องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 192 พูดไม่ออก
นางกัดริมฝีปาก และกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
แต่แล้ว นางก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำไร้อารมณ์ลอยเข้ามาในหูเสียก่อน เสียงนั้นฟังดูเกียจคร้าน แต่ก็เย้ายวนเป็นอย่างยิ่ง ”ถ้าเจ้าไม่เชื่อตาของขันทีซุน เช่นนั้นหากเป็นข้าล่ะจะว่าอย่างไร”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรากฏกายขึ้นจากเงามืด เรือนร่างงดงามมีเอกลักษณ์ภายใต้เสื้อคลุมขนสัตว์ดูหล่อเหลาเหลือคณา คิ้วและขนตาดกหนา นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำ ท่วงท่าสง่างาม กับความเย็นชาดุจน้ำแข็งนั้นทำให้ใครๆ ต่างก็หวาดกลัว
เสิ่นเวินหว่านตัวสั่นไปทั้งตัว ขาของนางหมดสิ้นเรี่ยวแรง นางอยากคุกเข่าลงไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนั้น!
อดีตฮ่องเต้ขมวดคิ้วทันทีที่เห็นภาพนี้ สีหน้าของเขากลายเป็นเย็นชา ”นำของสิ่งนั้นมานี่”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนชูมือทั้งสองข้างขึ้นสูง แล้วถวายไม้หอมแผ่นนั้นให้กับเขา เมื่ออดีตฮ่องเต้เห็นคำที่สลักอยู่บนนั้น ดวงตาของเขาก็ทอแสงวาบ จากนั้นเขาก็หันไปมองทางเฮ่อเหลียนเวยเวย ”นี่มัน…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อยแทนคำตอบ ”ก่อนหน้านี้เวยเวยได้กราบทูลพระองค์ไปแล้วเพคะว่าหม่อมฉันชื่นชมอดีตฮ่องเต้เป็นอย่างยิ่ง ยามนี้เมื่อแผ่นดินประสบกับภัยแล้งครั้งใหญ่ พระองค์ก็ทรงเดินทางขึ้นเขามาไหว้พระขอพรด้วยตัวเอง หัวใจที่เต็มไปด้วยความกังวลต่อบ้านเมือง และห่วงใยประชาชนของพระองค์ทำให้เวยเวยรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง แต่สามัญชนเช่นหม่อมฉันนั้นมีกำลังเพียงน้อยนิด จึงไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก หม่อมฉันเพียงแต่เคยได้ยินมาว่าไม้หอมในวัดหลิงอิ่นนั้นมีคุณสมบัติช่วยทำให้คำอธิษฐานเป็นจริงได้ หม่อมฉันจึงขอร้องให้สามเณรช่วยพาหม่อมฉันไปที่ห้องนั้น เพื่อขอเศษไม้สักชิ้นก็เท่านั้นเพคะ”
สามเณรน้อยรูปนั้นยืนอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาพยักหน้าอย่างรุนแรง หลังจากพูดคำว่า ’อมิตาพุทธ’ จบ เขาก็พูดขึ้นว่า ”ระหว่างทาง สีกาท่านนี้ยังอดทนกับการเดินขึ้นบันไดหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าขั้น คำนับเก้าร้อยเก้าสิบครั้งได้อีกด้วย ความจริงใจเช่นนั้นย่อมได้รับพระเมตตาจากพระพุทธองค์อย่างแน่นอน”
อดีตฮ่องเต้ถือไม้หอมแผ่นนั้นเอาไว้ในมือ สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้คือความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็มองเฮ่อเหลียนเวยเวย เป็นครั้งแรกที่ดวงตาอันสุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอคู่นั้นฉายคำขอโทษออกมา ”เด็กดี เจ้าช่างเอาใจใส่นัก”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปจนไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นนางก็กำมือตัวเองแน่น ก่อนจะค่อยๆ คลายมันออกทีละน้อย พลันนางก็ตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นนาง เสี่ยวเหลียน หรือเสิ่นเวินหว่าน ทุกคนล้วนแต่ถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยเล่นงานเข้าจนได้!
ตั้งแต่ก่อนเข้ามาในวัด เฮ่อเหลียนเวยเวยคงคาดการณ์ทุกอย่างเอาไว้แล้ว แต่เลือกที่จะซ่อนอารมณ์ของตนเอาไว้ นางไม่ตีโพยตีพายเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรอให้พวกนางเดินเข้ามาสู่กับดักของนางด้วยตัวเอง!
ตอนนี้ในที่สุดเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปอย่างมาก เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้านางไม่เหมือนกับเมื่อก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่แค่เรื่องที่นางไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ยังเป็นความฉลาดหลักแหลมของนางด้วย!
เดิมทีนั้นนางต้องการที่จะใส่ร้ายป้ายสีอีกฝ่ายต่อหน้าอดีตฮ่องเต้ และทำให้นางต้องทำตัวเสียมารยาทต่ออดีตฮ่องเต้ นางจะได้ไม่หลงเหลือวันคืนดีๆ ในชีวิตอีก แต่ตอนนี้ นางกลับช่วยให้เด็กสาวคนนั้นได้เดินบนเส้นทางอันงดงามโดยไม่ได้ตั้งใจ!
หลังจากเรื่องนี้จบลง อดีตฮ่องเต้จะต้องรู้สึกผิดต่อเฮ่อเหลียนเวยเวย และต่อไปในภายภาคหน้า เขาอาจจะเริ่มใส่ใจนางมากขึ้นด้วยซ้ำ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หัวใจของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง นางกัดเนื้อภายในปากของตนจนเลือดซิบ แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลืนมันลงไป!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนาง แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ”ตอนนี้ทุกอย่างก็ยืนยันแล้วว่าข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าอยากถามน้องสาวกับคุณหนูเสิ่นยิ่งนักว่า ในเมื่อเห็นกันชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่ข้าพกติดตัวเอาไว้คือไม้หอม แล้วทำไมทั้งสองคนถึงยืนกรานว่ามันเป็นไม้มนต์ดำก่อนจะทันได้มองดูมันชัดๆ ด้วยซ้ำเล่า เหตุผลที่แท้จริงของการกระทำนี้คืออะไรหรือ”
ริมฝีปากไร้สีเลือดของเสิ่นเวินหว่านไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้เลยแม้แต่น้อย
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ฝืนยกมุมปากของตนขึ้นเป็นรอยยิ้ม ”ตอนมองไกลๆ ไม้หอมแผ่นนั้นดูเหมือนกับไม้มนต์ดำเจ้าค่ะ ดังนั้นน้องก็เลยคิดว่า…”
“น้องสาว” เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดบทนางขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ ”เจ้าจะบอกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือ”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พยักหน้า ขอบตาของนางแดงเล็กน้อย ”ข้าทำผิดต่อพี่ใหญ่ พวกข้ามองผิดไปจริงๆ เจ้าค่ะ”
“มองผิดไปหรือ แต่มันฟังดูเหมือนกับว่าน้องสาวไม่เข้าใจว่าทำไมไม้มนต์ดำที่อยู่ในถุงผ้าของข้าถึงกลายเป็นไม้หอมไปได้มากกว่านะ ว่าไหม”
พอพูดถึงตรงนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หันหน้าไปมองอดีตฮ่องเต้ ”หม่อมฉันมิได้คิดที่จะปิดบังสิ่งใดจากฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมีไม้มนต์ดำอยู่กับตัวจริงๆ”
อะไรนะ! ทุกคนมองหน้ากันและกันอย่างตกตะลึง พวกเขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งจะลบล้างคำครหาของตนเรื่องการมีไม้มนต์ดำอยู่ในครอบครองได้แท้ๆ แต่ทำไมนางถึงเพิ่งจะมายอมรับเอาตอนนี้ล่ะว่านางมีมันอยู่จริงๆ
แต่มีเพียงแค่เสิ่นเวินหว่านคนเดียวเท่านั้นที่ตระหนักได้ว่านางต้องการจะพูดอะไร นางผุดลุกขึ้นยืนในทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยปรายตามองนาง แล้วพูดต่อ ”เพียงแต่ว่า อันที่จริงคุณหนูเสิ่นเป็นผู้ที่มอบมันให้ข้าก่อนที่พวกเราจะเข้ามาในวัดเพคะ”
“เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าไม่ควรถ่มเลือดใส่ ผู้อื่นนะ!”
เสิ่นเวินหว่านคำราม ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว ไร้ซึ่งสีหน้าอ่อนโยนที่เคยมีก่อนหน้า
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ดวงตาของนางเป็นประกายเสียจนดูเหมือนว่ามันเอ่อล้นไปด้วยแสงระยิบระยับ ”คุณหนูเสิ่น ตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่ถ่มเลือดใส่ผู้อื่นคือพวกท่านสองคนต่างหาก รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงได้ยอมให้ร่วมมือเข้าไปในรถม้าของท่าน เพราะข้าเพียงแค่อยากเห็นว่าท่านจะใช้ลูกไม้กระจอกอันใดมาเล่นงานข้าอย่างไรล่ะ แต่ข้านึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่านางจะถึงกับส่งคุณหนูจากตระกูลขุนนางอย่างท่านมาจัดการกับข้าเพียงคนเดียว คุณหนูเสิ่น ท่านย่อมไม่ได้เป็นศิษย์ที่เข้าร่วมการแข่งขันภายในสำนักไท่ไป๋อย่างแน่นอน แต่ท่านกลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในเวลานี้ และร่วมเดินทางมากับพวกเราได้ แสดงว่าย่อมมีใครสักคนที่สามารถใช้มือข้างเดียวปิดบังแผ่นฟ้าอย่างฮูหยินซูที่คอยช่วยเหลือให้แผนการนี้สำเร็จอยู่ล่ะสิ แต่พวกท่านประเมินข้าต่ำเกินไป ท่านตั้งใจจะผลักข้าลงสู่หนทางแห่งความตายด้วยไม้มนต์ดำเพียงแผ่นเดียวหรือ ท่านคิดจริงๆ หรือว่าข้ายังเป็นข้าคนเดิม ที่ยอมให้ท่านกลั่นแกล้งได้เหมือนเมื่อก่อน เป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีปากมีเสียงนั่น?!”
เมื่อพูดจบ นางก็สาวเท้าเดินออกมา แล้วคุกเข่าลงบนพื้นอย่างแรง!
เสียงนั้นดังกว่าตอนที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์คุกเข่า และยังจริงใจยิ่งกว่า!
กระโปรงยาวของนางทิ้งตัวลงแนบพื้นราวกับดอกไม้ผลิบาน!
สายฝนโปรยปราย สายลมยามเย็นพัดเข้ามา เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น แขนเสื้อยาวของนางปลิวไปตามสายลม
“อดีตฮ่องเต้เพคะ ในปีนั้น ท่านตาของหม่อมฉันอายุได้หกสิบปี กองกำลังทหารม้าของเขาพลาดท่าที่ชายแดน แต่เพื่อปกป้องดินแดนของจักรวรรดิจ้านหลง เขายอมหลั่งเลือดย้อมแผ่นดิน กวัดแกว่งคมดาบ แสดงความกล้าหาญและจิตใจมั่นคงสู้ไม่ถอย ดังนั้นพระองค์จึงประทานคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ให้กับสายเลือดตระกูลเฮ่อเหลียน ด้วยหวังให้มันปกป้องตระกูลที่รับใช้ชาติ คุ้มครองตระกูลที่ทุ่มเททั้งชีวิตของตนเพื่อรับใช้แผ่นดิน แต่เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่เด็กนั้นหม่อมฉันมันก็เป็นเพียงแค่คนไร้ค่า ไม่มีท่านตา ไม่มีท่านแม่ แม้กระทั่งตำแหน่งของตัวเองก็ต้องตกไปอยู่กับคนอื่น ดังนั้นหม่อมฉันจึงต้องถูกคนอื่นดูถูกเหยียดหยาม และถูกต่อว่าว่าเป็นคนป่าเถื่อนและมัวเมาในความรัก เพราะอย่างไรเสีย คนที่โยนมรดกของตัวเองทิ้งไปก็คือหม่อมฉันเอง”
แผ่นหลังของเฮ่อเหลียนเหยียดตรงในระหว่างที่นางพูด แม้ว่านางจะยังคุกเข่าอยู่ แต่ในสายตาของทุกคน นางกลับดูเปล่งประกายจนยากจะอธิบายได้ ”แต่ตอนนี้หม่อมฉันโตแล้ว จึงเข้าใจแล้วว่าเกียรติยศและความอัปยศอดสูเป็นเช่นใด หม่อมฉันไม่ต้องการให้ใครต่อใครทำลายชื่อเสียงของหม่อมฉันตามใจชอบเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว กระนั้นหม่อมฉันก็เลือกที่จะไม่พูดสิ่งใดออกมา หม่อมฉันคิดว่าในปีนั้น ตอนที่ท่านตากวัดแกว่งดาบเพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง เขาก็คงไม่ได้ทำมันลงไปเพื่อให้วันหนึ่งหม่อมฉันต้องมายืนอยู่ที่นี่ และต้องถูกคนอื่นวางแผนใส่ร้ายเช่นนี้หรอกเพคะ สมัยที่หม่อมฉันยังเด็ก เขาจะอุ้มหม่อมฉันไว้ในอ้อมแขน และมักจะพูดเสมอว่า ’เด็กน้อย หากเจ้าโตขึ้น เจ้าต้องเป็นผู้ฝึกปราณที่เก่งกาจที่สุด คอยรับใช้อดีตฮ่องเต้ในฐานะมือซ้ายหรือมือขวาของเขาเสีย การทำเช่นนั้นจะทำให้เจ้าสามารถสนับสนุนและปกป้องจักรวรรดิจ้านหลงของเราให้เติบโตได้ ทำให้ประชาชนได้อยู่อย่างสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง!’ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หม่อมฉันก็มักจะนึกถึงคำพูดเหล่านี้ และคิดว่าหากระดับพลังปราณของหม่อมฉันสูงพอเมื่อใด หม่อมฉันจะได้บอกเรื่องนี้กับพระองค์ด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ พระองค์คงไม่อยากได้ยินแล้วกระมัง อย่างไรเสีย ในเวลานี้ผู้ที่เป็นเจ้านายของคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ก็คือคนสกุลซู อดีตฮ่องเต้เพคะ พระองค์เองก็น่าจะทรงเข้าใจดี”
อดีตฮ่องเต้มองใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าตน ใบหน้านั้นคล้ายคลึงกับใบหน้าของชายชราตระกูลเฮ่อเหลียนเสียสามส่วน ในใจของเขารู้สึกตกตะลึงอย่างมาก ทันใดนั้น เขาก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาปฏิเสธคำร้องขอแต่งงานของหลานชายไปนั้น เขาคิดผิดไปหรือเปล่า…