องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 196 ตบหน้าฮูหยินซู
เสียงสองเสียงดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
เสียงหนึ่งเป็นของเฮ่อเหลียนเวยเวย มันฟังดูเกียจคร้าน บนริมฝีปากของนางมีรอยยิ้มปรากฏอยู่
อีกเสียงหนึ่งเป็นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขายืนตรงพร้อมกับเอียงศีรษะเล็กน้อย ใบหน้าเรืองแสงสีเงินนั้นดูราวกับประติมากรรมน้ำแข็งอันสมบูรณ์แบบ เขาพับแขนเสื้อของตนขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อน พร้อมกับกระตุกมุมปากข้างหนึ่งของตนขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชาอันน่าหลงใหล น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าฟังดูเย้ายวน แต่ก็ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าองค์ชายสามจะพูดประโยคเดียวกันกับนาง นางชำเลืองมองเขา
แต่องค์ชายสามกลับมีท่าทีเฉยชา และทำเพียงหันมาประจันหน้ากับนางพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
กลับเป็นเจ้าอาวาสฟางจ้างเสียอีกที่ถึงกับต้องถลึงตามอง เขาบอกแล้วอย่างไรว่าเด็กสาวคนนี้กับเจ้าเด็กตัวเหม็นนี่นิสัยค่อนข้างคล้ายกันเลยทีเดียว!
ดูสิ แม้กระทั่งทางออกที่พวกเขาเสนอขึ้นก็ยังเหมือนกันจนน่าตกใจ!
อดีตฮ่องเต้เองก็มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงหัวเราะออกมา ”เช่นนั้นก็ทำตามที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเสนอก็แล้วกัน ให้ฮูหยินซูรับโทษแทนบุตรสาวของนาง”
“อดีตฮ่องเต้ทรงพระปรีชายิ่งนักเพคะ” ไม่น่าแปลกใจเลยที่เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปทำความเคารพเขาด้วยความนับถือ
ซูเหยียนโม่กำนิ้วของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์แน่น แสงในดวงตาของนางวาววับไปด้วยความเกลียดชัง การให้นางซึ่งเป็นถึงฮูหยินของเสนาบดีตำแหน่งใหญ่โตต้องมาถุูกควบคุมตัวอยู่ในวัด สวดมนต์ และงดทานเนื้อสัตว์เช่นนี้ หากไม่เรียกว่าเป็นเรื่องที่น่าขายหน้า และน่าอัปยศอดสูแล้วจะให้เรียกว่าอะไรได้อีก!
นางฝืนบังคับให้ตัวเองทำตัวสุขุมเข้าไว้ พลางหันไปทางอดีตฮ่องเต้ และกำลังจะอ้าปากพูด
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับขัดนางขึ้นมาก่อนว่า ”ฮูหยินซูคงไม่ได้มีการประลองให้ต้องเข้าร่วมด้วยหรอกใช่ไหม”
ซูเหยียนโม่หายใจเข้าอย่างช้าๆ มุมปากของนางแข็งทื่อ ”ไม่มี”
นังเด็กเหลือขอนี่จงใจใช้คำพูดที่นางเพิ่งจะพูดออกไปมาขัดขวางนาง นางอายุมากถึงเพียงนี้แล้ว จะไปมีการประลองให้เข้าร่วมได้อย่างไรกัน!
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำเหมือนมองไม่เห็นความเดือดดาลของฮูหยินซู แล้วพูดต่อว่า ”ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การให้ผู้เป็นแม่ชำระหนี้แทนลูกสาวก็ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนัก นางกัดฟันแน่นจนปวดหนึบ นางอยากจะรวบรวมพลังปราณทั้งหมดในร่างและพุ่งเข้าไปฆ่าเฮ่อเหลียนเวยเวยยิ่งนัก!
แต่เบื้องหน้านั้นนางกลับทำได้เพียงแค่คว้ามือของฮูหยินซูเอาไว้ และส่ายศีรษะไปมาเท่านั้น ”ข้าจะให้ท่านแม่ถูกลงโทษแทนข้าได้อย่างไรเจ้าคะ คนที่ผิดย่อมเป็นข้าอยู่แล้ว”
ดวงตาทั้งสองข้างของนางแดงก่ำ ขนตาของนางลู่ลงเพราะหยดน้ำตา แม้จะมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น แต่ภาพนี้ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกลำบากใจที่จะทนดูอยู่เฉยได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เล่นละครอีกแล้ว
แต่ในเมื่อเรื่องดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้นางแสดงละครมากเพียงใด นางก็ไม่อาจปิดบังความจริงที่ว่านางเป็นคนจิตใจชั่วร้ายได้อีกต่อไป ทุกคนไม่ใช่คนโง่ หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทุกคนก็คงพอที่จะรู้แล้วว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ย่อมไม่ใช่คนหัวอ่อนหรือใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่ภายนอกของนางแสดงให้เห็น
แต่แน่นอนว่ามีหลายคนที่ยังถูกหน้าตาของนางทำให้หน้ามืดตามัว โดยเฉพาะคนจำพวกที่รู้สึกใจอ่อนกับสาวงามอย่างง่ายดาย เช่นบรรดาคุณชายเหล่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยจัดคอเสื้อของตน และเอียงศีรษะพร้อมกับหัวเราะ ”เช่นนั้นน้องสาวคงหมายความว่าเจ้าต้องการเป็นคนที่อยู่ในวัดแห่งนี้แทนใช่หรือไม่ ช่างกตัญญูจนข้ารู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ”
“ข้า…” ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เปลี่ยนสีระหว่างที่นางกระอักกับคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางกัดริมฝีปากของตนจนขึ้นสี ทำได้เพียงกัดฟันกรอดด้วยความโกรธเกลียดเท่านั้น
จุดประสงค์ของนางจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร สิ่งที่นางต้องการคือการบีบน้ำตาสักเล็กน้อยจนกระทั่งมีใครบางคนช่วยร้องขอความเมตตาแทนแม่ลูกอย่างพวกนางต่างหาก อย่างไรเสียบรรดาคนที่ยืนอยู่ที่นี่ก็ล้วนแต่เป็นคุณชายของตระกูลขุนนางจากเมืองหลวง คนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลซูเองก็มีไม่น้อย หากพวกเขายอมอ้าปาก อดีตฮ่องเต้ก็น่าจะยอมคิดทบทวนเรื่องนี้ใหม่
แต่ก่อนที่ใครจะทันได้อ้าปากส่งเสียง นังคนชั้นต่ำนี่กลับช่วงชิงหนทางหนีที่นางควรมีไป
คราวนี้ นางไม่รู้แล้วว่าต้องทำเช่นใดดี
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำมือแน่นด้วยความสับสน แล้วหันไปมองซูเหยียนโม่ ”ท่านแม่…”
ซูเหยียนโม่หลับตาแน่น หลังจากชั่งน้ำหนักทั้งผลได้และผลเสียในใจเสร็จสรรพ นางจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
บุตรสาวคนนี้ของนางสำคัญต่อสี่ตระกูลใหญ่
สักวันหนึ่งนางย่อมได้เป็นใหญ่เป็นโต
หากวันนี้นางต้องถูกลงโทษละก็ ฮูหยินซูกลัวว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะไม่สามารถล้างความรู้สึกอัปยศที่ตนได้รับในวันนี้ไปได้ตลอดชีวิต
อีกอย่างหนึ่ง ตัวนางเองก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ดังนั้นต่อให้ในภายภาคหน้านางต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ต้องรู้สึกราวกับถูกหนามทิ่มแทงเนื้อหนังทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องในวันนี้ แต่มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ตราบใดที่ตระกูลซูแข็งแกร่งพอ ต่อให้มีข่าวลือหนาหูเพียงใด ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะพูดเรื่องพวกนั้นต่อหน้านาง เหมือนกับตอนที่นางจัดการกับนังคนขี้แพ้ตระกูลเฮ่อเหลียนคนนั้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ในท้ายที่สุดแล้วซูเหยียนโม่ก็ยังเลือกที่จะช่วยบุตรสาวสุดที่รักของนางอยู่ดี นางก้มหน้าลงอย่างเจียมตัว แต่เจตนาของนางกลับชี้ชัดในคำพูด ”ที่เจียวเอ๋อร์โตขึ้นมาเป็นคนเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนแต่เกิดจากความล้มเหลวของข้าผู้เป็นมารดาที่ไม่อาจสั่งสอนให้นางรู้ได้ว่าใจคนเรานั้นยากแท้หยั่งถึงอยู่แล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวย ถ้าเจ้าไม่ยินยอมที่จะยกโทษให้กับข้า เช่นนั้นก็ขอให้ข้ารับความผิดครั้งนี้แทนนางเถิด”
เบื้องหน้านั้นคำพูดพวกนี้ฟังดูเหมือนแสดงให้เห็นว่านางตระหนักถึงความผิดของตนได้แล้ว แต่ถ้าคนที่ไม่รู้สถานการณ์มาได้ยินเข้า พวกเขาก็คงรู้สึกว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยช่างแล้งน้ำใจยิ่งนัก ถึงได้ยืนกรานที่จะลงโทษเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เช่นนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเย็นชา ดวงตาของนางจดจ้องอยู่กับใบหน้าของซูเหยียนโม่ และพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ”ฮูหยิน ข้าคิดว่าท่านคงจะเข้าใจสถานการณ์ผิดไป ประเด็นในเวลานี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ว่าหัวใจของคนเรานั้นยากแท้หยั่งถึง แต่มันอยู่ที่การกระทำอันไร้เกียรติยศศักดิ์ศรี อย่างความพยายามจัดฉากใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นของน้องสาวต่างหาก ฮูหยินซูพูดเช่นนั้นออกมาเพราะท่านรู้สึกว่าอดีตฮ่องเต้ทรงตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมหรือ”
“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้นอยู่แล้ว” นิ้วของซูเหยียนโม่เกร็งแน่น นางเห็นสายตาที่อดีตฮ่องเต้มองมายังนาง และกลัวว่าหากพูดผิดไปแม้แต่คำเดียว อดีตฮ่องเต้ก็อาจจะหาเหตุผลอื่นมาเพิ่มโทษของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อีกก็เป็นได้ ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่น นางจึงทำได้เพียงแสดงท่าทีอ่อนโยนต่อหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยเพื่อปกป้องบุตรสาวสุดที่รักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ”สิ่งที่ข้าต้องการพูดก็คือครั้งนี้เจ้าจะกล่าวโทษข้ากับน้องรองของเจ้าว่าทำผิดก็ได้ แต่อย่างไรพวกข้าก็ยังเห็นเจ้าเป็นครอบครัวอยู่ดี”
หลังจากพูดจบ ซูเหยียนโม่ก็รู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรง
แต่มันมีทางเลือกอื่นด้วยหรือ!
มันไม่มีทางเลือกอีกแล้ว!
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางสามารถทำได้!
นางนึกไม่ถึงเลยว่านังเด็กเหลือขอนี่จะฉลาดและมีวาทศิลป์ถึงเพียงนี้!
นึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้ว แม้แต่นางก็ยังถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนมาจนถึงจุดที่ไม่อาจเดินหน้าหรือถอยหลังได้
หากก่อนหน้านี้นางรู้ว่านังเด็กเหลือขอนี่จะพยายามดิ้นรนต่อสู้กับโชคชะตาของตัวเองเช่นนี้แล้วละก็ ตอนนั้นนางก็คงไม่หมายตาสายเลือดเฮ่อเหลียนที่ไหลเวียนอยู่ในตัวนางเพียงเล็กน้อยนี่หรอก เพราะการไว้ชีวิตเฮ่อเหลียนเวยเวย นางถึงได้ล้มเหลวในการถอนรากถอนโคนคนตระกูลนี้ นางแค่ทำให้อีกฝ่ายใช้พลังปราณไม่ได้ และทำลายเส้นลมปราณไปเท่านั้น ด้วยคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กลายเป็นขยะจะยอมใช้ชีวิตอยู่กับพวกนางอย่างสงบเสงี่ยม จนถึงวันที่เจียวเอ๋อร์จำเป็นต้องทะลวงผ่านขั้นพลังปราณ หากใช้วิธีนี้ พวกนางก็จะสามารถนำเลือดตระกูลเฮ่อเหลียนออกมาจากร่างพิกลพิการนี้ได้ทุกเมื่อที่จำเป็น เพื่อช่วยให้เจียวเอ๋อร์สามารถทะลวงปราณได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
แต่ดูตอนนี้สิ นางไม่ควรไว้ชีวิตคนที่มันทำให้พวกนางต้องรู้สึกคับแค้นใจเช่นนี้เอาไว้เลยด้วยซ้ำ นางน่าจะวางยาพิษฆ่านางซะ ใช้วิธีเดียวกันกับที่เคยวางยาพิษฆ่าคนชั้นต่ำอย่างแม่ของนาง แล้วปล่อยให้นางตายตกตามแม่ของตัวเองไป!
สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดลงที่ดวงตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยความชั่วร้ายของซูเหยียนโม่ จากนั้นนางก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ ”ฮูหยิน ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยกล่าวโทษพวกท่านเสียหน่อย”
ข้าเกลียดชังท่านต่างหาก ข้าอยากจะแล่เนื้อเถือกระดูกของท่าน เผามันให้เป็นเถ้าถ่านแล้วนำไปสังเวยให้กับดวงวิญญาณของคนที่ซื่อสัตย์ภักดีนับพันนับหมื่นที่พวกท่านเคยเข่นฆ่าเพื่อช่วงชิงตระกูลเราไป!
“ฮูหยินดูแลข้ามาเป็นเวลานาน ข้ายังต้องการที่จะตอบแทนบุญคุณของฮูหยินอยู่”
วิธีการที่ท่านทำให้ท่านแม่ของข้าโกรธจนล้มป่วยลงอย่างหนักในวันนั้น ข้าจะให้ท่านได้ลิ้มรสรสชาติเดียวกันอย่างสาสม!
“แต่พอท่านพูดถึงเรื่องยกโทษหรือไม่ยกโทษขึ้นมาเช่นนั้น”
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการทำให้สิ้นหวัง ข้าจะทำให้ท่านต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก โดยไม่ต้องเปิดโปงความจริง และกระชากหน้ากากของพวกท่านออกมา ทำแค่นี้มันจะคุ้มกับความอัปยศอดสูที่ท่านมอบให้ข้ามาตลอดหลายปีนี้ได้อย่างไร!
“ข้าคงจะถูกท่านมองว่าเป็นคนอื่นคนไกลไปแล้วกระมัง”
นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ข้าเพิ่งจะได้ตบหน้าท่านไปแค่ครั้งเดียว เพิ่งจะได้ทำลายชื่อเสียงของท่านไปแค่ครั้งเดียว มันจะไปพอได้อย่างไร
สิ่งที่ข้าต้องการคือการให้ตระกูลซูของท่านชำระหนี้เลือดต่างหาก!
รอดูเถอะ รอให้ข้าเลื่อนฐานะขึ้นไปทีละขั้น จนควักไส้ตระกูลซูของท่านออกมาให้ได้เสียก่อน สีหน้าของท่านในเวลานั้นคงจะน่ามองมิใช่น้อยอย่างแน่นอน…