องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 169 นางต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน (2)
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้า เส้นผมสีดำยาวสยายทิ้งตัวลงมา ทำให้เเห็นสีหน้าของเขาได้ยาก ”ไปสร้างกรงนก”
”เจ้าสนใจที่จะเลี้ยงนกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” หนานกงเลี่ยเลิกคิ้วอย่างงุนงง
เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่เร่งรีบว่า ”ไม่ใช่นก แต่เป็นคน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนังศีรษะของหนานกงเลี่ยก็ถึงกับชาวาบ ไม่ มันต้องไม่ใช่อย่างที่เขาคิดอยู่แน่!
อาเจวี๋ยหัวเสียจากคำพูดของเขามากจนตั้งใจที่จะจับคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฮ่อเหลียนขังกรงเหมือนสัตว์เลี้ยง!
”เจ้าฟังข้านะ เมื่อครู่นี้ข้าก็แค่พูดเล่น” หนานกงเลี่ยรีบคว้าแขนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้ทันที เพื่อห้ามไม่ให้เขาขึ้นไปบนเวที ”หัวหน้ากลุ่มของเราไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้เจ้าหมอนั่นแน่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสิ่งที่นางรักที่สุดก็คือเงิน ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายชื่อมู่หรงฉางเฟิงอะไรนั่นจะอยู่ลำดับไหนในใจนาง”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องหน้าเขา แต่ตอนที่หนานกงเลี่ยกำลังจะทนมองสายตาที่จับจ้องมาไม่ไหวแล้วนั่นเอง ในที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็นั่งลง แววตาเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ”เจ้าพูดถูก”
”เอ๋” หนานกงเลี่ยกลืนน้ำลาย อันที่จริงเขาลืมสิ่งที่ตนพูดเมื่อครู่ไปหมดแล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปหมายจะขยับแหวนที่นิ้วก้อยของตน แต่ก็พบว่าที่ตรงนั้นมีผ้าสีขาวผืนหนึ่งพันไว้แทน ดวงตาดำสนิทของเขาพลันลึกล้ำยิ่งกว่าที่เคย ”แน่นอนว่านางรักเงินมากที่สุด ไม่รู้ว่าคนอื่นจะอยู่ต่ำลงไปเพียงใด”
รวมถึงเขาด้วย…
ขณะที่หนานกงเลี่ยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังคุยกันอยู่นั้น ทางฝั่งเวที อาจารย์ตู๋เทียนก็เริ่มอ่านคำตอบของมู่หรงฉางเฟิงแล้ว
เขียนได้ดีทีเดียว คำตอบแต่ละข้อได้รับการอธิบายอย่างชัดเจน สามารถให้คะแนนอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยมได้เลยทีเดียว อาจารย์ท่านอื่นเองก็คิดแบบเดียวกัน พวกเขาพยักหน้าให้กัน
เมื่อถึงคราวที่ต้องอ่านคำตอบของเฮ่อเหลียนเวยเวย หนึ่งในอาจารย์เหล่านั้นก็รู้สึกไม่สนใจที่จะอ่านนัก
ผลการแข่งขันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ระหว่างอ่านหรือไม่อ่านคำตอบของนางก็คงไม่ต่างกัน
แต่ทันใดนั้นเอง!
ตอนที่อาจารย์ตู๋เทียนถือม้วนกระดาษนั้นเอาไว้ในมือ นิ้วของเขาก็พลันสั่นสะท้าน ”เป็นเช่นนี้นี่เอง สรุปแล้วอูเถี่ย[1]ก็สามารถนำมาใช้เปลี่ยนรูปร่างของอาวุธเช่นนี้ได้ด้วย… ทำไมข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย!”
หากกระดาษแผ่นนี้ถูกหลับหูหลับตาเขียนขึ้นอย่างที่ว่ากัน เช่นนั้นเขาก็คงไม่รู้สึกตื่นเต้นถึงเพียงนี้ แต่ข้อมูลทางตรรกศาสตร์และวิธีการคิดกลับได้รับการวิเคราะห์มาเป็นอย่างดี อีกทั้งนางก็ยังจัดเรียงวัสดุแต่ละชนิดเอาไว้ได้อย่างเหมาะสมด้วย
ดูเหมือนว่าเดิมทีแล้ววัสดุเหล่านี้ล้วนแต่เคยเป็นชิ้นส่วนของอาวุธสักชิ้นมาก่อน หลังจากพวกมันถูกแยกส่วนออกจากกัน ก็ถูกนำกลับมาประกอบเข้าด้วยกันใหม่อีกครั้ง ยิ่งกว่านั้นอาวุธที่ได้รับการออกแบบมาแต่ละชนิดก็น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าคำตอบในกระดาษแผ่นที่แล้วเสียอีก
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือการที่กระดาษทั้งแผ่นล้วนแต่อัดแน่นไปด้วยลายมือของนาง และยังมีอาวุธที่ถูกออกแบบเอาไว้ไม่ต่ำกว่าแปดชิ้น!
ต่อให้เป็นเขา เขาก็ยังสามารถออกแบบอาวุธได้มากที่สุดแค่เจ็ดชิ้นเท่านั้น!
นี่มัน เด็กสาวคนนี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!
สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือข้อความที่นางเขียนเอาไว้ท้ายกระดาษ: ข้ายังมีแบบแปลนของอาวุธชนิดอื่นอยู่อีก แต่เขียนด้วยพู่กันแล้วลำบากยิ่งนัก ในอนาคต ข้าขอเสนอให้อาจารย์ทุกท่านเปลี่ยนการสอบนี้ไปเป็นการตอบด้วยปากเปล่าแทน ขอบพระคุณ
ยังมีแบบแปลนอื่นอยู่อีกหรือ??!!
จะเป็นไปได้อย่างไร?!
คนที่นั่งอยู่ข้างอาจารย์ตู๋เทียนเองก็ถึงกับตกใจเช่นกัน!
พวกเขามองหน้ากันอย่างตกตะลึง แววตาของพวกเขาสั่นไหว
”เฮ่อเหลียนเวยเวย…” อาจารย์ตู๋เทียนพึมพำชื่อนี้ นิ้วของเขากำเข้าหากันแน่นด้วยความตื่นเต้น ”คนคนนี้จะต้องเป็นอัจฉริยะอย่างแน่นอน! ข้าอยากลงไปดูนักว่าหน้าตาของเด็กสาวคนนี้เป็นอย่างไร!”
อาจารย์ท่านหนึ่งยื่นมือซ้ายของตนออกไปขวางอาจารย์ตู๋เทียน ”ไม่ได้ ตู๋เทียน เจ้าควรรอสักประเดี๋ยว เราอยู่ในระหว่างการแข่งขัน ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตามกฎกติกา ยิ่งกว่านั้น นางยังเป็นถึงลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์ นางอาจจะเพียงแค่โชคดีและได้รับการสอนคำตอบพวกนี้มาก่อนการแข่งขันก็เป็นได้ ดังนั้นนางอาจจะเพียงแค่เขียนทุกคำที่อยู่ในความทรงจำของตัวเองลงไปก็เท่านั้น”
ตู๋เทียนชะงักไปเล็กน้อย ”อาจจะจริงอย่างที่เจ้าว่า ข้าเดาว่าเราอาจจะสามารถใช้ท่านปรมาจารย์มาเป็นข้ออ้างได้ แต่คนที่จะจดจำและนึกทวนข้อมูลจำนวนมากขนาดนี้ได้ แม้แต่ภายในสำนักไท่ไป๋เองก็ใช่ว่าจะหาคนที่เหมือนกับนางได้อีก! เด็กสาวคนนั้นจะต้องไม่ใช่คนไร้ค่าอย่างที่คนอื่นกล่าวหาอย่างแน่นอน!”
”ข้ารู้” อาจารย์ท่านนั้นพยักหน้า แล้วลูบเคราของตนเบาๆ ”ที่ข้าต้องการจะพูดก็คือนางเป็นผู้ชนะในการประลองรอบนี้ก็จริง แต่ความแข็งแกร่งของนางก็อาจจะมีเพียงเท่านี้ เรายังต้องรอดูว่านางจะสามารถนำความรู้ของตนไปใช้ได้อย่างไร และนั่นคือส่วนที่สองของการประลอง การประกอบติดตั้ง”
”ฮ่าๆ คำแนะนำของเจ้าดีทีเดียว” ตู๋เทียนนั่งลงอีกครั้ง แต่ดวงตาของเขากลับไม่ได้สงบเยือกเย็นอีกต่อไป
ทุกคนต่างก็รู้สึกงุนงงสงสัยเมื่อเห็นอาจารย์ทั้งสองหัวเราะออกมา พวกเขาขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสับสน
”ต้องเป็นเพราะคำตอบที่พี่ใหญ่เขียนไปแน่ๆ คำตอบพวกนั้นคงทำให้คนอ่านไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี ท่านอาจารย์ทั้งสองจึงแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมา” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กล่าว พร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าเป็นทุกข์
เมื่อได้ยินดังนั้น บรรดาเด็กสาวที่อยู่ในกลุ่มผู้ชมก็หัวเราะขึ้นทีละคน ”พวกเจ้าคิดว่านางจะเขียนคำตอบอะไรลงไป หรือจะเป็น แบบแปลนที่ข้าไม่รู้ว่าจะออกแบบอย่างไร ฮ่าๆๆ”
แม้จะเผชิญกับเสียงเย้ยหยันที่ดังขึ้นมาจากด้านล่างของเวที แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้ปริปากเลยแม้แต่น้อย และทำเพียงแค่หมุนพู่กันในมือเล่น แม้แต่ท่าทางการยืนของนางก็ดูราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน หากจำเป็นต้องหาคำมาเพื่อบรรยายนางแล้วล่ะก็ เช่นนั้นนางก็คงเป็นเหมือนกับแสงอาทิตย์ยามบ่าย เหมือนกับทิวทัศน์อันน่าหลงใหล อีกทั้งยังเหมือนกับถ้วยชาที่เต็มไปด้วยชาฝรั่งชั้นดี ในยามที่หมุนถ้วยชาในมือ ดูแล้วแสนจะธรรมดา มีแต่ในยามที่ดื่มมันเข้าปากแล้วเท่านั้น จึงจะรู้ได้ว่ารสชาติของมันนั้นดีเพียงใด
เฮ่อเหลียนเวยเวย นางเป็นคนประเภทนั้นนั่นเอง
นางมีบรรยากาศแบบสบายๆ ราวกับว่าทุกสิ่งตรงหน้าเป็นเพียงการละเล่นเท่านั้น
แต่จะว่าไปแล้ว จากในทัศนคติของนาง มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
การประกอบอาวุธเป็นสิ่งที่นางทำมาทั้งชีวิต
ปืน K7 ของยุคปัจจุบันยังซับซ้อนว่าอาวุธพวกนี้เป็นไหนๆ ในสายตาของนางนั้น ชิ้นส่วนของอาวุธไม่ได้สร้างความลำบากให้นางเลยแม้แต่น้อย
นอกจากนั้น เมื่อมาถึงจักรวรรดิจ้านหลง นางก็อาศัยการประกอบอาวุธสร้างฐานะของตนขึ้นมากับมือ แม้ว่านางอาจจะไม่สามารถเทียบกับอาจารย์เหล่านั้นได้ แต่ร้านของพวกนางก็ถือว่ามีชื่อเสียงเพราะพวกนางขายสินค้าให้ทั้งกับเจ้ายุทธ์ธรรมดาไปจนถึงตระกูลผู้สร้างอาวุธ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุประเภทใด จะคุณภาพต่ำหรือคุณภาพดี นางก็เคยสัมผัสพวกมันมาแล้วทั้งสิ้น
ยิ่งกว่านั้น ในความคิดของนาง วัสดุคุณภาพต่ำกับคุณภาพดีก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก
ตราบใดที่วัสดุนั้นถูกประกอบอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมมันก็จะสามารถสำแดงพลังอันเหนือจินตนาการออกมาให้เห็นได้…
แต่อาจารย์ไป๋ไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอะไรอยู่ และถึงกับคิดไปเองว่านางตกอยู่ในอาการพูดไม่ออก เขาหันไปมองตู๋ซูเฟิงที่นั่งอยู่ไม่ไกล พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า ”ก่อนหน้านี้ข้าบอกแล้วอย่างไร ข้าเคยแนะนำให้ท่านเจ้าสำนักเปลี่ยนตัวแทนการประลองแล้วนี่ ดูเหมือนว่าส่วนที่สองของการประลองนี้ก็คงไม่จำเป็นต้องแข่งต่อแล้วกระมัง อย่างไรเสียก็คงหนีไม่พ้นต้องพ่ายแพ้อยู่ดี”
ตู๋ซูเฟิงไม่ได้ตอบอะไร และทำเพียงแค่หันหน้าไปพูดกับหนานกงเลี่ยว่า ”เจ้าควรไปเตรียมตัวได้แล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น คนจากหอสามัญก็ก้มหน้าลง แม้แต่ท่านเจ้าสำนักก็ยังพูดเช่นนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีหวังเสียแล้ว
”ซื่อจื่อ ข้ารู้อยู่แล้วว่าผลจะต้องออกมาเป็นเช่นนี้!” บรรดาเด็กสาวจากหอชั้นเลิศหันไปทางมู่หรงฉางเฟิง แล้วยิ้มอย่างอ่อนหวานให้กับเขา ”ท่านเป็นถึงอัจฉริยะผู้มีฝีมือโดดเด่นที่สุดของจักรวรรดิจ้านหลง! คงไม่สมเหตุสมผลนักหากท่านจะไม่ชนะ!”
มู่หรงฉางเฟิงรู้ว่าเด็กสาวคนนั้นคือใคร เขาจึงหันไปส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับนาง อย่างไรเสียนางก็มีประโยชน์กับเขา ”ผลการตัดสินยังไม่ออกมาเลย รออีกสักนิดเถิด” แม้ว่าเขาจะพูดเช่นนี้ แต่สีหน้าของมู่หรงฉางเฟิงก็เป็นสีหน้าของคนที่หมายมั่นว่าจะชนะ!
”ก็ได้” เด็กสาวคนนั้นพอใจยิ่งนัก พร้อมกันนั้นนางก็มองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะหลบตานางเลยด้วยซ้ำ
เด็กสาวคนนั้นกัดฟันกรอด รอจนกว่าผลการตัดสินออกมาเถอะ นางจะหัวเราะเยาะอีกฝ่ายให้สาแก่ใจเชียว!
ในที่สุดอาจารย์ตู๋เทียนก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ผู้ตัดสิน เขากวาดสายตามองไปยังเหล่าผู้ชมที่อยู่เบื้องล่าง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างใด ”ผู้ชนะในส่วนแรกของการประลองอาวุธคือ…”
—————
[1] แร่ทังสเตน