล้วหรือ
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยดูโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่แม้แต่จะหยิบซาลาเปาของตนขึ้นมากินด้วยซ้ำ และทำเพียงกลับไปนั่งคิดหาแผนการใหม่อยู่ที่เก้าอี้เดิมของตน
สุดท้ายเขาก็วิ่งตุบๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ใบหน้าของเขาขึงขังเอาจริงเอาจัง “ข้ายกคุณชายเฮยเจ๋อให้เจ้า”
ใช่แล้ว ในตอนนี้เขากำลังเดิมพันกับความเกลียดชังที่พี่สามมีต่อคุณชายเฮย
หากมันอยู่ในระดับปกติ เช่นนั้นเขาก็คงปล่อยให้คนอื่นลงมือ
แต่ถ้าหากความเกลียดชังนั้นฝังรากลึกมากล่ะก็ พี่สามคงยินดีที่จะลงมือด้วยตนเองมากกว่า
“หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองหน้าเขาพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น เสียง ‘หืม’ นั้นแฝงไปด้วยความหมายบางประการอย่างชัดเจน น้ำเสียงช่วงท้ายคล้ายกับจะมีกลิ่นอายเย็นชาแผ่ออกมา “ก็ได้ เช่นนั้นปล่อยให้ข้าเป็นผู้มอบความสำราญให้กับคุณชายเฮยแทนองค์ชายเจ็ดก็แล้วกัน”
หนานกงเลี่ย “…”
ตั้งแต่แรกนั้นคนที่คิดจะอัดชาวบ้านคือเจ้าเองใช่ไหม!
เจ้าก็แค่ใช้องค์ชายเจ็ดเป็นข้ออ้างเท่านั้น เจ้ากล้าทำตัวไร้ยางอายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองพี่ชายกับน้องชายสนทนากัน และรู้สึกว่าภาพนี้น่าสนใจยิ่งนัก “พวกเจ้ารู้จักกันมาก่อนหรือ”
แผ่นหลังขององค์ชายเจ็ดแข็งเกร็ง เขาไม่ตอบ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางกลับไปอย่างใจเย็น และใช้ข้ออ้างเดียวกันกับที่เขาใช้ตอนเจอห้วนหมิงเสียง “พวกเราเคยพบกันไม่กี่ครั้ง แต่ข้าประหลาดใจจริงๆ ที่องค์ชายเจ็ดยังจำข้าได้”
“อืมๆ จำได้สิ” องค์ชายเจ็ดตอบไม่ชัดเจนนัก และใช้เนื้อแดดเดียวถูฟันตัวเอง ด้วยกลัวว่าการพูดโกหกจะทำให้ฟันหลอ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงงงๆ อยู่เล็กน้อย และกำลังตั้งท่าจะถามต่อ
แต่ลูกศิษย์จากหอชั้นเยี่ยมที่อยู่ใกล้ๆ กับพวกนางกลับหัวเราะเย้ยหยันออกมา “เอาชนะคนจากหอชั้นดีไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ยังคิดที่จะเอาชนะหัวหน้ากลุ่มของพวกข้าหรือ ทำไมเจ้าไม่ลองไปมองเงาสะท้อนในแอ่งปัสสาวะตัวเองดูเสียก่อนล่ะ ดูว่าตัวเองมีความสามารถเพียงใดกัน”