องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 179 องค์ชายทรงหึงหวง
หนานกงเลี่ยยิ้มอย่างชั่วร้าย “จริงๆ แล้ว นี่เป็นความลับที่มีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้ ผู้อาวุโสเฮยแท้จริงแล้วเป็นท่านตาของเฮยเจ๋อ ในปีนั้น พ่อและแม่ของเฮยเจ๋อประสบอุบัติเหตุที่นอกกำแพงเมือง เขาจึงถูกนำตัวกลับมาเลี้ยงดู แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มาอยู่กับผู้อาวุโสเฮย และเปลี่ยนแซ่ของตนเองเป็นเฮย อาเจวี๋ย ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงถามเรื่องนี้เล่า”
หลังจากพูดจบ หนานกงเลี่ยก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาชาวาบ
ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด แต่เป็นเพราะเพราะสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นเคร่งขรึมและจมดิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจมองเห็นแสงในตาได้ แม้ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจะยังคงไม่จางหายไปก็ตาม…
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆบดบัง
ในช่วงเช้าตรู่ ศิษย์ของทุกหอต่างก็ได้รับแจ้งเรื่องการเดินทางไปที่วัดหลิงอิ่น แต่การเดินทางครั้งนี้แตกต่างไปจากทุกปีที่ผ่านมา โดยปกติแล้ว ผู้ที่จะได้ร่วมเดินทางกับอดีตฮ่องเต้คือคนจากกลุ่มที่ชนะอันดับหนึ่งและอันดับสองเท่านั้น แต่ในปีนี้ อดีตฮ่องเต้จะเป็นคนคัดเลือกเอง โดยจะคัดเลือกศิษย์ที่สมัครมาจากทุกหอ หอชั้นเลิศคือเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์และมู่หรงฉางเฟิง หอชั้นเยี่ยมคือเฮยเจ๋อและอีกคน ส่วนเฮ่อเหลียนเวยเวยก็อยู่ในรายชื่อเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
แต่นางไม่ได้อยากไปที่นั่นเลยแม้แต่น้อย นางจึงขยับตัวอย่างเชื่องช้าและขลุกตัวอยู่บนเตียงของตนเองครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้น และพบว่าเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อวาน มีใครช่วยนางเปลี่ยนชุดนอนเช่นนั้นหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคาะศีรษะของตนเอง สติของนางกระเจิดกระเจิง และปฏิกิริยาแรกที่นางทำคือสำรวจร่างกายของตนเอง แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ
ดูเหมือนว่านางจะคิดมากเกินไป
แต่ในอนาคต นางก็ไม่ควรดื่มเหล้ามากขนาดนี้อีก การไม่ได้สติเช่นนี้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับยุคสมัยใหม่ แม้ว่านางจะมีหยวนหมิงที่คอยปกป้องนาง แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว หยวนหมิงก็มักจะเข้าฌานอยู่ในมิติสวรรค์ และเขาจะรับรู้ถึงอันตรายและออกมาช่วยเหลือเฮ่อเหลียนเวยเวย เฉพาะเวลาที่หญิงสาวถูกโจมตีจริงๆ เท่านั้น
ที่น่าแปลกก็คือแม้ว่าหยวนหมิงจะเป็นปีศาจ แต่เมื่อเทียบกับนางผู้เป็นมนุษย์แล้วนั้น ชีวิตของเขากลับมีตารางเวลาที่ชัดเจนกว่า ทุกวัน ทันทีที่ท้องฟ้ามืดลง เขาก็จะหลับ และจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อท้องฟ้าสว่าง นอกจากนี้ เขายังชอบกินบะหมี่ และชอบขลุกตัวอยู่ในบ้าน นิสัยของเขาช่างไม่เข้ากับรูปลักษณ์ปีศาจและผมสีเงินที่พลิ้วไหวเลยแม้แต่น้อย
“นี่ หยวนเสี่ยวหมิง เมื่อวานไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้าใช่หรือไม่” เพื่อป้องกันไว้เผื่อว่ามีบางสิ่งที่นางจำไม่ได้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงบ้วนปากพร้อมกับเอ่ยถามไปด้วย
หยวนหมิงหาวอย่างเกียจคร้าน “เมื่อวานจะเกิดเรื่องอะไรได้เล่า เจ้านอนหลับเหมือนกับหมูตาย และกลางดึก เจ้ายังกอดร่างนี้ไว้แนบอกของเจ้าอีกด้วย แม่นาง มาเปิดใจพูดความจริงกันเถอะ ระหว่างเจ้ากับข้านั้น ต่อให้เจ้าจะสนใจข้ามากเพียงใด แต่ข้าก็ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นกับเจ้าเลย”
“ขอบคุณ ข้าเองก็ไม่ได้คิดกับเจ้าเช่นนั้นเหมือนกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยบ้วนน้ำในปากออก “และอีกอย่าง สิ่งที่ข้ากอดคือหนังสือโบราณ ไม่ใช่เจ้า”
หยวนหมิงพ่นลมหายใจอย่างเยือกเย็น ก่อนจะมองเข้าไปในกระจกและพูดขึ้นอีกครั้ง “เมื่อเทียบกับข้าที่เป็นเทพ กับเพื่อนร่วมโต๊ะของเจ้าแล้ว ข้าขาดคุณสมบัติอะไรไปเช่นนั้นหรือ”
“เจ้ากำลังพูดถึงแง่มุมใดเล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยดึงผ้าขนหนูออกมาและขมวดคิ้วอีกครั้ง ทำไมจึงมีผ้าขนหนูชื้นๆ อยู่ที่นี่กัน
หยวนหมิงเอียงคอเล็กน้อย “ในด้านรูปลักษณ์”
“แน่นอน” เฮ่อเหลียนเวยเวยสะบัดผ้าขนหนูและพาดไว้บนราวไม้ ก่อนจะตอบ “เจ้าขาดคุณสมบัติข้อนี้อย่างมาก หยุดคร่ำครวญและเลิกเพ้อฝันได้แล้ว เพื่อนร่วมโต๊ะของข้ามีรูปลักษณ์ที่เจ้าสามารถมีได้เช่นนั้นหรือ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” แม้ว่าหยวนหมิงจะหน้าตาดีใช้ได้ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว ใบหน้าของเพื่อนร่วมโต๊ะของนางนั้นคือความงดงามอย่างแท้จริง ตั้งแต่หัวจรดเท้าของผู้ชายคนนั้นช่างสมบูรณ์แบบ จนเฮ่อเหลียนเวยเวยอดสงสัยไม่ได้ว่าร่างกายของเขาถูกดัดแปลงมาหรือไม่
ในขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยล้างหน้า นางก็เย้ยหยันเขาอยู่ในใจ และไม่ได้ระวังตัว
หยวนหมิงหยุดชะงัก เดิมที เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หัวใจที่ขุ่นเคืองของเขาก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับเข้าไปในท้อง ในเมื่อเจ้าทำให้ข้าหมดสนุก ข้าก็จะไม่บอกว่าเจ้าเกือบจะถูกใครบางคนกลืนกินเข้าไปทั้งตัว หึหึหึ…
…
ทุกครั้งที่เหล่าหญิงสาวโสดจากตระกูลชั้นสูงออกจากบ้าน พวกนางก็จะเตรียมตัวไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือทรงผม พวกนางก็จะลองดูหลายๆ แบบ แม้แต่พัดที่พวกนางถืออยู่ในมือก็จะต้องมีความงดงามและน่าจับตามองกว่าของคนอื่นๆ หลายเท่า
สิ่งที่ทำให้เด็กสาวเหล่านี้รู้สึกตื่นเต้นอย่างมากคือ ในครั้งนี้ นอกจากอดีตฮ่องเต้จะเดินทางไปที่วัดหลิงอิ่นแล้ว องค์ชายสามก็ยังถูกเรียกตัวออกมาด้วยเช่นกัน เขาสวมใส่ชุดเครื่องแบบของกองทัพดูราวกับเป็นเทพเจ้าที่ยืนอยู่หน้ากองกำลังทหาร ในฐานะที่เป็นหลานชายที่อดีตฮ่องเต้รักมากที่สุด เมื่ออดีตฮ่องเต้จุดธูปหอม เขาก็จำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยอยู่แล้ว
แต่เหตุผลหลักของเรื่องนี้ก็คือผู้อาวุโสอย่างอดีตฮ่องเต้ยังมีความตั้งใจอีกหนึ่งอย่างที่ปกปิดเอาไว้ มิเช่นนั้น เขาก็คงจะไม่ได้คัดเลือกเด็กสาวจำนวนมากจากตระกูลขุนนางที่มีอิทธิพลมาร่วมงานนี้ด้วยเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้น ได้ยินมาว่าครั้งนี้ ศิษย์ที่มาเข้าร่วมทั้งหลายจะต้องพักที่วัดหลิงอิ่นเป็นเวลาหนึ่งคืน ส่วนเรื่องอาหาร ที่พัก และการเดินทางต่างก็ได้รับการดูแล ดังนั้น เหล่าคุณหนูและคุณชายจากตระกูลขุนนางชั้นสูงจึงพาข้ารับใช้และผู้ติดตามมาด้วยเช่นกัน
ตรงกันข้ามกับเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เดินทางมาคนเดียว และนำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนเพียงแค่ชุดเดียว โดยไม่ได้นำสิ่งของไร้ประโยชน์อื่นๆ มาด้วย
นางมองว่าเหล่าคุณหนูคนอื่นๆ กำลังทำเรื่องไร้ประโยชน์ ในเมื่อองค์ชายสามมาพร้อมกับกองกำลังทหาร ดังนั้น เขาก็จะอยู่ด้านหน้าเสมอ และไม่ได้มีเวลาสังเกตว่าพวกนางสวมใส่อะไร
แต่หลังจากที่พวกเขาลงนามในข้อตกลงครั้งก่อน หญิงสาวและองค์ชายสามก็ไม่ได้พบเจอกันอีกเลย การพบกันของพวกเขาในครั้งนี้ก็เหมาะสมที่จะพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องส่วนประกอบของอาวุธอย่างมาก…
เนื่องจากเส้นทางที่จะไปสู่วัดหลิงอิ่นนั้นไม่ใช่ระยะทางสั้นๆ อดีตฮ่องเต้จึงเตรียมรถม้าไว้สำหรับบรรดาศิษย์ทั้งหลายแล้ว
หากพวกผู้ชายต้องการจะขี่ม้า ก็สามารถขี่ไปได้ แต่ถ้าไม่ พวกเขาก็สามารถนั่งในรถม้าได้
เหล่าข้ารับใช้ต่างก็ดูแลเอาใจใส่อย่างดีด้วยการปูเบาะหนานุ่มในรถม้า ทำให้นั่งได้สบายยิ่งนัก
ในสมัยโบราณ พวกผู้ชายมีนิสัยเลือดร้อน ส่วนใหญ่จึงไม่นั่งรถม้า พวกเขาทั้งสี่คนขี่ม้าศึกเรียงแถวกันอย่างหล่อเหลาและโดดเด่น ทำให้เหล่าคุณหนูที่เดินอยู่อย่างเชื่องช้ากับสาวใช้ของนางนั้นเขินอาย
เดิมทีเฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งใจจะไปถามเพื่อนร่วมโต๊ะของตนว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เมื่อมองไปรอบๆ นางก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อนร่วมโต๊ะของนาง หญิงสาวจึงอดที่จะขมวดคิ้วเรียวยาวของตนเองไม่ได้ นางเป็นคนเดียวที่ได้รับคัดเลือกจากหอสามัญเช่นนั้นหรือ
“พี่เจียวเอ๋อร์ ดูท่าทางที่นางกวาดตามองไปทั่วทุกทิศทางสิ ช่างเป็นคนชนชั้นต่ำอย่างแท้จริง” ด้านข้างของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์คือบุตรสาวจากตระกูลเหลียงที่เพิ่งเข้ามามีอำนาจในเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากนี้ นางยังเป็นศิษย์จากหอชั้นเยี่ยมอีกด้วย และเนื่องจากการฝึกแบบเข้าฌาน นางจึงไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งล่าสุด มีบางคนบอกว่า หากนางได้เข้าร่วม ผลการแข่งขันก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่การแข่งขันได้จบลงไปแล้ว จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดถึงมันอีก
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตบมือและเดินเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยก้าวสั้นๆ นางสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้าฝ้ายโทนสีแดงสว่างเจ็ดส่วนที่ดูงดงาม สายตาของนางซ่อนเร้นเจตนาอันชั่วร้ายเอาไว้ มีเพียงเฮ่อเหลียนเวยเวยเท่านั้นที่มองออก “พี่ใหญ่ไม่ควรทำตัววุ่นวายมากเกินไปนัก มิเช่นนั้น หากท่านทำอะไรไม่ดีลงไป อดีตฮ่องเต้อาจจะไม่พอใจก็เป็นได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้านและเรียบเฉย ราวกับว่าพวกนางทั้งสองคนไม่ได้มีความสำคัญกับนางเลยแม้แต่น้อย
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พ่นลมหายใจออกอย่างเยือกเย็น พร้อมกับกระโปรงยาวของนางที่หมุนไป แล้วความคิดอันชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมา
แม้ว่านางจะเก่งกาจด้านอาวุธแค่ไหน แต่ถ้านางไม่รู้จักวิธีที่จะเข้าหาผู้อื่น และไม่เข้าใจว่าจะต่อกรกับกลอุบายอย่างไร นังแพศยาคนนี้ก็จะต้องหนีไม่รอดเหมือนกับแต่ก่อน
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมอง พร้อมกับดวงตาที่ค่อยๆ เลื่อนไปอยู่เหนือล้อรถม้าที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะเดินผ่านเด็กสาวจากหอชั้นดีที่เกิดจากนางสนม
รอยยิ้มตรงมุมปากของนางกว้างขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด ท่านแม่ของนางจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้แล้ว
การเดินทางไปยังวัดหลิงอิ่นในครั้งนี้ นางจะต้องทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถหนีรอดจากเงื้อมมือของนางได้อีกต่อไป