องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 171 ความรู้สึกขององค์ชายต่อเฮ่อเหลียนเวยเวย
มู่หรงฉางเฟิงกำกระดาษเนื้อดีในมือแน่น และเมื่อหันไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง เขาก็มองนางด้วยสายตาเหม่อลอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน…
สายตาเหม่อลอยเช่นนั้นทำให้เด็กสาวที่ชื่นชมเขารู้สึกเกลียดชังยิ่งนัก นางกำมือจนขึ้นข้อขาว เล็บสีแดงจิกเข้าไปในฝ่ามือของนาง นางหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวย พร้อมกับใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะข่มน้ำเสียงเหยียดหยันของตนเอาไว้ระหว่างพูดว่า ”ก็แค่ออกแบบได้มากกว่าไม่กี่ชิ้น ถ้าข้าเป็นลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์ เผลอๆ ข้าอาจจะเขียนแปลนมากถึงเพียงนั้นได้เหมือนกัน แค่ท่องหนังสือใครบ้างจะทำไม่ได้ แต่นางจะชนะหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาที่ประกอบใช้งานจริงด้วย”
ถึงแม้ว่าเด็กสาวคนนั้นจะพูดถูก แต่เหล่าลูกศิษย์จากหอสามัญกลับอยากจะบอกนางยิ่งนักว่า ผู้หญิงที่ชื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นไม่เคยท่องหนังสือมาก่อน ตอนที่นางอยู่ในชั้นเรียน ถ้าไม่หลับ นางก็จะทำเพียงแค่นอนคว่ำหน้าอยู่กับโต๊ะเท่านั้น อาจารย์ทั้งหลายต่างก็พากันโมโหจนเลิกหวังจะให้นางตื่นขึ้นมาเรียนไปแล้ว!
“แค่ท่องหนังสือใครบ้างจะทำไม่ได้รึ นางพูดอย่างกับว่ามันง่ายนักล่ะ ถ้าหากมีความสามารถถึงเพียงนั้น ทำไมไม่ขึ้นไปแข่งกับหัวหน้าเลยล่ะ ข้ารับประกันว่านางคงจำวัสดุพวกนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ” คนจากหอชั้นดีดูจะยอมรับจากใจจริง และยกย่องให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นหัวหน้าของพวกเขา ไม่ใช่เพราะแค่การประลองรอบนี้ แต่ในการประลองรอบที่แล้ว ตอนที่หอชั้นดีปะทะกับหอสามัญ พวกเขาล้วนแต่ตกตะลึงกับความเร็วที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ของเฮ่อเหลียนเวยเวยกันทั้งนั้น ยิ่งกว่านั้น มีแต่เพียงอัจฉริยะที่ทำงานกับอาวุธมาก่อนเท่านั้นจึงจะรู้ว่า การจะจำวัสดุจำนวนมากมายขนาดนั้นได้ในเวลาสั้นๆ และคิดออกทันทีว่าควรนำพวกมันไปใช้เช่นใดย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่นางพูด
ในความคิดของพวกเขา บรรดาอัจฉริยะจากหอชั้นเลิศไม่สามารถเทียบกับพวกเขาได้ด้วยซ้ำ
อย่างน้อยในตอนที่พวกเขาแพ้ พวกเขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเอง
แต่คนจากหอชั้นเลิศพวกนี้กลับเอาแต่หาข้อแก้ตัวให้กับตัวเองตลอดเวลา
ในไม่ช้า หากหัวหน้าลงมือจริงๆ แล้วล่ะก็ เจ้าพวกนั้นจะต้องได้รับบทเรียนอย่างแน่นอน!
นี่เป็นครั้งแรกที่คนจากหอชั้นดีจ้องมองนางเช่นนั้น แม้จะตัดเรื่องฐานะครอบครัวของนางออกไปแล้ว แต่นางก็ยังเป็นสมาชิกของหอชั้นเลิศทันทีที่นางเข้ามาในสำนัก มีเวลาไหนที่นางไม่เคยตกเป็นเป้าแห่งความอิจฉาริษยาด้วยหรือ แต่ตอนนี้ เจ้าพวกคนจากหอชั้นดีกล้าดีอย่างไรถึงมาพูดจากับนางเช่นนี้!
“เช่นนั้นเราก็มาดูกันดีกว่า ว่าพอถึงเวลาแข่งประกอบอาวุธแล้วจะเป็นอย่างไร” ในตอนที่ความโกรธถูกชักออกมาเหมือนมีดสั้นนั้น เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังขึ้นจากกลางเวที
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มที่ว่านั้นไปไม่ถึงดวงตาของนางแต่อย่างใด นางค่อยๆ เดินเข้ามา ท่าทางของนางดูเกียจคร้านและเฉยเมยกว่าเด็กสาวทั่วไป
จากนั้น นางก็หันไปด้านข้างพร้อมกับขยับนิ้วเรียวยาว เสียงดัง ’คลิ๊ก’ เหมือนมีอะไรถูกปลดออกจากข้อมือด้านขวาของนางดังให้ได้ยินโดยทั่วกัน แล้วจากนั้นนางก็โยนพวกมันทิ้งไปอย่างเกียจคร้าน ท่าทางของนางผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ภายใต้ความสง่างามนั้นมีเสน่ห์ชั่วร้ายอันยากจะอธิบายได้แฝงอยู่
เหมือนอย่างที่ใครสักคนในยุคปัจจุบันเคยกล่าวถึงนางเอาไว้ เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ นางเป็นเจ้าของรูปโฉมอันงดงามที่ใครๆ ต่างก็อิจฉา นางสามารถเป็นหญิงสาวผู้อบอุ่นประหนึ่งแสงแดดสดใสได้ แต่ก็สามารถเป็นคนที่สง่างามราวกับราชินีในภาพวาดได้เช่นกัน
ทุกคนนิ่งอึ้ง พวกเขามองนางโยนปลอกแขนถ่วงน้ำหนักทิ้งลงข้างตัวด้วยความตกใจ ไม่มีใครหายใจเข้าแม้แต่คนเดียว
นางสวมปลอกแขนถ่วงน้ำหนักมาตลอดหรือ!
มิใช่ว่ามีเพียงศิษย์จากหอชั้นเลิศเท่านั้นหรอกหรือที่จะสามารถขยับมือของตนได้โดยไม่ถูกน้ำหนักพวกนั้นกดทับเอาไว้
หากการฝึกฝนของพวกเขาไม่สูงพอล่ะก็ จะไม่สามารถต้านทานแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากปลอกแขนถ่วงน้ำหนักได้มิใช่หรือ
แต่ผู้หญิงคนนี้กลับสวมพวกมันอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่รอบที่แข่งกับหอชั้นดี มาจนถึงรอบนี้ที่แข่งกับหอชั้นเลิศ!
ยิ่งกว่านั้น นางก็ยังต่างจากมู่หรงฉางเฟิง เพราะนางขึ้นเวทีทุกรอบการประลอง!
นางทำได้อย่างไรกัน!
แม้แต่ผู้เข้าแข่งขันจากหอชั้นเยี่ยมก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก สุดท้ายเขาก็อดไม่ไหว ต้องหันหน้ากลับไปหาเฮยเจ๋อ ”ข้าแพ้นางอย่างหมดรูปจริงๆ ตอนนั้นข้าไม่ควรบ่นเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกสหาย การพ่ายแพ้ให้กับนางนั้นไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด” เฮยเจ๋อส่งหมัดเข้าที่ไหล่ของคนคนนั้น พลางคิดกับตัวเองในใจ
รอให้ถึงวันที่เจ้ารู้ว่าตัวจริงของคนที่ตัวเองชื่นชมมากที่สุดอย่างเจ้าของร้านเวยเจ๋อคือนางก่อนเถอะ เจ้าคงได้รู้สึกละอายใจมากกว่านี้ด้วยซ้ำ…
เด็กสาวคนนั้นรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ยิ่งเห็นท่าทางไม่แยแสของเฮ่อเหลียนเวยเวย ความหงุดหงิดของนางก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มือทั้งสองข้างของนางกำแน่น และอยากจะกระโจนขึ้นไปบนเวที แล้วฉีกเฮ่อเหลียนเวยเวยให้เป็นชิ้นๆ เสีย!
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่มองนางอยู่เอนตัวไปกระซิบบางอย่างข้างหูนาง
ดวงตาของเด็กสาวคนนั้นเป็นประกาย นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ”ในเมื่อคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฮ่อเหลียนมั่นใจนัก ทำไมเจ้าไม่ลองประกอบอาวุธทั้งหมดที่ตนออกแบบดูล่ะ ทำเช่นนั้นแล้วพวกข้าจะได้เห็นด้วยว่าเจ้ามีความสามารถจริงๆ หรือเพียงแค่ท่องจำในสิ่งที่ท่านปรมาจารย์สั่งสอนให้เท่านั้น การตั้งใจเรียนอย่างแข็งขันไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้หรอก”
หึ เวลาการแข่งขันนั้นมีจำกัด แม้ว่านังคนชั้นต่ำคนนี้จะสามารถประกอบอาวุธได้ แต่ในเวลาที่เหลืออีกเพียงแค่ครึ่งก้านธูป นางก็คงไม่สามารถสร้างอาวุธถึงเจ็ดแปดชิ้นขึ้นมาได้หรอก
ยิ่งกว่านั้น นางยังจำเป็นต้องใช้วัสดุชนิดเดียวกันอีกด้วย นอกจากเศษเหล็กพวกนี้จะไม่ได้มีคุณภาพดีแล้ว บางชิ้นส่วนก็ยังนำมาใช้การไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
นางอยากเห็นจริงๆ ว่านังคนชั้นต่ำนี่จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร!
“จะให้ข้าสร้างทั้งหมดก็ย่อมได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม พร้อมกับส่งสายตาหาตู๋ซูเฟิงที่อยู่ล่างเวที ”แต่กติการแข่งไม่ได้บอกให้ข้าต้องสร้างอาวุธมากมายถึงเพียงนั้น ตอนนี้ในเมื่อมีคนจากหอชั้นเลิศเสนอข้อเรียกร้องเพิ่มเข้ามา เช่นนั้นเงินรางวัลก็น่าจะเพิ่มเป็นสองเท่าด้วยมิใช่หรือ”
เด็กสาวคนนั้นพูดเยาะเย้ยอย่างเย็นชาว่า ”เงินรางวัลหรือ เจ้าควรชนะให้ได้เสียก่อน แล้วจึงค่อยมาพูดถึงเรื่องนั้น”
“ข้าไม่เคยทำอะไรโดยไร้สิ่งตอบแทน” ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้น แต่แล้วในวินาทีต่อมา สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดดุดัน ”ถ้าไม่อย่างนั้น ทำไมข้าจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าด้วย เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าโลกใบนี้ติดหนี้บุญคุณเจ้าอยู่ ถึงได้กล้าทำตัวหาเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่วเช่นนี้”
เด็กสาวคนนั้นชะงักไปเพราะคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางตัวสั่นไปทั้งร่าง และกำมือแน่น ”เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าก็แค่อยากได้เงินใช่ไหม เช่นนั้นตราบใดที่เจ้าสามารถสร้างอาวุธทั้งหมดนั้นขึ้นมาได้จริงๆ ข้าจะจ่ายให้เจ้าเอง!”
“ดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดสินใจพร้อมกับยิ้มออกมา ”เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
หนานกงเลี่ยเห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ”เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวหน้ากลุ่มของพวกเราต้องจงใจทำเช่นนี้แน่ๆ อาเจวี๋ย ข้าไม่สงสัยเลยว่าทำไมนางถึงเป็นดาววิหคแดงของเจ้าได้ ความสามารถในการตีสองหน้าของนางคงแทบจะอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าแล้วกระมัง ทั้งได้ชนะคนอื่นเขา แล้วยังทำให้คนพวกนั้นจ่ายเงินให้อีกด้วย ชร้ายกาจจริงๆ จะร้ายกาจเกินไปแล้ว!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ตอบ เขาทำเพียงยกขาเรียวยาวของตนขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับยกมือข้างซ้ายที่มีผ้าสีขาวพันเอาไว้ขึ้นมาเท้าคาง นัยน์ตาดำขลับราวกับรัตติกาลอันงดงามคู่นั้นเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
หนานกงเลี่ยแค่นหัวเราะ เพราะเขารู้ว่ายิ่งใครคนนั้นใจดำเพียงใด ก็จะยิ่งดึงดูดความสนใจจากอาเจวี๋ยได้มากเท่านั้น
ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเขา คงจะไม่สามารถหลีกหนีจากความโชคร้ายที่ต้องถูกใครบางคนกักขังเอาไว้เป็นนกน้อยในกรงทองได้แล้วกระมัง นางคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะอาเจวี๋ยชอบคนร้ายกาจเช่นนี้ยิ่งนัก!
สมัยก่อนเหล่าเสนาบดีเคยทายกันด้วยซ้ำว่าองค์ชายสามที่ไม่เคยเข้าหาผู้หญิงคนใดมาก่อนนั้นจะชอบผู้หญิงแบบไหน
สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินว่าเป้าหมายของพวกตนคือคนที่เหมือนกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ เป็นเด็กสาวที่หน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ บอบบางอ่อนหวาน และเหมือนหยกล้ำค่าที่ไม่เคยถูกสายลมหรือเศษฝุ่นแตะต้อง
ในตอนนั้น เขาอยากจะบอกให้คนพวกนั้นรู้เหลือเกินว่ารสนิยมของอาเจวี๋ยคนนี้จัดจ้านกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้เสียอีก?!
ผู้ชายคนนี้ก็แค่เป็นโรครักความสะอาด เขาถึงทนไม่ไหวเวลาถูกผู้หญิงคนใดสัมผัส
แต่ถ้าอาเจวี๋ยคิดที่จะเลือกใครสักคนจริงๆ เขาคิดว่าอาเจวี๋ยจะต้องชอบคนประเภทที่กางกรงเล็บใส่ตัวเองอย่างแน่นอน…