องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 190 ตบหน้าอย่างจัง
ไม่ใช่แค่ทำเกินไป แต่ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก!
บรรดาคุณหนูคุณชายต่างก็รู้สึกรังเกียจ พวกเขาหันหน้าไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังเหล่านั้นต้องการให้หญิงสาวชั่วร้ายอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยได้รับบทลงโทษทันที!
“ปรักปรำหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม เสียงของนางไม่ช้าไม่เร็ว ”เจ้าถูกปรักปรำจริงหรือไม่นั้นก็หาใช่เรื่องที่เจ้าจะกล่าวอ้างเอาเองได้เหมือนกัน เจ้าต้องมีพยานด้วย” พอพูดจบ นางก็เงยหน้าขึ้น แล้วหันไปหาเจ้าอาวาสฟางจ้าง ก่อนจะทำความเคารพเขา ”ท่านเจ้าอาวาส ตั้งแต่ตอนที่ข้าเข้ามาในวัด จิตใจของข้าก็รู้สึกปั่นป่วนนัก ดังนั้นหลังจากที่ข้าได้รับห่อเครื่องประดับพวกนี้มา ข้าจึงรีบขอให้สามเณรที่ติดตามอยู่ข้างกายท่านช่วยปลุกเสก และปัดเป่าวิญญาณร้ายให้เจ้าค่ะ ข้านึกไม่ถึงเลยว่าสิ่งนี้จะกลายมาเป็นหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของข้าได้ ข้าขอเชิญสามเณรรูปนั้นเข้ามาตอนนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ”
อะไรนะ?!
เสี่ยวเหลียนเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เชื่อหู ทันใดนั้นใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาก็พลันซีดเผือด!
อดีตฮ่องเต้ขมวดคิ้วเข้าหากัน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
เมื่อเจ้าอาวาสฟางจ้างเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยหันมามองเขาด้วยสายตาอันแน่วแน่และเยือกเย็น ราวกับกำลังจะบอกว่าตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์บริสุทธิ์ รักสงบ และไม่โอนอ่อนต่อสิ่งใด เขาก็รู้สึกว่าเรื่องชักจะสนุกขึ้นมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงหัวเราะออกมา ”ย่อมได้ อู้เต้า เจ้าไปเรียกตัวอู้ฝานมาที่นี่ที”
“ขอรับ ท่านเจ้าอาวาสฟางจ้าง” สามเณรรับคำสั่ง
ในไม่ช้าเขาก็กลับมาพร้อมกับคนคนหนึ่ง
“เจ้าอาวาสฟางจ้าง ท่านตามหากระผมหรือขอรับ”
“คนที่ตามหาเจ้าไม่ใช่อาตมาหรอก สีกาท่านนั้นต่างหากที่เป็นคนตามหาตัวเจ้า”
สามเณรมองตามสายตาของฟางจ้างไป เมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายคือเฮ่อเหลียนเวยเวย ใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นก็ดูประหม่าขึ้นมา ”เป็นสีกานี่เอง”
“ข้าเองเจ้าค่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยพนมมือ แล้วก้มศีรษะลงไหว้อีกฝ่ายด้วยความเคารพ ”รบกวนสามเณรช่วยดูสิ่งที่อยู่บนพื้นด้วยเถิด พวกมันคือเครื่องประดับที่ข้าเพิ่งจะขอให้ท่านปลุกเสกให้หรือไม่”
สามเณรไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงถามเช่นนี้กับเขา เขามองหินหยกและกำไลข้อมือที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ไหว ”อมิตาพุทธ เมื่อวัตถุเหล่านี้ได้รับการปลุกเสก พวกมันย่อมได้รับพรจากพระพุทธองค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สีกาไม่รู้จักดูแลรักษาพวกมันเอาไว้ให้ดีเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“สามเณรเข้าใจผิดแล้วขอรับ ใช่ว่านางไม่รู้จักดูแลรักษาของ แต่เป็นเพราะมีใครบางคนต้องการใส่ร้ายนางต่างหาก คนคนนั้นก็เลยจงใจเดินชนนาง และยังยืนกรานว่าข้าวของเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่นางขโมยมาอีกด้วย”
น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากข้างประตู
ทุกคนหันไปมอง และเห็นเพียงว่าคนที่ยืนพิงประตูไม้อย่างเกียจคร้านอยู่ตรงนั้นคือเฮยเจ๋อที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดอก พร้อมกับเงยหน้ามองด้วยสายตาเย็นชา
ทันทีทีเฮยเจ๋อพูดจบ ไม่ใช่แค่เสี่ยวเหลียนที่ตกใจจนตัวสั่นงันงกไปทั้งตัว แม้แต่ใบหน้าของเสิ่นเวินหว่านก็พลันซีดจนไร้สี นางก้าวถอยหลังไปก้าวใหญ่
ทำไมกัน!
ทำไมคุณชายเฮยถึงต้องออกปากแทนเด็กสาวคนนั้นด้วย!
สามเณรน้อยรูปนั้นมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างงุนงง แล้วตอบตามสัญชาตญาณว่า ”ของเหล่านี้ ทุกชิ้นล้วนแต่เป็นของที่มาจากสีกาท่านนี้” ว่าแล้วเขาก็ชี้นิ้วไปทางเสี่ยวเหลียน จากนั้นจึงชี้กลับไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ”มอบให้กับสีกาท่านนี้ ในเวลานั้นข้ากำลังถือศีลอดอยู่นอกห้อง และได้เห็นภาพนั้นด้วยตาตนเอง มันจะกลายเป็นการขโมยไปได้อย่างไร”
“ถ้าอย่างนั้น พูดอีกอย่างก็คือ มีใครบางคนโกหกจริง และยังเอาแต่บอกว่าพวกตนถูกปรักปรำได้อย่างไร้ศักดิ์ศรีและไร้ซึ่งความละอายสินะ” เฮยเจ๋อยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม พร้อมกับชำเลืองมองไปทางเสี่ยวเหลียน ”สาวใช้ผู้นี้ของฮูหยินซูช่วยเปิดโลกให้ข้าได้ดียิ่งนัก”
เคร้ง!
กำไลข้อมือหยกที่อยู่ในมือของเสี่ยวเหลียนร่วงลงกับพื้น ก่อนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ดวงตาของนางสั่นสะท้าน นางต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อปิดบังสีหน้าตื่นตระหนกของตน
นางนึกไม่ถึงเลยว่าทันทีที่คล้อยหลัง เด็กสาวนางนี้จะขอให้ใครบางคนช่วยนำเครื่องประดับเหล่านี้ไปทำการปลุกเสกให้!
นี่… นี่ยังเป็นเด็กสาวป่าเถื่อนที่ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อยคนนั้นจริงๆ หรือ
นางเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!
เสี่ยวเหลียนเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นแค่เฮ่อเหลียนเวยเวยยกยิ้มเล็กน้อยกลับมาให้นาง แต่ในสายตาคู่นั้นกลับไม่มีร่องรอยแห่งรอยยิ้มอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
นางดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันที ความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ฉายวาบขึ้นในดวงตาของนาง
ไม่ เป็นไปไม่ได้
นางไม่น่าจะฉลาดถึงเพียงนั้น!
แต่สิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยทำ กลับทำให้นางไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้!
ในเมื่อเด็กสาวคนนี้ขอให้สามเณรช่วยปลุกเสกเครื่องประดับให้ เช่นนั้นทำไมเมื่อครู่นี้นางถึงไม่รีบเรียกให้สามเณรรูปนั้นเข้ามายืนยันเรื่องเครื่องประดับ แต่กลับรอให้นางถูกเรียกตัวเข้ามาก่อนล่ะ
นางไม่ยอมบอกว่าความจริงแล้วตัวเองขอให้ใครบางคนช่วยปลุกเสกของพวกนี้ให้จนกระทั่งนางโกหกตามคำสั่งที่ฮูหยินให้ไว้!
นางคิดมากไปเองหรือ
ทำไมนางถึงรู้สึกว่าทุกอย่างล้วนแต่เป็นแผนการที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจงใจวางเอาไว้!
นางใช้แผนการทำให้พวกนางทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่ก็เพื่อจัดการพวกนางด้วยวิธีการเดียวกัน!
ถ้าไม่อย่างนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยคงจะเรียกตัวสามเณรเข้ามาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนตั้งแต่ตอนแรกแล้ว นางไม่จำเป็นต้องทำอะไรเกินกว่าเหตุอย่างที่นางทำในตอนนี้!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เสี่ยวเหลียนก็ตัวสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างยากจะอธิบายได้ ร่างของนางสั่นระริกระหว่างที่มองเฮ่อเหลียนเวยเวย สีหน้าของนางเหมือนกับสีหน้าของคนที่กำลังมองปีศาจอยู่ไม่มีผิด!
แต่เสิ่นเวินหว่านที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในแผนการลักษณะนี้มาก่อนยังมองสถานการณ์ในเวลานี้ไม่ออก และทำเพียงหันไปมองทางเฮยเจ๋อ นางขบฟันขาวของตัวเองลงบนริมฝีปากสีแดงแน่น ”คุณชายพูดเช่นนั้นจะมิเป็นการด่วนสรุปไปหน่อยหรือ จริงอยู่ที่สามเณรบอกว่าเขาเป็นคนปลุกเสกของพวกนี้ให้กับน้องเวยเวย แต่ใครกันล่ะที่จะเป็นพยานได้ สาวใช้ผู้น่าสงสารนั่นก็บอกด้วยมิใช่หรือว่าเครื่องประดับที่นางเอามามอบให้นั้นเป็นอีกแบบหนึ่ง หากไม่มีใครสามารถเป็นพยานได้ แล้วพวกเราจะบอกว่านางโกหกได้อย่างไร มิใช่ว่ามีคนอื่นกำลังแสดงละครตบตาอยู่หรอกหรือ”
เฮยเจ๋อยังไม่ทันจะได้พูดตอบกลับเลยด้วยซ้ำ
สามเณรก็โมโหขึ้นมาทันที และประกาศด้วยใบหน้าแดงจัดว่า ”สีกา อาตมาไม่ได้แสดงละครตบตา อาตมาเป็นถึงผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา เกลียดชังการพูดโกหก และคนหลอกหลวงยิ่งนัก! หากสีกาไม่เชื่อ ก็ไปถามเจ้าอาวาสฟางจ้างได้ ตราบใดที่ของชิ้นนั้นได้รับการปลุกเสกแล้ว มันก็จะยังคงมีกลิ่นไม้จันทน์จางๆ ติดอยู่”
“ฮ่าๆๆ ลูกศิษย์ของข้ากล่าวถูกแล้ว” เจ้าอาวาสฟางจ้างหัวเราะอย่างเบิกบาน จากนั้นจึงก้มลงหยิบกำไลหยกขึ้นมาจากกองเครื่องประดับ พร้อมกับยกมันขึ้นมาจ่อที่จมูก แล้วสูดดมเบาๆ ”ของชิ้นนี้ได้รับการปลุกเสกจริงดังว่า”
สามเณรหันไปทางเสิ่นเวินหว่าน และส่งเสียงฮึ่มฮั่มอย่างแรงราวกับกำลังบอกว่าเจ้าจะต่อว่าข้าก็ได้ แต่เจ้าจะต่อว่าความซื่อสัตย์ของพระพุทธองค์ไม่ได้! พระสงฆ์ไม่พูดโกหก!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนก็พากันเงียบกริบ สายตาของพวกเขาอดที่จะหันไปมองทางเสี่ยวเหลียนไม่ได้ หลังจากสาวใช้นางนี้นำเครื่องประดับมาให้อีกฝ่าย นางก็พูดโกหกคำโตออกมา
ทุกคนไม่ใช่คนโง่ หลังจากที่เห็นเหตุการณณ์นี้ พวกเขาย่อมเดาออกว่าเรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น
เมื่อมองไปทางเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ พวกเขาเองก็เริ่มจะสันนิษฐานอะไรขึ้นมาได้
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะยอมรับสายตาเช่นนั้นได้อย่างไร ’เพี๊ยะ’ นางสะบัดมือ แล้วตบเข้าที่ใบหน้าของเสี่ยวเหลียน นางหันไปมองเสี่ยวเหลียนด้วยสีหน้าผิดหวัง และเอ่ยด้วยริมฝีปากสั่นระริกว่า ”น่าเสียดายนักที่ท่านแม่ของข้าไว้วางใจเจ้ามากถึงเพียงนั้น เจ้า เจ้าพูดโดยไม่คิดออกมาได้อย่างไร!”
การตบนั้นรุนแรง และโหดเหี้ยมยิ่งกว่าการตบของเฮ่อเหลียนเวยเวยเสียอีก
ตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยตบนาง นางไม่ได้ตั้งใจจะตบเพื่อปิดปากนาง อย่างไรเสียเสี่ยวเหลียนก็ไม่ใช่ตัวละครหลักในละครฉากนี้
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ลงมือ เสียงอื้ออึงจากพลังปราณก็ดังขึ้น
เสี่ยวเหลียนหน้าบวมไปทั้งหน้า มุมปากของนางมีเลือดซึมออกมา อย่าว่าแต่จะอ้าปากพูดเลย แม้แต่การรักษาท่าคุกเข่าก็ยังนับว่าเป็นเรื่องยาก นางไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก และทำได้เพียงโขกศีรษะของตนลงกับพื้น อ้อนวอนร้องขอความเมตตาจากอดีตฮ่องเต้เท่านั้น ”เป็นสาวใช้เช่นหม่อมฉันเองที่ไม่รักดีและไม่อาจทำตามความคาดหวังของคุณหนู และฮูหยินได้เพคะ เพราะปกติแล้วคุณหนูใหญ่เป็นคนอารมณ์รุนแรงจนสาวใช้เช่นหม่อมฉันไม่อาจรับมือกับนางได้ ดังนั้นหม่อมฉันถึงได้โกหกออกไปเพคะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยฟังคำพูดนั้นอย่างสงบ มุมปากของนางกระตุกขึ้นราวกับไม่แยแส สรุปแล้วนางพยายามจะบอกว่าฮูหยินซูกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เป็นผู้บริสุทธิ์หรือ