องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 197 พระชายาตัวจริงคือใครกันแน่
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ถูนิ้วเข้ากับปลายนิ้วอันหยาบกร้านของตนอย่างรวดเร็ว นางหันไปมองใบหน้าติดจะแข็งกระด้างของซูเหยียนโม่ แล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา
ไม่ว่าในใจของซูเหยียนโม่จะเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังมากแค่ไหน แต่นางก็ทำได้เพียงข่มมันเอาไว้ และยกมุมปากของตนขึ้นเล็กน้อย รอให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น โชคยังดีที่อดีตฮ่องเต้ยอมรับฟังคำพูดของนาง ไม่ว่าสถานการณ์ในเวลานี้จะดูย่ำแย่เพียงใด แต่อย่างไรบุตรสาวสุดที่รักของนางก็ยังเป็นคนที่ทุกคนให้การสนับสนุน อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะที่มีโอกาสได้เป็นพระชายาขององค์ชายสามมากที่สุด
นางเชื่อว่าอดีตฮ่องเต้เองก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีเช่นกัน
ในจักรวรรดิจ้านหลงนั้น ต่อให้คนเราจะฉลาดเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ เพราะมีเพียงคำพูดของผู้ที่มีพลังปราณสูงเหนือกว่าผู้อื่นเท่านั้นที่มีค่าพอให้รับฟัง
ไม่ช้าก็เร็ว นังเด็กเหลือขอนั่นจะต้องได้ชดใช้ในทุกสิ่งที่ทำลงไปวันนี้!
นางไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
ซูเหยียนโม่ก้มหน้าลงนับสร้อยลูกประคำในมือ แล้วเดินตามสามเณรไปยังที่พักที่อยู่ไกลจากตัววัดที่สุด
โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้ค้างคืนในวัด ด้วยเกรงว่ามันจะทำให้ความบริสุทธิ์ของวัดเกิดรอยด่างพร้อยได้
แต่วัดหลิงอิ่นนั้นแตกต่างจากวัดอื่นตรงที่วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงในฐานะวัดของราชวงศ์ ดังนั้นคนที่เดินทางมาไหว้พระขอพรที่วัดแห่งนี้ทุกปีจึงมีทั้งคนจากราชวงศ์ และผู้มีเส้นสายทรงอิทธิพลอีกจำนวนหนึ่ง ในจำนวนนั้นย่อมมีบรรดาผู้หญิงที่ไม่สามารถลงจากภูเขาได้รวมอยู่ด้วย เพราะการลงจากเขาเวลากลางคืนนั้นนับว่าอันตรายเกินไป ดังนั้น ทางวัดจึงมีที่พักซึ่งอยู่ห่างไกลจากตัววัดที่สุดแห่งหนึ่งถูกจัดเตรียมเอาไว้สำหรับพวกนาง
เพียงแต่ที่พักแห่งนี้ออกจะดูเปล่าเปลี่ยวเกินไปหน่อย การตกแต่งภายในนั้นเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับตำหนักเย็นที่เย็นยะเยือก
ข้อดีอย่างเดียวที่พอรับได้คือในห้องนี้ไม่มีกลิ่นแปลกปลอมแต่อย่างใด
แต่ความเรียบง่ายนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ซูเหยียนโม่ไม่อาจทนรับไหว ตั้งแต่เด็กจนโต นางก็เป็นเหมือนกิ่งไม้ทองคำที่ได้รับการประคบประหงมมาเป็นอย่างดี แม้กระทั่งหลังจากนางขโมยเฮ่อเหลียนกวงเย่ามาเป็นของตัวเอง นางก็ยังได้รับการเอาอกเอาใจและเป็นที่เคารพนับถือไม่ได้ขาด แม้แต่ภายในแวดวงสังคมของบรรดาผู้มีอิทธิพลเองก็ใช่ มีขุนนางหรือชนชั้นสูงคนใดบ้างหรือที่ไม่ประจบเอาใจนาง
แต่ตอนนี้นางกลับถูกสั่งให้ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่แย่กว่าห้องเก็บฟืนเสียอีก ความเกลียดชังที่ซูเหยียนโม่เพิ่งจะระงับเอาไว้ได้จึงพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง!
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มาพร้อมกับท่านแม่ของนาง หลังจากที่นางเห็นบ้านหลังนั้น นางก็เผลอเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากและจมูกของตนอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นนางก็ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อของซูเหยียนโม่ ”ท่านแม่เจ้าคะ กลับไปหาท่านตากันเถอะ บอกให้เขารีบเข้าวังเพื่อยื่นหนังสือกราบทูลดีกว่าเจ้าค่ะ! คนเราจะมาอยู่ในบ้านหน้าตาเช่นนี้ได้อย่างไร! ไม่ได้นะคะท่านแม่ ท่านจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้!”
“ถ้าข้าไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องอยู่” ฮูหยินซูมองนาง จากนั้นจึงแกะมือของนางออก แล้วปิดประตูไม้ตามหลังเบาๆ ก่อนที่ความชั่วร้ายซึ่งอยู่ลึกลงไปในดวงตาของนางจะเผยออกมา ”เวลานี้ท่านตาของเจ้ากำลังพยายามอยู่กับการหาช่องทางนำอำนาจทางการทหารมาไว้ในมือ เขาจำเป็นต้องหว่านล้อมและตบตาฮ่องเต้ให้ดี ไม่อาจทำผิดพลาดได้แม้แต่ก้าวเดียว การให้เขายื่นหนังสือกราบทูลเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้อดีตฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยได้”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำมือทั้งสองข้างของตนแน่น ”เช่นนั้นควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ หรือท่านแม่อยากจะอยู่ที่นี่จนถึงเดือนหน้าจริงๆ!”
“แม่แค่ต้องหาวิธีไปจากที่นี่ก่อนจะถึงหนึ่งเดือนแทนเจ้าเท่านั้น”
ฮูหยินซูมองนาง ในดวงตาของนางมีความเย็นชาปรากฏขึ้นเล็กน้อย ”แม่บอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้วว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เวลาที่อยู่หน้าคนอื่น เจ้าจะต้องทำตัวให้น่าสงสารจนถึงที่สุด และห้ามให้นิสัยที่แท้จริงของตนเองปรากฏออกมาได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเจ้าก็ปฏิบัติตามได้เป็นอย่างดี แม่ถึงไม่ได้สอนสั่งอะไรเจ้าอีก แต่วันนี้ เจ้าเกือบทำให้แม่แทบจะอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ได้!”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก้มหน้างุด พร้อมกับเม้มริมฝีปากสีแดงแน่น ”ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” พอพูดจบ นางก็กัดฟันอย่างแรง ”เพราะนังคนชั้นต่ำนั่นมันน่ารังเกียจยิ่งนัก ดูคำพูดที่นางพูดออกมาสิเจ้าคะ คำพูดพวกนั้นไม่ได้แค่พุ่งเป้ามาหาลูก แต่ยังพุ่งเป้าไปหาท่านแม่อีกด้วย นางทำให้พวกเราต้องตกอยู่ในสภาพนั้นต่อหน้าทุกคน ข้าไม่มีทางปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปเช่นนี้แน่!”
“น่าประหลาดใจยิ่งนักที่นังเด็กเหลือขอนั่นโตมาเป็นคนเช่นนี้ได้” ซูเหยียนโม่ยื่นมือออกไปสัมผัสหลังฝ่ามือของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ”เจ้าอย่ากังวลไปเลย อารมณ์นางฉุนเฉียวถึงเพียงนั้น นางไม่มีทางได้พบจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน การประลองยุทธ์ใกล้จะมาถึงแล้ว ท่านพ่อของเจ้าก็น่าจะบอกไปแล้วนี่ว่าเจ้าต้องทุ่มเทความสนใจของตนให้กับเรื่องนี้ เจียวเอ๋อร์ เจ้าต้องเข้าใจนะว่าภายในจักรวรรดิจ้านหลงนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฐานะทางตระกูลและพลังปราณ ไม่ว่านังเด็กเหลือขอนั่นจะกระเสือกกระสนเพียงใด นางก็ไม่อาจทำให้เกิดผลลัพธ์อันใดขึ้นมาได้ ตอนนี้ชื่อของนางก็ถูกตัดออกจากตระกูลแล้ว หากนางไม่มีฝีมือหรือความสามารถอย่างแท้จริงล่ะก็ นางย่อมไม่มีทางเข้าร่วมการชุมนุมใดๆ ได้อีก แต่เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือว่าในระหว่างการทดสอบที่สำนักครั้งนี้ นางไม่กล้าแม้กระทั่งจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสาขาพลังปราณเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าการที่นางสามารถสร้างอาวุธได้นั้นย่อมเป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงดังว่า แต่ตราบใดที่นางไม่มีพลังปราณ เช่นนั้นสิ่งที่นางสร้างก็ไม่อาจได้รับการยอมรับจากบรรดาผู้อาวุโส ต่อให้นางเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของท่านปรมาจารย์ แต่นางก็ยังทำได้เพียงแค่มองเศษเหล็กพวกนั้นไปวันๆ เท่านั้น นั่นคือโชคชะตาของนาง ดังนั้น เจียวเอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำให้มือของตัวเองต้องแปดเปื้อนเพื่อคนเหลือขอเช่นนี้หรอก รอจนว่าเจ้าจะเป็นผู้ชนะในการประลองยุทธ์เถอะ ใครเล่าจะรู้ว่านางจะไปอยู่ตรงไหน เจ้าเข้าใจที่แม่พูดหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พยักหน้า และกำนิ้วของนางเข้าหากันอีกครั้ง ”ลูกเข้าใจทุกอย่างที่ท่านแม่ว่ามาเจ้าค่ะ แต่ลูกจะกลืนความทุกข์ใจนี้ลงไปได้อย่างไร ลูกฝืนกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงคอไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ! หากคนที่เมืองหลวงรู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าพวกเขาจะชี้หน้าเราสองแม่ลูกอย่างไร”
“เพราะอย่างนั้นเจ้าถึงจำเป็นต้องชนะอย่างไรเล่า!”
ซูเหยียนโม่ทอดสายตามองออกไปไกล น้ำเสียงของนางเด็ดเดี่ยว ”ท่านพ่อของเจ้าสร้างเส้นสายกับคนในเวยเจ๋อเอาไว้แล้ว เจ้ารอที่จะได้ใช้อาวุธที่ดีที่สุดบนเวทีได้เลย!”
หลังจากผ่านมาหลายวัน ในที่สุดตอนนี้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ได้ยินเรื่องที่ทำให้นางรู้สึกสบายใจได้เสียที นางยื่นมือออกไปเกาะแขนของซูเหยียนโม่ น้ำเสียงที่นางใช้พูดนั้นเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจ ”แต่ข้าได้ยินมาว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ในเมืองหลวงมีขอทานนิรนามปรากฏตัวขึ้น สร้างความเดือดร้อนจนยากที่จะรับมือได้นี่เจ้าคะ ตระกูลขุนนางทุกตระกูลล้วนแต่ได้ประมือกับเขา หากข้าต้องพบเขาในการประลองครั้งนี้ ข้าจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“ทำไมเจ้าต้องกังวลเรื่องนี้ด้วย” ซูเหยียนโม่แค่นหัวเราะ ”เจียวเอ๋อร์ เจ้าต้องจำไว้นะว่าเจ้าได้ชื่อว่าเป็นพระชายาที่กลับชาติมาเกิด แม้กระทั่งผู้อาวุโสจากสี่ตระกูลใหญ่ก็ยังจำเป็นต้องปกป้องเจ้า กับอีแค่ขอทานตัวเล็กๆ เพียงคนเดียว ท่านตาของเจ้าย่อมหาทางกำจัดเขาให้เจ้าได้อย่างแน่นอน”
เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์คิดถึงเรื่องพระชายาขึ้นมา ใบหน้าของนางก็ไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่น้อย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น แสงในดวงตาของนางกลับดำดิ่งยิ่งกว่าที่เคย แล้วพึมพำออกมาอย่างไร้ชีวิตชีวาว่า ”แต่ในปีนั้น ไม่ได้มีแค่ข้าเพียงคนเดียวที่ถูกทำนายว่าเป็นพระชายานี่เจ้าคะ ท่านแม่ไม่เคยได้ยินหรือเจ้าคะว่าในเวลานั้น พระมหาเทวะบอกว่าทั้งข้าและนังคนชั้นต่ำนั่นต่างก็มีโอกาสพอกัน”
“เจียวเอ๋อร์!” ทันใดนั้นซูเหยียนโม่ก็ตวาดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเข้มงวด สีหน้าไม่พอใจเช่นนี้ไม่เคยปรากฏบนใบหน้าของนางมาก่อน ”ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก!”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้ว่านางพูดผิดไป ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็ซีดเผือด นางสอดส่ายสายตาไปมาด้วยความประหม่า
ซูเหยียนโม่ถอนหายใจยาว แล้วยื่นมือออกไปลูบผมของบุตรสาวสุดที่รัก ”ในเวลานี้ ที่นี่มีเพียงแค่เราสองคน ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล แต่ใครเล่าจะรู้ว่ากำแพงมีหูประตูมีตาหรือไม่ เจียวเอ๋อร์ เจ้าจำไว้นะว่าในเวลานั้นคนที่พระมหาเทวะบอกว่าเป็นร่างกลับชาติมาเกิดของพระชายาก็คือเจ้า และมีแค่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น! เข้าใจหรือเปล่า”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก้มหน้า นางดูสงบปากสงบคำลงมากทีเดียว
ซูเหยียนโม่มองไปยังป่าไผ่นอกหน้าต่าง และหรี่ดวงตาอันเต็มไปด้วยความชั่วร้ายของตน ดูเหมือนว่านางคงปล่อยให้นังเด็กเหลือขอนั่นมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว…