องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 168 นางต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน (1)
แต่เขามั่นใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือว่าคู่ต่อสู้จะพลิกกลับมาเอาชนะตนไม่ได้
เขาถึงได้ส่งคำตอบของตัวเองให้กับอาจารย์โดยไม่รอให้เวลาหมดลงเสียก่อน
เฮ้อ…
เป็นอย่างที่เขาเคยพูดไว้ไม่มีผิด ลูกศิษย์คนนี้ของเขาดีไปเสียทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่นิสัยขาดความอดทน และหยิ่งผยองเกินไปจนคิดว่าทุกคนอยู่ต่ำกว่าตนเอง
แต่เพราะมู่หรงฉางเฟิงส่งคำตอบก่อนเวลา ผู้ชมจึงเริ่มรู้สึกอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาเช่นกัน พวกเขาเอะอะเสียงดัง
”มู่หรงซื่อจื่อต้องชนะอยู่แล้ว ฮ่าๆๆ! จนถึงตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่ขยับพู่กันในมือเลยด้วยซ้ำ!”
และแล้วทุกคนก็สังเกตเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังไม่แม้แต่จะขยับพู่กันในมือของตนจริงดังว่า นิ้วของนางทำเพียงหมุนวัสดุสำหรับสร้างอาวุธพวกนั้นไปมาด้วยความคล่องแคล่ว ริมฝีปากบางของนางคล้ายจะปรากฏรอยยิ้มขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
บรรดาผู้ตัดสินขมวดคิ้ว แล้วเตือนนางเบาๆ ว่า ”การประลองนี้เหลือเวลาอยู่อีกไม่มากนัก หวังว่าผู้เข้าแข่งขันจะสามารถเร่งมือขึ้นสักนิดก็ยังดี หากหมดเวลาแล้ว แต่แบบแปลนยังไม่ได้ถูกส่งไป พวกเราคงต้องตัดสินให้ผู้เข้าแข่งขันตกรอบ”
ตอนนี้นางน่าจะร้อนใจขึ้นแล้วกระมัง
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยิบพู่กันขึ้นมา แต่คิ้วยาวสวยของนางกลับขมวดเข้าหากันจนเป็นปม สีหน้านั้นดูราวกับนางรู้สึกว่าหัวข้อนี้มันยากเกินไป
ห้วนหมิงเสียงที่กำลังยืนชมการประลองอยู่ไม่ไกลนักถอนหายใจยาว ”สำหรับมือใหม่ในการสร้างอาวุธแล้ว คำถามพวกนี้มันก็ยากเกินไปจริงๆ”
”ผู้อาวุโสห้วนก็รู้สึกว่าหอชั้นเลิศจะชนะการประลองรอบนี้เหมือนกันหรือ” ร่างนั้นหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา ”ข้าคิดว่าครั้งนี้หอชั้นเลิศแสดงความแข็งแกร่งของตนออกมาได้ชัดเจนทีเดียว แต่คนจากหอสามัญเองก็ไม่เลว พวกเขาต่อสู้กับหอชั้นเลิศมาได้จนถึงขั้นนี้ จะแพ้สักรอบก็คงไม่ใช่เรื่องน่าขายหน้าแต่อย่างใด”
”เหลือเวลาอีกห้านาที” ผู้ตัดสินการประลองมองธูปที่จวนจะหมดดอกอยู่รอมร่อ แล้วก็ถึงกับเหงื่อตกแทนเฮ่อเหลียนเวยเวย
แต่เมื่อเขามองสีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย ดูเหมือนว่านางกำลังต่อสู้กับพู่กันของตัวเองอยู่
คนจำนวนหนึ่งในหมู่ผู้ชมต่างพากันยิ้มกริ่ม ”ข้าบอกแล้วอย่างไร นางต้องทำให้ตัวเองขายหน้าอย่างแน่นอน”
”คนที่ดีแต่ประจบชาวบ้านเพื่อยกฐานะตัวเองจนได้เข้ามาประลองการสร้างอาวุธเช่นนาง อย่างไรเสียก็เป็นได้แค่ตัวตลกมาตั้งแต่แรกแล้ว”
”พี่เจียวเอ๋อร์ ท่านก็ควรจะห้ามนางนะเจ้าคะ”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์แย้มรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมาเล็กน้อย ”ข้าจะห้ามนางได้อย่างไรกัน แต่ไหนแต่ไรพี่ใหญ่ก็ชื่นชอบสถานการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว”
นางตั้งใจจะสื่อว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยชื่นชอบการได้เป็นจุดสนใจ
แน่นอนว่าเด็กสาวทั้งหลายที่กำลังรับชมการประลองอยู่ย่อมเข้าใจความหมายของนาง พวกนางยกพัดขึ้นมาปิดบังรอยยิ้มเหยียดหยันบนปากของตน
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยหันหน้าไปมองทางทิศใต้ด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง และเห็นว่าดวงตาของพี่สามดูลึกลับยิ่งกว่าครั้งใด
เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีลูกไม้อะไรซ่อนไว้
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นสายตาของคนตัวเล็ก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยตัวแข็งไปทั้งร่าง เขานั่งหลังตรงแทบจะในทันที ดวงตากลมโตแสนน่ารักมองขึ้นไปบนเวทีตาไม่กะพริบ
เอ่อ… ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นดูคล้ายกับสีหน้าตอนที่ท่านเจ้าสำนักสั่งการบ้านให้เขาทำเพิ่มถึงเพียงนี้
เขาเองก็เกลียดการเขียนหนังสือเหมือนกัน!
โดยเฉพาะเวลาที่ต้องเขียนข้อความยาวๆ!
เพียงแค่นึกถึงเรื่องนั้น เขาก็รู้สึกสยดสยองขึ้นมาแล้ว!
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเด็กสาวคนนั้นก็จะไม่ชอบเขียนหนังสือเหมือนกัน ดังนั้นความเร็วในการเขียนของนางจึงช้าถึงเพียงนี้
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยขมวดคิ้วเล็กๆ บนศีรษะไร้เส้นผมของตนเข้าหากันมุ่น หลังจากการประลองนี้จบลง เขาจะต้องไปทำความรู้จักกับเด็กสาวคนนี้ให้จงได้
อย่างไรเสีย การจะหาคนที่ลายมือย่ำแย่กว่าเขาในสำนักแห่งนี้ได้ก็เป็นเรื่องยากยิ่งนัก!
(เฮ่อเหลียนเวยเวย: …อยากรู้จักนางเพียงเพราะเหตุผลแค่นี้หรือ นางคงไม่ค่อยดีใจกับเรื่องนี้เท่าใดกระมัง!)
ธูปส่วนสุดท้ายร่วงหล่นลงสู่พื้น
ปัง!
ตอนที่ธูปเจียนจะดับ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็วางพู่กันในมือลง
มู่หรงฉางเฟิงปรายตามองนางอย่างเย็นชา ’โชคดีไม่เลว’ เขาคิดว่านางคงจะต้องตกรอบอย่างแน่นอน แต่คาดไม่ถึงเลยว่านางจะสามารถเขียนคำตอบได้ทันเวลา
แต่ต่อให้มันจะเป็นเช่นนั้น นางก็ยังเป็นได้แค่ตัวตลกเท่านั้น
เขาย่อมรู้ว่านางมีค่าเท่าใดดีกว่าใครๆ
ครั้งก่อนตอนอยู่ที่เมืองอู่ซิว นางก็เป็นแค่แมวตาบอดเจอหนูตาย[1]เท่านั้น
คราวนี้ เพียงแค่เห็นนางเขียนคำตอบลงในกระดาษ เขาก็รู้แล้วว่าคำถามพวกนี้คงยากเกินไปสำหรับนาง
เป็นไปได้ว่าคำตอบที่นางส่งไปนั้นล้วนเป็นแค่การจับทุกอย่างมารวมกันอย่างสุ่มๆ
เฮ้อ คนเช่นนางคงคู่ควรกับชายหนุ่มยากจนคนนั้นจริงๆ
แต่… มู่หรงฉางเฟิงมองไปที่ใบหน้าด้านข้างที่คล้ายจะอาบไล้ไปด้วยแสงอาทิตย์นั้น มือทั้งสองข้างของเขากำแน่น และพูดขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ว่า ”เฮ่อเหลียนเวยเวย ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าเจ้ากลับมา ข้าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตของพวกเรา ไม่ปล่อยให้เจ้าต้องแพ้อย่างน่าอนาถนัก”
”ฮ่าๆๆ แม่นาง ข้าได้ยินอะไรอยู่นี่ ช่างน่าเหลือเชื่อนักที่ชายผู้นี้กล้าใช้วิธีการเช่นนี้ขอให้เจ้าหันกลับไปมองเขา” เสียงของหยวนหมิงดังขึ้นจากมิติสวรรค์ แววตาชั่วร้ายปรากฏขึ้นในดวงตา ”ว่าอย่างไร เจ้าอยากจะเป็นภรรยาของซื่อจื่อที่มีชื่อเสียงจนถูกคนนับพันจับตามองหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยละสายตาจากสิ่งที่นางมองอยู่ ก่อนจะมองไปที่ร่างของมู่หรงฉางเฟิงอย่างไม่สะทกสะท้าน รอยยิ้มบางของนางคล้ายกับจะตอบคำถามของหยวนหมิง อีกทั้งนางยังพูดกับมู่หรงฉางเฟิงด้วยว่า ”นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาเลยทีเดียว”
แผ่นหลังของมู่หรงฉางเฟิงแข็งเกร็ง เสี้ยววินาทีนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็คล้ายจะมืดมนลง
เสียงของทั้งสองนั้นเบามาก ดังนั้นคนอื่นๆ จึงไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน และเห็นเพียงแค่ว่าทั้งสองยืนอยู่ข้างกันเท่านั้น ตำแหน่งการยืนนั้นคล้ายจะมีความอาลัยอาวรณ์บางอย่างแฝงอยู่
”เป็นไปไม่ได้ ป่านนี้แล้วผู้หญิงคนนั้นยังลืมมู่หรงซื่อจื่อไม่ได้อีกหรือ ทั้งที่ระยะเวลารอฟังคำตัดสินก็สั้นเพียงแค่ครู่เดียวแท้ๆ แต่นางกลับรีบวิ่งเข้าไปคุยกับเขา นางทำให้พวกเราเปิดหูเปิดตาจริงเชียว” เด็กสาวที่ชื่นชมมู่หรงฉางเฟิงมาโดยตลอดหัวเราะเยาะเย้ย คำพูดแต่ละคำ แต่ละประโยคของนางจงใจดูถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างชัดเจน
คนที่นั่งอยู่ข้างนางก็มาจากหอชั้นเลิศเหมือนกัน นางหัวเราะอย่างสนุกสนาน ”ข้าเดาว่านางคงคิดว่าตัวเองจะต้องแพ้แน่ๆ ก็เลยไปขอให้มู่หรงซื่อจื่อปลอบใจนางกระมัง”
”ซื่อจื่อไม่ปลอบใจคนไร้ค่าอย่างนางหรอก” เด็กสาวคนนั้นเป่าลมใส่เล็บสีแดงของตน ”เห็นๆ กันอยู่ว่านางเป็นฝ่ายที่ขึ้นมาทำให้ตัวเองต้องพบกับความอับอายเอง หากถึงเวลาประกาศผลเมื่อใด พวกเราคงได้เห็นนางขายหน้าแน่ๆ!”
เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น หนานกงเลี่ยก็แสร้งทำเป็นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมกับเอนหลังแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างสบายๆ มือทั้งสองข้างของเขาประสานกันอยู่ที่ท้ายทอย ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ แต่ริมฝีปากอันชั่วร้ายของเขาก็คลี่ออก พร้อมกับปรายตามองไปทางไป๋หลี่เจียจวี๋ยแล้วเอ่ยว่า ”เฮ้อ ความรักเก่าไม่อาจลืมได้ลง ความรักเป็นสิ่งที่ไม่อาจลืมได้ อา ดูเหมือนว่าข้าคงต้องไปเตรียมตัวขึ้นเวทีเสียแล้วสิ จริงดังว่า ความรักทำให้ผู้หญิงเสียความสามารถในการตัดสินใจไปจนหมดสิ้น ถึงขั้นที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมิตรหรือศัตรูได้เลยทีเดียว หัวหน้ากลุ่มของเราคงคิดที่จะโยนการประลองนี้ทิ้งแล้วกระมั้ง อาเจวี๋ย เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับดูค่อนข้างเหม่อลอยเล็กน้อย ตอนที่เขาหมุนตัวกลับมา นัยน์ตาสีเข้มที่อยู่ลึกเข้าไปในตาของเขาก็คล้ายกับตกอยู่ในภวังค์ แต่ทันใดนั้น เขาก็ยกมือขึ้นเท้าคาง รอยยิ้มเย็นชาค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา ”ข้าว่า คงดีที่สุดหากเจ้าหุบปากไปเสีย”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืน
”อาเจวี๋ย เจ้าจะไปไหน!” หนานกงเลี่ยตื่นเต้น เขาจะไปหาเรื่องหรือ สู้กันแย่งผู้หญิงหรือไร!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันกลับไปมอง แล้วหยิบเสื้อคลุมตัวยาวของตนขึ้นมาสวมทันที เหมือนเช่นเคย สิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้นั้นมีเพียงแค่แผ่นหลังเหยียดตรง สูงโปร่ง และแข็งแรง กับกล้ามเนื้อที่ถูกสร้างมาเป็นอย่างดี กลิ่นอายอันโบราณเย็นชาบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปน เด็ดเดี่ยว และตัดขาดจากทุกสิ่งนั้นพรั่งพรูออกมาจากร่างของเขา ความสง่างามที่สะสมมาเป็นเวลาหลายปีปรากฏออกมาพร้อมกับริมฝีปากบางที่ค่อยๆ กระตุกขึ้นของเขา ดวงตาของเขาที่จับจ้องอยู่บนร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยแผ่รังสีเย็นชาราวกับปีศาจร้ายออกมา…
——————
[1] แมวตาบอดเจอหนูตาย เป็นสำนวน หมายถึง ไมมั่นใจ แต่โชคดีหรือบังเอิญจึงประสบความสำเร็จ