องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 181 ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตาย
“คุณหนูเฮ่อเหลียนขี่ม้าแทนได้หรือไม่ขอรับ” ขันทีตัวน้อยยังคงฝืนยิ้มออกมา “ข้ารับใช้คนนี้ก็เตรียมม้าเอาไว้ที่นี่ด้วยขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “เจ้าจะให้เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนอย่างข้าขี่ม้าอย่างออกหน้าออกตาในที่สาธารณะเช่นนั้นหรือ มันคงจะไม่เหมาะสมนัก”
ขันทีตัวน้อย “…”
นางเพิ่งจะใช้คำพูดที่เขาพูดไป ทำให้เขาต้องหยุดพูดเช่นนั้นหรือ
นอกจากนี้ นางสนใจเรื่องที่ตนเองออกเรือนแล้วหรือไม่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เห็นได้ชัดว่านางแค่ไม่อยากไปก็เท่านั้น
ขันทีตัวน้อยรู้สึกได้ว่าเขากำลังเจอความลำบากอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน ขันทีคนก่อนหน้าเขาได้ออกเดินทางแล้ว และหันกลับมาเพื่อบอกให้เขารีบตามมาให้ทัน
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ขันทีตัวน้อยจนปัญญาแล้วจริงๆ หากเรื่องนี้รั่วไหลออกไป ขันทีซุนก็ไม่จำเป็นต้องสืบสวนอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะฮูหยินคนนั้นคงจะจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยตนเองไปแล้ว
เมื่อถึงตอนนั้น คนตายเท่านั้นที่ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
เขาทำอะไรได้บ้างเล่า ตอนนี้เขาสามารถทำอะไรได้บ้าง…
เมื่อขันทีตัวน้อยกำลังจะหมดหนทาง จู่ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งหยุดอยู่ข้างๆ เขา “มีเรื่องอะไรเช่นนั้นหรือ รถม้าของน้องเวยเวยมีอะไรผิดปกติเช่นนั้นหรือ”
คนชั้นสูงก็เป็นเช่นนี้ เจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง พวกเขาก็เรียกแทนกันว่า ‘พี่น้อง’ แล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นและมองดูคนที่กำลังพูดอยู่ คนๆ นั้นคือคุณหนูจากหอชั้นดี เป็นลูกสาวของตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่งที่หน้าตาดี ท่านพ่อของนางเพิ่งได้รับเลื่อนขั้นมายังเมืองหลวง ถือว่าตอนนี้แล่นเรือตามลมตามน้ำได้อย่างราบรื่นมาก แต่ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว หากเปรียบเทียบภายในกลุ่มลูกศิษย์ทั้งหลาย ภูมิหลังของนางนั้นก็ไม่ได้โดดเด่นนัก นอกจากนี้ นางยังไม่มีพรสวรรค์ด้านพลังปราณ และไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้อีกด้วย การที่นางได้ร่วมเดินทางไปยังวัดหลิงอิ่นในครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย และยิ้มอย่างเรียบเฉย “มีปัญหาจริงๆ ล้อของรถม้าคันนี้ค่อนข้างเก่า พวกเรากำลังรอให้ขันทีซุนมาช่วยเหลือ”
“ล้อสึกเช่นนั้นหรือ” ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้วและมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลที่จะพูดต่อ “หากน้องเวยเวยไม่รังเกียจ ก็มานั่งรถม้าคันเดียวกันกับข้าได้ ระหว่างทาง พวกเราสองคนจะได้พูดคุยกันแก้เบื่อไปด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นและกำลังจะปฏิเสธ
ผู้หญิงคนนั้นมองดูล้ออย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างคลุมเครือว่า “ไหนๆ ก็เกิดปัญหาขึ้นแล้ว ข้าเองก็มีเรื่องบางอย่างที่อยากจะเตือนน้องสาวให้ระวังตัวเอาไว้ด้วย”
“โอ้” เฮ่อเหลียนเวยเวยครุ่นคิดขณะที่มุมปากของนางขยับ “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ต้องรบกวนพี่เสิ่นด้วย”
“ไม่ใช่เรื่องลำบากเลย ตราบใดที่เจ้าไม่รังเกียจ พี่สาวคนนี้ก็ดีใจมากแล้ว” หลังจากพูดจบ เสิ่นเวินหว่านก็เหลือบมองสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอก “รีบพาน้องเวยเวยขึ้นมาบนนี้เถอะ”
ขณะที่สาวใช้คนนั้นกำลังจะก้าวเท้าออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กระโจนมาทางนี้แล้ว “ไม่จำเป็น ข้าช่วยเหลือตัวเองได้”
“น้องสาวช่างเก่งกาจยิ่งนัก” เสิ่นเวินหว่านยิ้มเบาๆ พร้อมกับโบกพัดในมือ ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของนางช่างดูราวกับภาพวาดที่สมบูรณ์แบบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่ข้างนาง และยิ้มเบาๆ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก
เสิ่นเวินหว่านมองออกไปนอกรถม้า สายตาของนางจับจ้องไปที่ขันทีตัวน้อยคนนั้น ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม จากนั้น นางก็ลดม่านลง และพูดด้วยเสียงอันเบาว่า “ไปกันเถอะ อย่าชักช้าเลย”
“ขอรับ” แส้ม้าถูกยกขึ้นอย่างแผ่วเบา แล้วล้อของรถม้าก็ประทับรอยลงบนพื้น ขณะที่เคลื่อนตัวผ่านดินโคลนเกิดจากฝนตก
ขันทีตัวน้อยยืนซ่อนตัวอยู่ในความมืดด้วยสีหน้าที่มองไม่ออก เพียงแต่สัมผัสได้รางๆ ว่าเขากำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อเหล่าองครักษ์ช่วยนำทางให้ รถม้าที่อยู่ด้านหลังก็เดินทางได้อย่างปลอดภัยกว่ายามปกติ
นอกจากนี้ รถม้าเหล่านี้ยังถูกจัดเตรียมโดยอดีตฮ่องเต้เองอีกด้วย มันจึงนั่งสบายอย่างมาก ภายในนั้น มีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่วางกาน้ำชาขนาดเล็ก รวมถึงผลไม้อบแห้งต่างๆ เอาไว้
ยิ่งมองดู ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับการออกไปเที่ยวข้างนอก เฮ่อเหลียนเวยเวยรินน้ำชาให้กับตนเองอย่างสบายใจ สิ่งที่ดีที่สุดของการเดินทางบนถนนภูเขาคืออากาศจะไม่ร้อนอบอ้าวจนเกินไป และมีลมพัดผ่านอย่างแผ่วเบา รวมถึงทิวทัศน์ที่งดงามทุกแห่งหน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งจะจิบชา เสิ่นเวินหว่านที่นั่งอยู่ด้านข้าง ก็มองซ้ายมองขวา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับกำลังตัดสินใจเรื่องใหญ่อยู่ จากนั้น นางก็เอนตัวไปใกล้กับหูของอีกฝ่าย แล้วพูดขึ้น “รถม้าคนนั้นเป็นฝีมือของน้องเจียวเอ๋อร์และคนของนาง”
นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังเล่นถ้วยกระเบื้องอยู่หยุดชะงัก ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “พี่สาวรู้ได้อย่างไร”
“วันนี้ ข้ามาถึงแต่เช้า และได้เห็นกับตา” หลังจากที่เสิ่นเวินหว่านพูดจบ นางก็ถอนหายใจยาว “จากที่ข้าเห็น ดูเหมือนว่าน้องเจียวเอ๋อร์ไม่อาจอดทนกับเจ้าได้อีกแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมพี่สาวถึงไม่บอกขันทีซุน แต่กลับมาบอกข้าแทนเล่า”
“น้องสาว เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจกันแน่” เสิ่นเวินหว่านหยิบขนมเปี๊ยะขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วพูดว่า “ในสำนักไท่ไป๋นั้น น้องเจียวเอ๋อร์คือคนที่ไม่มีใครกล้าลองดีด้วย นางมีสี่ตระกูลใหญ่คอยหนุนหลังอยู่ และไม่ว่าองค์ชายสามจะคิดเช่นไรก็ไม่สำคัญ เพราะอดีตฮ่องเต้ยังคงต้องการให้น้องเจียวเอ๋อร์เป็นพระชายาขององค์ชายสาม ขันทีซุนคือคนที่รับใช้องค์ชายสาม แล้วเขาจะมีปัญหากับนายหญิงในอนาคตของตนเองได้อย่างไรกันเล่า แม้ว่าข้าจะไปบอกเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถึงตอนนั้น ข้าก็อาจจะถูกขับไล่ออกจากสำนักไท่ไป๋แล้วด้วยซ้ำ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะอีกครั้ง “จากที่ข้าฟังพี่สาวนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นคำแนะนำให้ต้องกล้ำกลืนความเศร้าใจนี้เอาไว้”
“ใช่แล้ว น้องเวยเวยฉลาดมากจริงๆ” เสิ่นเวินหว่านยิ้มอีกครั้ง และพูดอย่างมีนัย “ในตอนนี้ แม้ว่าคนที่ไม่มีความเกลียดชังหรือความขุ่นเคืองใจใดๆ แต่หากมีรูปร่างหน้าตาดี และมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับองค์ชาย ก็ยังตกเป็นเป้าและถูกกีดกันอยู่ดี แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องกระทบกระทั่งกันเล็กๆ น้อยๆ สำหรับน้องเวยเวยที่ตกเป็นเป้าของคนพวกนั้น จะไม่คิดหาวิธีรับมือใดๆ เลยหรือ”
“วิธีรับมืออะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยตามคำพูดของอีกฝ่าย แล้วเผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้มออกมา
เสิ่นเวินหว่านมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง หลังจากที่ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่ารถม้าปิดม่านหมดทุกบานแล้ว นางก็พูดขึ้นอย่างแผ่วเบา “จริงๆ ข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง”
“วิธีอะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยก็โน้มตัวลงเช่นเดียวกัน
เสิ่นเวินหว่านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาทีละคำ “ตอนนี้ พวกเรากำลังจะไปจุดธูปกันที่วัดหลิงอิ่นเพราะทางตอนใต้ประสบภัยน้ำท่วม อดีตฮ่องเต้ต้องการจะไปสวดมนต์ขอพร หากในกลุ่มของพวกเรามีคนทำผิด ก็จะต้องได้รับโทษที่รุนแรงกว่าปกติอย่างแน่นอน แล้วทำไมน้องสาวถึงไม่ใช้โอกาสนี้ต่อสู้เพื่อตัวเองเล่า”
“ต่อสู้เพื่อตัวเองเช่นนั้นหรือ” ดูเหมือนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่ค่อยเข้าใจนัก
สายตาของเสิ่นเวินหว่านหรี่ลง “ทุกปี หลังจากจบงานที่วัดหลิงอิ่น อดีตฮ่องเต้จะสั่งให้ลูกศิษย์ทั้งหลายเดินขึ้นไปบนศาลาโบราณที่อยู่บริเวณนั้นพร้อมกันกับเขา ถึงตอนนั้น น้องสาวก็แค่เอาสิ่งนี้ไปไว้ในตัวของคนที่เจ้าต้องการจะจัดการ เมื่อถึงเวลา ข้าก็แค่เดินชนร่างของนาง แล้วภารกิจของพวกเราก็จะสำเร็จ”
“นี่คืออะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบกล่องสีเหลืองที่เสิ่นเวินหว่านยื่นมาให้ นางหรี่ตาลง
เสิ่นเวินหว่านลดเสียงลงต่ำ “มันคือไม้มนต์ดำ เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างมาก”
กุก กัก…
มีเศษไม้ติดอยู่ในล้อรถม้าอีกครั้ง
ร่างกายของเฮ่อเหลียนเวยเวยโอนเอนไปมาตามรถม้าที่สั่นสะเทือน และนิ้วของนางก็หยุดลง “ทำไมพี่สาวถึงอยากจะช่วยข้าด้วยวิธีนี้หรือ”
“หากไม่ใช่เพราะต้องทุกข์ใจจากการถูกกีดกันอย่างหนักเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีความคิดเช่นนี้หรอก” เสิ่นเวินหว่านก้มศีรษะลง และถอนหายใจยาว “บางครั้ง คนเราก็ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างอิสระ ใครกำหนดให้ข้าต้องเกิดมาในตระกูลที่ยากจนเล่า แค่พวกเราพยายามที่จะก้าวไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย ก็ตกเป็นเป้าหมายแล้ว ข้าแค่ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้อีกต่อไปก็เท่านั้น”