องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 194 ต้องการมีภรรยาด้วยใจจริง
ซูเหยียนโม่ไม่คิดว่าอดีตฮ่องเต้จะโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ นางเป็นถึงตัวแทนของตระกูลซูและยังมีตระกูลเฮ่อเหลียนหนุนหลัง ต่อให้เรื่องนี้ถูกเปิดโปงขึ้นมา แต่เพื่อรักษาสมดุลภายในราชสำนักเอาไว้ อดีตฮ่องเต้ย่อมจำต้องข่มโทสะของตน เพื่อจำกัดผลกระทบของเรื่องนี้ให้อยู่แค่ในระดับที่เหมาะสมเท่านั้น
แต่วันนี้ กลับเห็นได้ชัดว่าอดีตฮ่องเต้ต้องการที่จะมอบบทลงโทษร้ายแรงให้กับพวกนาง!
เรื่องนี้ทำให้ซูเหยียนโม่ตกใจจนตั้งตัวไม่ติด นางไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยทำอะไรลงไป แต่คาดไม่ถึงเลยว่าการกระทำนั้นจะทำให้อดีตฮ่องเต้ที่สามารถชั่งน้ำหนักทุกสิ่งได้อย่างรอบคอบมาตลอด กลับบันดาลโทสะได้ถึงเพียงนี้ นางทำได้เพียงนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนถูกปรักปรำว่า ”อดีตฮ่องเต้เพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันมิได้อยู่ที่นี่ และไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เสี่ยวเหลียนต้องลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นเช่นกันเพคะ ส่วนเรื่องการพูดใส่ร้ายผู้อื่นนั้น ยิ่งหม่อมฉันได้ฟัง หม่อมฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจเลยเพคะ”
“ดี ดีมาก” อดีตฮ่องเต้ยืนขึ้น ”ในเมื่อเจ้าไม่รู้อะไรแม้แต่อย่างเดียว เช่นนั้นก็กลับไปบอกอัครเสนาบดีซูเสีย ว่าระหว่างการเดินทางมาที่วัดหลิงอิ่นในครั้งนี้ สิ่งที่ข้าต้องการคือการจัดการทุกอย่างอย่างเงียบๆ จึงได้มอบเรื่องนี้ให้เขาไปจัดการ ดูเหมือนว่า… กับคนบางจำพวก เราก็ควรมอบงานที่เหมาะสมให้กับพวกเขาเสีย ต่อแต่นี้ไป เขาไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในวังหลวงอีกแล้ว สนใจแต่หน้าที่การเป็นอัครเสนาบดีก็พอ”
แม้คำพูดพวกนี้จะฟังดูเหมือนไม่ใช่การลิดรอนอำนาจแต่อย่างใด
แต่ซูเหยียนโมกลับเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าอันที่จริงนั้น การตัดสินใจเช่นนี้เป็นการทำให้อำนาจของตระกูลซูอ่อนแอลง!
หัวใจของนางเต้นไม่เป็นส่ำ!
นางเงยหน้าขึ้นทันที แล้วหันไปมองใบหน้าซีดเผือดของบุตรสาวสุดที่รัก
ต่อให้ในใจนางปฏิเสธที่จะยอมรับผลลัพธ์นี้ แต่นางจำเป็นต้องคิดหาวิธีปกป้องและช่วยเจียวเอ๋อร์เอาไว้ให้ได้!
เป็นที่รู้กันว่าเส้นทางอนาคตของบุตรสาวนางนั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด นางจะมาพ่ายแพ้ให้กับแผนการของเด็กสาวคนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินซูก็คำนับศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง พร้อมกับหันหน้าไปหาอดีตฮ่องเต้ ก่อนจะกล่าวว่า ”อดีตฮ่องเต้เพคะ พระองค์ทรงกริ้วเพราะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น แต่เรื่องที่ว่านั้น มีใครบ้างหรือที่เห็นบุตรสาวของหม่อมฉันยุยงคนอื่น มีหลักฐานอะไรหรือไม่เพคะ” หลังจากพูดจบ ฮูหยินซูก็หันไปทางเสิ่นเวินหว่าน แล้วมองหน้านาง ”คุณหนูเสิ่น ตระกูลซูของข้าไม่เคยมีความเคียดแค้นชิงชังอันใดกับเจ้ามาก่อน อีกทั้งไม่ต้องถามก็รู้ว่าเราสองตระกูลนั้นใกล้ชิดสนิทสนมกันดี เจ้ากระทำความผิดลงไป แต่ทำไมอดีตฮ่องเต้ถึงตรัสว่าเจ้าถูกบุตรสาวของข้ายุยงปลุกปั่นเล่า”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เสิ่นเวินหว่านก็ตกใจจนตัวสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าฮูหยินซูกำลังบีบนางอยู่
บีบให้นางเอ่ยปากพูดหลังจากไตร่ตรองสถานการณ์ในเวลานี้ให้ดีเสียก่อน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่ตระกูลเสิ่นสามารถปีนขึ้นมาอยู่ในระดับนี้ได้ก็เพราะอาศัยตระกูลซู
เจตนาของฮูหยินซูนั้นชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ตระกูลซูสามารถทำให้ตระกูลเสิ่นผงาดขึ้นมาได้ พวกเขาก็สามารถทำให้ตระกูลเสิ่นตกต่ำไปอยู่ใต้โคลนตมได้เหมือนกัน อาจจะตกต่ำจนถึงขั้นสูญสิ้นตระกูลเลยก็เป็นได้!
เสิ่นเวินหว่านระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น ทันใดนั้นดวงตาของนางก็ดิ่งวูบ เสียงของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ”ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นฝีมือของข้าเอง ไม่มีใครยุยงข้าแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างเป็นเพราะนังเด็กไร้ยางอายผู้นี้ หน้าตาก็ไม่ได้ดีอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่กระนั้นกลับยังเที่ยวเข้าหาคนนั้นทีคนนี้ทีไปทั่ว ไม่เว้นแม้กระทั่งคุณชายเฮยเจ๋อ น่าสะอิดสะเอียนเสียจนข้าอยากจะอาเจียน หากไม่มีใครสักคนสั่งสอนบทเรียนให้แก่คนประเภทนี้ หัวใจข้าก็คงไม่อาจอยู่อย่างสงบได้แน่
ข้าเพียงแต่ประเมินความร้ายกาจของใครบางคนเอาไว้ต่ำเกินไป ต่อหน้านั้นนางดูเหมือนจะยอมรับเจตนาดีของข้า เปิดใจยอมรับข้า แต่ความจริงแล้ว นางก็ยังระวังตัวจากข้าอยู่ตลอดเวลา และสุดท้ายก็เป็นข้าเองที่อ่อนต่อโลกเกินไป พวกท่านจะจับข้าไปประหาร หรือลงโทษอย่างไรก็ทำตามที่ต้องการเถิด!”
“เจ้านำไม้มนต์ดำมาใช้เพราะความอิจฉาหรือ” ฮูหยินซูเห็นแสงสว่างทันที ไม่รู้ว่านางตั้งใจหรือไม่ แต่สายตาของนางก็ตวัดไปมองทางเฮยเจ๋อ ”สรุปว่าคนที่เจ้าชอบก็คือคุณชายรองของตระกูลเฮยนี่เอง”
สีหน้าของเฮยเจ๋อไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่เขามองภาพนี้
ในเวลานั้นศีรษะของเสิ่นเวินหว่านก็พลันก้มลงต่ำยิ่งกว่าเดิม นางมองหินปูพื้นเปรอะหยดน้ำตาตรงหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย
ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางเข้ามาในเมืองหลวง นางก็ตกหลุมรักคุณชายเฮยเจ๋อที่สามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่ามันจะเป็นปัญหาอะไรก็ตาม
นางรู้ดียิ่งกว่าใครว่าภรรยาในอนาคตของเขานั้น ถ้าไม่ได้มาจากตระกูลขุนนาง ก็จะต้องมาจากตระกูลเจ้าเมืองสักเมือง
แน่นอนว่าฐานะทางตระกูลของนางย่อมเหมาะสมกับเขายิ่งนัก
แต่ที่งานเลี้ยงน้ำชาครั้งนั้น ฮูหยินซูมองความคิดของนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จากนั้นก็บอกกับนางว่าช่วงนี้ท่านปู่เฮยกำลังรีบร้อนหาภรรยาให้กับคนคนนั้นอยู่ ตราบใดที่นางสามารถทำงานนี้ให้สำเร็จได้ ไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่การงานของบิดานางเท่านั้นที่จะก้าวหน้า แต่ความปรารถนาของนางที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฮยก็จะพลอยสมปรารถนาไปด้วย
แต่ระหว่างการเดินทางมายังวัดหลิงอิ่นครั้งนี้ ในที่สุดนางก็ค้นพบว่าต่อให้นางปีนขึ้นไปสูงเพียงใด ในสายตาของคนคนนั้นก็ไม่เคยมีเงาสะท้อนของนางอยู่เลยแม้แต่ครั้งเดียว!
ทำไมกัน!
ถ้านางพ่ายแพ้ให้กับคนอื่น นางก็ยังพอที่จะยอมรับได้!
เด็กสาวหน้าตาอัปลักษณ์ที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูล ไร้ซึ่งพลัง ไร้ซึ่งอิทธิพล กระทั่งใบหน้านั้นของนางก็ทำให้ใครๆ ต่างก็รู้สึกกินอะไรไม่ลง แต่นางกลับสามารถมีพื้นที่พิเศษภายในใจของคนคนนั้นเสียได้
นางปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องนั้น!
นางคิดว่าตราบใดที่นางสามารถกำจัดเด็กสาวหน้าตาอัปลักษณ์คนนี้ออกไปได้ นางก็จะมีโอกาส
แต่คาดไม่ถึงว่าความหวังทั้งหมดนั้นกลับกลายเป็นเพียงแค่ความฝัน
ตอนนี้นางตื่นขึ้นจากความฝันอันงดงามนั่นแล้ว
เขาคงจำเด็กสาวที่เขาเคยยื่นแขนมาช่วยประคองตอนอยู่ในงานเลี้ยงน้ำชาไม่ได้อีกแล้ว
เวลาที่เขามองนางยามนี้ ในดวงตาของเขามีเพียงแต่ความเกลียดชัง และนั่นทำให้นางหวังจากใจว่าทุกอย่างนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง!
เสิ่นเวินหว่านไม่เคยรู้สึกเสียใจเท่านี้มาก่อน นางตัวสั่นระหว่างรอรับการลงโทษจากอดีตฮ่องเต้!
ตรงกันข้าม ฮูหยินซูกลับพอใจยิ่งนักที่เสิ่นเวินหว่านมองภาพใหญ่ออก นางเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยว่า ”อดีตฮ่องเต้เพคะ ตอนนี้ทุกอย่างก็กระจ่างชัดแล้ว สิ่งที่ทำให้คุณหนูเสิ่นทำเรื่องที่นางไม่ควรทำลงไปก็คือความอิจฉาริษยากันในหมู่เด็กๆ นี่เอง”
อดีตฮ่องเต้ไม่พูดอะไร พร้อมกันนั้นดวงตาของเขาก็หลุบลง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงแค่ยิ้ม นางไม่คิดอยู่แล้วว่าฮูหยินซูจะล้มลงได้เพียงเพราะเรื่องแค่นี้ หากมันง่ายดายถึงเพียงนั้น นางก็คงไม่ก่อตั้งเวยเจ๋อขึ้นมา
นางรู้ความสามารถในการวางแผนของฮูหยินซู และฐานะของตระกูลซูภายในราชสำนักดีกว่าใคร
ต่อให้เหตุการณ์นี้ชี้เป้าไปที่ฮูหยินซูโดยตรง เสิ่นเวินหว่านก็จะไม่ยอมรับสารภาพออกมาว่าเป็นนางอยู่ดี เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนแล้ว
เพราะในจักรวรรดิจ้านหลงแห่งนี้ สี่ตระกูลใหญ่มีอำนาจล้นฟ้า และนั่นทำให้เสิ่นเวินหว่านกังวลว่าหลังจากนางพูดความจริงออกไป ตระกูลเสิ่นจะถูกกวาดล้าง
ฮูหยินซูเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังรู้จักใช้อำนาจกดขี่ผู้อื่นอีกด้วย
แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือเพราะจุดนี้นี่เองที่จะทำให้อดีตฮ่องเต้นำปัญหาพวกนี้มาใส่ใจยิ่งกว่าที่เคย!
อำนาจที่เริ่มเข้ามาครอบงำราชวงศ์ได้เช่นนี้ มีหรือที่อดีตฮ่องเต้จะยินยอม
สิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการนั้น แท้จริงแล้วก็คือผลลัพธ์ที่ว่านี้ต่างหาก!
ในอนาคตหากนางต้องการที่จะงัดข้อนำเอาตระกูลเฮ่อเหลียนกลับคืนมา นางจะต้องรับมือกับสี่ตระกูลใหญ่
นางจะทำสำเร็จด้วยกำลังของตัวเองเพียงคนเดียวได้อย่างไร
ความเป็นไปได้เดียวที่มี คือการที่นางจำต้องดึงเอาอดีตฮ่องเต้มาเป็นพวกเดียวกับนาง…
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น เมื่อนางสบเข้ากับดวงตาพินิจพิเคราะห์ของอดีตฮ่องเต้ นางก็ถึงกับตัวแข็งไปทันที
ดูเหมือนนางจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางลืมไปเสียสนิทเลยว่าอดีตฮ่องเต้เองก็น่าจะมองจุดประสงค์ของสิ่งที่นางทำลงไปออกด้วยเช่นกัน
เหมือนอย่างคำกล่าวที่ว่า ประสบการณ์ของฮ่องเต้พระองค์นี้ หากเทียบกับนางแล้วก็เหมือนคนที่กินเกลือมามากกว่าที่นางกินข้าวเสียอีก เขาจะมองไม่เห็นตอนจบที่หักมุมของเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร
แต่สิ่งที่ทำให้นางงุนงงคือท่าทางของอดีตฮ่องเต้ที่มีต่อเหตุการณ์นี้ต่างหาก
อดีตฮ่องเต้มองใบหน้าเล็กๆ สีคล้ำดูไร้อารมณ์นั้น และรู้สึกว่ามันช่างคล้ายคลึงกับหลานชายคนที่สามของตัวเองยิ่งนัก หัวใจของเขาอ่อนยวบในทันที เขาคิดว่าอย่างไรเสียเขาก็คงไม่สามารถห้ามปรามเจ้าหลานชายเย็นชาผู้แสนเด็ดเดี่ยวคนนั้นได้อยู่ดี ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มพูด เจ้าเด็กน้ำแข็งก็มายืนอยู่ข้างเขา พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเป็นบางครั้ง เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจ
เขาอายุมากถึงเพียงนี้แล้ว ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นก็ล้วนแต่ทำเพื่อคนรุ่นหลังทั้งสิ้น ในเมื่อหลานชายคนโปรดได้ตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้เขาจะคัดค้านเพียงใดก็คงไร้ผล ดังนั้นเขาควรจะทำตามการตัดสินใจของอีกฝ่าย
ในเวลานี้ เขาแอบมีความหวังเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นว่าเจ้าเด็กน้ำแข็งนั่นปรารถนาที่จะแต่งงานกับเด็กสาวคนนี้ด้วยใจจริง ไม่ได้ทำเช่นนี้เพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงแต่อย่างใด…