องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 191 เฮ่อเหลียนเวยเวยโต้กลับ
มันจะง่ายดายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้นางเคยบอกแล้วว่า คนอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่คนที่จะไปหาเรื่องใคร ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องนางก่อน แต่ถ้าหากมีคนมาหาเรื่องนางเข้า นางก็จะจัดการถอนรากถอนโคนพวกมันเสียให้สิ้น!
คนพวกนี้ต้องการเล่นงานนางหรือ หึ ในเมื่อพวกนางก้าวเท้าเข้ามาแล้ว ก็อย่าหวังว่าจะได้กลับออกไปง่ายๆ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยเล่นกับกำไลหยกในมือของตน แล้วพูดขึ้นว่า ”เจ้าทำให้ฮูหยินและคุณหนูของตัวเองต้องผิดหวังจริงๆ”
เสี่ยวเหลียวหลุบตาลง และไม่ได้พูดอะไรอีก นางปิดปากเงียบเพราะเข้าใจสถานการณ์ในเวลานี้ดีกว่าใคร ตราบใดที่นางสามารถช่วยนายหญิงกับคุณหนูได้ ต่อให้อดีตฮ่องเต้จะจัดการกับนางซึ่งเป็นสาวใช้ตัวเล็กๆ ขี้โกหกเพียงคนเดียวก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าหากพวกฮูหยินพลอยติดร่างแหไปด้วยแล้วล่ะก็ เรื่องนี้คงไม่ได้เป็นแค่เรื่องเล็กๆ อย่างการโกหกตบตาคนอื่นแน่
มันจะกลายเป็นแผนการหลอกลวงเบื้องสูง มีโทษถึงประหารชีวิตเลยทีเดียว!
ดังนั้นตอนที่นางได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางจึงลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และคิดว่าเรื่องคงจบลงเพียงเท่านี้ แต่ทันทีที่นางคิดเช่นนั้น ประโยคถัดมาของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับสร้างความประหลาดใจให้กับนางเป็นอย่างยิ่ง ”เพราะเจ้าไม่สามารถทำตามหน้าที่รับผิดชอบที่คนพวกนั้นมอบให้เจ้าได้เลยแม้แต่อย่างเดียว และยังถูกข้าจับได้เสียอีก หากไม่บอกว่าเจ้าไม่สามารถทำตามความตั้งใจของพวกนางได้ แล้วจะให้เรียกว่าอะไรได้อีกหรือ”
ร่างของเสี่ยวเหลียนสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น ”คำให้การเท็จทั้งหมดล้วนแต่เป็นความคิดของข้าเพียงผู้เดียว ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับฮูหยิน และคุณหนูแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ พวกนางไม่ได้มอบหมายให้ข้าทำอะไรทั้งนั้น!”
“ช่างซื่อสัตย์ภักดีเสียจริง มิหนำซ้ำยังรู้อีกด้วยว่าจะปกป้องเจ้านายของตนได้อย่างไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างไม่แยแส ”แต่น่าเสียดายนักที่คนที่เจ้ากำลังปกป้องอยู่กลับไม่ได้คิดเช่นนั้นกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้นตอนที่นางตบหน้าเจ้า นางคงไม่ผสานพลังปราณเข้าไปด้วยหรอก เห็นได้ชัดว่านางคงกระวนกระวายใจอยากจะฆ่าเจ้าปิดปากแทบไม่ไหวแล้วต่างหาก” พอพูดจบ นางก็หันหน้าไปทางเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ แล้วมองหน้านาง ”ใช่หรือเปล่าล่ะ น้องสาว”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำมือแน่น แต่สีหน้าของนางไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง แผนการที่ใช้เสี่ยวเหลียนไม่ได้ผลก็จริง แต่นางก็ยังมีแผนการของเสิ่นเวินหว่านอยู่
เสิ่นเวินหว่านชื่นชอบในตัวเฮยเจ๋อ แต่ตระกูลเสิ่นสามารถเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงได้ก็เพราะพวกเขาพึ่งพาตระกูลซู
ดังนั้นก่อนเข้าวัด ท่านแม่ถึงได้วางแผนการทุกอย่างเอาไว้แล้ว
พวกนางเพียงแค่นึกไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะขึ้นรถม้าคันนั้นจริงๆ และการทำเช่นนั้นก็เพื่อเปิดโอกาสให้เสิ่นเวินหว่านได้เข้าใกล้เฮ่อเหลียนเวยเวย
ตอนนี้เมื่อมีไม้มนต์ดำที่พวกนางเตรียมเอาไว้อยู่บนพื้น ไม่ว่าระหว่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่ยังมีของชิ้นนั้นอยู่ที่นี่ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็มีแต่จะต้องตายสถานเดียว!
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จึงสาวเท้าเดินออกไปด้วยท่วงท่าสำรวมและสง่างาม น้ำเสียงของนางอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างที่สุด ”ผู้กระทำผิดย่อมสมควรได้รับบทลงโทษเจ้าค่ะ พี่ใหญ่จะสงสัยข้าและท่านแม่ก็ไม่เป็นไร แต่ประเด็นหลักของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่เครื่องประดับที่พี่ใหญ่ทำหล่น แต่เป็นเรื่องที่ว่าทำไมพี่ใหญ่นำของชั่วร้ายอย่างไม้มนต์ดำเข้ามาภายในวัดต่างหากเจ้าค่ะ”
“คุณหนูเจียวเอ๋อร์พูดถูกแล้ว” ตลอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความอิจฉาริษยาที่เสิ่นเวินหว่านมีให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยิ่งฝังรากลึกลงเรื่อยๆ แต่นางก็ปกปิดมันเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ดีเสียจนน้ำเสียงของนางติดจะสั่นเล็กน้อย ประหนึ่งว่าสิ่งที่นางเพิ่งจะเห็นนั้นยังคงทิ้งความหวาดกลัวเอาไว้ในใจ ระหว่างนั้นนางก็หันไปพูดกับอดีตฮ่องเต้ว่า ”ครั้งนี้อดีตฮ่องเต้เดินทางมาที่วัดหลิงอิ่นก็เพื่อไหว้พระขอฝนให้ช่วยปัดเป่าภัยแล้ง พระองค์ได้ทำการชำระจิตใจของตนจนสะอาดผุดผ่อง จุดธูป และละเว้นอาหารจากเนื้อสัตว์มาหนึ่งวันเต็มเพื่อแสดงความจริงใจให้ทวยเทพได้เห็น แต่ตลอดเวลานั้น กลับมีใครบางคนนำไม้มนต์ดำติดตัวมาโดยมีจุดประสงค์เพื่อทำร้ายผู้อื่น การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่แค่ไม่เห็นแก่ความพยายามของอดีตฮ่องเต้ผู้เป็นถึงผู้อาวุโส แต่ยังเป็นการไม่เห็นใจโชคชะตาของผู้ประสบภัยแล้งด้วยเพคะ!” หลังจากพูดจบ นางก็หันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ”แม้ว่าฐานะทางตระกูลของเวินหว่านจะต้อยต่ำ แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องบอกว่า ต่อให้คุณหนูเฮ่อเหลียนจะนำเรื่องสาวใช้มาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปก็เปล่าประโยชน์ ไม้มนต์ดำนี้สามารถทำร้ายผู้คนได้ และมันย่อมไม่ใช่สิ่งที่คุณหนูเฮ่อเหลียนไม่รู้จัก แต่กระนั้น ทำไมเจ้าถึงได้พกมันติดตัวเอาไว้ล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยปรายตามองด้านข้าง จากนั้นจึงหันไปมองที่เสิ่นเวินหว่าน ”ข้าไม่รู้ว่าข้าไปทำอะไรให้คุณหนูเสิ่นไม่พอใจ จนทำให้คุณหนูเสิ่นต้องกดดันข้าเช่นนี้ ก่อนเข้าวัดมา คุณหนูเสิ่นยังเรียกข้าว่าน้องสาวอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่หลังจากเข้ามาในวัด ท่านก็ยืนกรานว่าข้าเป็นคนที่เลวร้ายจนยากจะกลับตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าควรจะสงสัยเหตุผลที่คุณหนูเสิ่นเข้ามาตีสนิทกับข้าในเวลานั้นด้วยหรือไม่”
“คุณหนูเฮ่อเหลียน ท่าน… น่าตกใจยิ่งนักที่ท่านคิดเช่นนั้นกับข้า” นัยน์ตาของเสิ่นเวินหว่านสั่นไหว น้ำใสๆ คล้ายจะกระเพื่อมอยู่ภายใน ”ตอนอยู่นอกวัด ข้าเห็นว่าท่านกำลังลำบาก จึงยอมให้ท่านขึ้นรถม้ามาด้วย แต่ตอนนี้นึกไม่ถึงเลยว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนจะคิดว่ามันเป็นการเข้าหาโดยมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงเสียได้” พอพูดจบ นางก็หันหน้าไปอีกทาง แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่ขอบตาของตน มองดูแล้วเหมือนคนที่กำลังเสียใจอย่างรุนแรง
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ส่ายหน้า แล้วมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาตำหนิ ”พี่ใหญ่ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เลยเจ้าค่ะว่าท่านกลายมาเป็นคนเช่นที่ท่านเป็นอยู่ในเวลานี้ได้อย่างไร พวกข้าช่วยเหลือท่าน แต่ท่านกลับคิดว่าพวกข้ามีจุดประสงค์แอบแฝง ท่านเกลียดชังพวกข้าจากหัวใจ ดังนั้นท่านถึงได้พกของอัปมงคลเช่นนี้เอาไว้กับตัว พี่ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่เจ้าคะว่าหัวใจของข้าเจ็บปวดเพียงใดเมื่อเห็นท่านเป็นเช่นนี้”
“พวกเรายังไม่ทันได้เก็บสิ่งที่อยู่บนพื้นขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ แต่เจ้ากับคุณหนูเสิ่นกลับมั่นอกมั่นใจยิ่งนักว่ามันเป็นไม้มนต์ดำ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ความเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง ”เจ้าช่างเป็นน้องสาวที่ดียิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นน้องสาวที่กระตือรือร้นอยากจะให้พี่สาวตัวเองตายขนาดเจ้ามาก่อนเลย” พอพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยิบ ’ไม้มนต์ดำ’ ที่ยังอยู่ในถุงผ้าสีเหลืองขึ้นมา และดันมันออกเล็กน้อย ’ไม้มนต์ดำ’ ที่ว่าจึงโผล่ขึ้นมาให้เห็นทั้งหมด
“นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าเอาแต่บอกว่าเป็น ’ไม้มนต์ดำ’ หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วยิ้มออกมา ”ข้าขอรบกวนให้ขันทีซุนก้าวออกมาช่วยดูให้หน่อยได้หรือไม่ ว่ามันเป็นไม้อัปมงคลอะไรนั่นจริงหรือไม่”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อยู่ใกล้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยที่สุด เมื่อนางได้เห็นคำที่อยู่บนไม้นั้นอย่างชัดเจน สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนไปอย่างมาก สติของนางแตกกระเจิงในทันที!
ขันทีซุนเองก็ถึงกับยืนนิ่ง ไม้มนต์ดำที่ควรจะอยู่ในถุงผ้าสีเหลืองอยู่ที่ไหน มันไม่มีชาดแต้มไว้ ไม่มีแม้กระทั่งวันเกิด หรือถ้อยคำสาปแช่ง ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับมนต์ดำเลยแม้แต่นิดเดียว แต่น่าประหลาดใจที่บนไม้นั้นกลับมีตัวอักษรสลักเอาไว้ พวกมันถูกสลักอย่างคล่องแคล่วและทรงพลัง ตัวอักษรเหล่านั้นเรียงชิดติดกัน ให้ความรู้สึกสงบและแข็งแรงแต่ก็ละเอียดอ่อน คำแต่ละคำถูกเขียนขึ้นด้วยลายมืออันยุ่งเหยิง แต่ก็ยังทิ่มแทงเข้าไปในใจได้อย่างลึกซึ้ง ’ขอสันติและความรุ่งเรืองจงเกิดแด่แผ่นดินของเรา’
ตัวอักษรเล็กๆ เพียงแค่นั้น ก็ทำให้ขันทีซุนถึงกับต้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยใหม่อีกครั้ง
ทุกวันนี้บนแผ่นดินมีหญิงสาวน้อยคนนักที่จะมีความคิดกว้างไกลได้เช่นนี้ เขาอดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ”คุณหนูเฮ่อเหลียนรู้แจ้งเห็นจริง ข้าต้องขอชื่นชมยิ่งนัก หากข้าเดาไม่ผิด สิ่งนี้น่าจะเป็นไม้หอมของวัดหลิงอิ่นที่ได้รับการรมควันธูปมาตลอดทั้งปี” เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ”แต่ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนไปได้ไม้หอมชิ้นนี้มาได้อย่างไรกัน”
ทันทีที่สิ้นเสียงของขันทีซุน ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นก็เริ่มส่งเสียงดังเซ็งแซ่
สรุปว่ามันไม่ใช่ไม้มนต์ดำหรือ
กลายเป็นไม้หอมไปได้อย่างไร
“ไม้หอมหรือ?!”
เสิ่นเวินหว่านตกใจอย่างยิ่ง นางรีบหันไปมอง สีสันบนริมฝีปากของนางพลันเหือดหาย กลีบปากของนางสั่นระริก เป็นไปได้อย่างไร นางเป็นคนเอาถุงผ้าสีเหลืองอันนั้นให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเองกับมือ ข้างในนั้นควรจะมีเศษของไม้มนต์ดำต้องสาปอยู่ มันจะถูกเปลี่ยนเป็นไม้หอมไปได้อย่างไรกัน!
“ขันทีซุน เป็นไปได้หรือไม่เจ้าคะว่าท่านจะเข้าใจอะไรผิด” เสิ่นเวินหว่านแตกตื่น แล้วก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างร้อนใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันมาประจันหน้ากับนางพร้อมกับรอยยิ้ม ”คุณหนูเสิ่น ท่านต้องหวังอยากให้ไม้ชิ้นนี้เป็นไม้มนต์ดำถึงเพียงใดกันหรือ ท่านหวังให้มันเป็นเช่นนั้นจนไม่เชื่อแม้กระทั่งคำพูดของขันทีซุนเลยหรือไร”
“เฮ่อเหลียนเวยเวย!” เสิ่นเวินหว่านสูดหายใจเข้าอย่างแรง ”อย่ามาพูดจาไร้สาระ ข้าแค่กลัวว่าสายตาของขันทีซุนจะพร่ามัวไปชั่วขณะ จนปล่อยให้คนชั่วช้าหลุดมือไปได้ต่างหาก!”