องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 20 เกือบเจอตัวแล้วเชียว
ทุกคนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง สถานการณ์เช่นนี้มันอะไรกัน
“ไม่สนล่ะ!” เจ้าหนูหัวโล้นเคี้ยวซาลาเปาในปาก แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดแต่ก็น่าเอ็นดูว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้วก็ดี ด่านแรกที่พวกเจ้าจะต้องผ่านไปให้ได้ก็คือข้า!”
เมื่อได้ยินดังนั้น บรรดาหนุ่มสาวจากตระกูลขุนนางต่างก็พากันหัวเราะเยาะ “เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าจะมาขัดขวางพวกข้าได้อย่างไรกัน ฮ่า ๆ ๆ”
“น้องชาย เจ้ารีบกลับไปดีกว่า มือเท้าคนเรานั้นหาได้มีตาไม่” คุณหนูจากตระกูลใหญ่ทั้งหลายใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากของตน พวกนางมองหน้ากัน ขณะพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตนเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดพวกนางก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
เจ้าหนูหัวโล้นบี้ซาลาเปาจนหน้าแยกออกจากกัน แสดงให้เห็นว่าเขาจริงจังแค่ไหน “จะขวางได้หรือไม่ได้นั้น เดี๋ยวพอสู้กันแล้วก็รู้เอง!”
“เช่นนั้น ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนน้องชายสักหน่อยก็แล้วกัน” คุณชายคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มด้วยท่าทางโอ้อวด เขายื่นมือออกไป หมายจะอุ้มเจ้าหนูหัวโล้นขึ้น
แต่ทุกคนได้ยินแค่เสียงดัง “ปัง!”
เจ้าหนูหัวโล้นยกขาขึ้นสูง แล้วหมุนตัวเตะด้วยท่วงท่าอันสวยงาม ส่งให้เด็กหนุ่มจากตระกูลขุนนางผู้นั้นกระเด็นออกไปไกลลิบ!
ทุกคนเผลอกลั้นหายใจ จากนั้นเด็กหนุ่มอีกสามคนก็กรูกันเข้าไป แล้วกระโจนใส่เด็กชายหัวโล้นในทันที!
ผลลัพธ์คือทั้งสามถูกเตะกลับมาหมด…
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสองมือของเจ้าหนูหัวโล้นที่ยกขึ้น ดวงตาของนางวูบไหว ข้อมืออวบอ้วนเหมือนลูกฟักทองนั้นสวมปลอกแขนทองคำอยู่ ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านวรยุทธ์สามารถบอกได้ว่าปลอกแขนนี้มีชื่ออันไพเราะว่า “ปลอกแขนถ่วงน้ำหนัก” ปลอกแขนถ่วงน้ำหนักที่ข้อมือของเจ้าหนูหัวโล้นนั้นสามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ได้ในทันทีดูเหมือนว่าสำนักไท่ไป๋อันเลื่องชื่อแห่งนี้จะเต็มไปด้วยยอดฝีมือจริงๆ ดูถูกไม่ได้เลย
แต่ไม่มีใครรู้ว่าจู่ๆ ทำไมเจ้าหนูหัวโล้นถึงได้หยุดสิ่งที่ตนเป็นคนเริ่มไปเองเสียอย่างนั้น ดวงตากลมโตของเขาจ้องมองไปยังจุดจุดหนึ่งอย่างไม่เชื่อสายตา ใบหน้าตกตะลึงนั้นช่างดูน่ารักน่าชังเสียจริง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองตามสายตาคู่นั้นไป แต่หากนางไม่หันไปมองคงจะดีกว่า เพราะเพียงแค่เหลือบตามองแวบแรกเท่านั้น หัวใจของนางก็แทบจะกระโดดออกมานอกอก!
ให้ตายสิ เป็นชายผู้นั้นไปได้อย่างไร!
ฝูงชนเริ่มหลีกทางให้เขา
สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นก็คือขาอันเรียวยาวและสมส่วนของชายหนุ่ม เขาก้าวเท้าออกมาจากฝูงชนด้วยท่าทีผ่อนคลาย ชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะ และเส้นผมสีดำปลิวไสวอยู่ในสายลม
ดวงตาหงส์เรียวยาวคมปลาบส่องแสงวาบ แม้ไม่ได้คิดจะทำร้ายผู้ใด แต่ก็ยังอัดแน่นไปด้วยพลังอำนาจที่สามารถควบคุมบรรยากาศรอบข้างได้ เขานิ่งเงียบ ภายในดวงตาซุกซ่อนความชั่วร้ายอันลึกล้ำเอาไว้ เผยให้เห็นก็แค่เพียงความสูงส่ง และความเฉยเมยเท่านั้น
จากมุมที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ นางมองเห็นเพียงแค่ขาอันเรียวยาวและทรงพลังสองข้างของเขาเท่านั้น การแต่งกายด้วยชุดสีขาวที่ถูกสวมทับเอาไว้ด้วยชุดคลุมสีเงินอีกทีเช่นนั้นเน้นให้ช่วงเอวของเขาเด่นชัดขึ้นมา ใบหน้าอันหล่อเหลาราวรูปสลักที่แฝงไปด้วยเสน่ห์อันชั่วร้ายนั้นดูราวกับไม่ได้มาจากโลกใบนี้
กลับกัน คนที่เดินอยู่ข้างกายเขากลับมีบรรยากาศที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง คอเสื้อของชายผู้นั้นเปิดกว้าง มือวางอยู่บนไหล่ของอีกฝ่ายขณะก้าวเดินด้วยท่วงท่าอันไร้ซึ่งความหวาดกลัว แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจว่าสำนักแห่งนี้ไม่อาจทำอะไรเขาได้
คนผู้นั้นคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา แต่ชายหนุ่มไม่สนใจอีกฝ่าย เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นแม้จะงดงาม แต่กลับเฉียบคมจนเกินไป หากเปรียบดวงตาของเขากับบ่อน้ำโบราณ ตาของเขาก็คงลึกล้ำและน่าพิศวงจนยากที่จะหยั่งถึง
เฮ่อเหลียนเวยเวยตกใจ นางรีบเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้นปิดหน้า แล้วหมุนตัวไปทางซ้าย ก่อนจะหลบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“แม่นาง เจ้ากำลังหลบใครอยู่หรือ” น้ำเสียงเบื่อหน่ายของหยวนหมิงดังเข้ามาในหัวของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้มือกดหนังสือโบราณเอาไว้ แล้วทำท่าจุ๊ปาก ดวงตาสุกใสของนางหรี่ลงเล็กน้อย
[เกือบถูกจับได้แล้วไหมล่ะ!]
นางกับเขาอยู่ไกลกันขนาดนั้น แต่ชายผู้นั้นกลับยังรับรู้ถึงนางได้
นี่มันไม่ปกติแล้ว
ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวดูผิดปกติอย่างไรชอบกล โดยเฉพาะทางฝั่งขวามือของนางที่ร้างผู้คนจนน่าตกใจ
บรรดาคุณหนูจากตระกูลเหล่านั้นอุตส่าห์เสียแรงจับกลุ่มรวมตัวกันแท้ๆ แต่ทำไมพวกนางถึงเสียอาการกันได้ง่ายขนาดนี้เล่า พวกนางยืนนิ่งอยู่ด้านหนึ่ง ใบหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย ทีแรกเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อาจเข้าใจท่าทางเหนียมอายของพวกนางได้ แต่ตอนนี้นางเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ปฏิกิริยาลูกโซ่เช่นนั้นเกิดจากการปรากฏตัวของชายทั้งสองคนนี้นี่เอง นี่มันหายนะชัดๆ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจในใจ นางหาสถานที่ซ่อนตัว แล้วดูการแสดงต่อจากตรงนั้น…
ดวงตาของบรรดาคุณหนูทั้งหลายล้วนแต่เป็นประกายยามมองดูชายหนุ่มผู้หล่อเหลาสองคนตรงหน้า พวกนางสงสัยว่าทั้งสองเป็นใครมาจากไหน ทำไมพวกนางถึงไม่เคยเห็นพวกเขาตลอดการทดสอบที่ผ่านมาเลย เวลานี้พวกนางนึกอยากสั่งให้สาวใช้ที่อยู่ข้างกายไปตรวจสอบเสียเหลือเกินว่าพวกเขาเป็นนายน้อยจากตระกูลใดกันแน่
“อาเจวี๋ย เจ้ามองอะไรอยู่หรือ” หนานกงเลี่ยเดินเข้ามา แล้วถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “หรือว่าเจอ ‘เจ้าแมวน้อย’ เข้าแล้ว!”
“เปล่า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอนสายตาที่ราวกับจะมองทุกสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่งออกไป มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย กลายเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย “แต่ก็คงอีกไม่นานแล้ว…”
เจ้าหนูหัวโล้นยืนฟังบทสนทนาระหว่างชายทั้งสอง ตัวแข็งค้างอยู่เช่นนั้น เขาไม่รู้ว่าตนควรจะลงมือดีหรือไม่ สุดท้ายจึงทำได้เพียงอมซาลาเปาเอาไว้ในปาก คิ้วหนาๆ ของเขาขมวดเข้าหากันเหมือนหนอนผีเสื้อ
ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้าตะโกนออกไปอย่างโกรธเคืองว่า “ท่านอาจารย์ ข้าไม่อยากสู้แล้ว! ท่านรีบคืนมื้อเที่ยงมาให้ข้าได้แล้วขอรับ!”
เจ้าหนูหัวโล้นตะโกนออกมาพลางหันหลังกลับ แล้ววิ่งเข้าไปด้านในเหมือนเป็นหนูตัวเล็กๆ
ทุกคนมีสีหน้ามึนงง เมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ด่านแรกผ่านพ้นไปได้ด้วยความงุนงงเช่นนี้หรือ
ประตูหินเปิดออกเต็มบาน ชายสวมหมวกนักปราชญ์ยืนอยู่ที่บันไดขั้นบนสุด เขากำลังมองลงไปที่เจ้าหนูหัวโล้นอย่างไม่พอใจ ชายหนุ่มดูมีอายุมากกว่าสามสิบปี แต่กลับไร้ซึ่งริ้วรอยแห่งกาลเวลา ตรงกันข้ามเขากลับดูอ่อนกว่าวัย สุภาพ และไร้ราคี
ทุกคนเห็นภาพนี้ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาถึง แต่ไม่มีใครเดาฐานะของชายผู้นี้ออก บรรดาผู้เข้าทดสอบคิดว่าเขาเป็นด่านทดสอบที่สอง คิดได้ดังนั้นทุกคนจึงตั้งท่าเตรียมลงมือ
ชายคนนั้นยิ้ม ดวงตาของเขาเคลื่อนผ่านจากประตูไปจนถึงผู้คนที่ส่งเสียงเซ็งแซ่กันอยู่เบื้องล่าง สายตาของเขาเย็นเยียบไปถึงกระดูก “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าทุกคนเป็นศิษย์ของสำนักไท่ไป๋แล้ว ตลอดครึ่งปีการศึกษานี้ พวกเจ้าควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับระยะเวลาหกเดือนที่อยู่ที่นี่เจ้าจะทำตัวเหลวไหลก็ได้ แต่อย่าให้ข้ารู้ก็แล้วกัน”
“ชิ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน” นายน้อยจากตระกูลขุนนางคนหนึ่งทนไม่ไหว เขาพูดขึ้นเสียงดัง
ชายคนนั้นเคลื่อนสายตามาจับจ้องยังเด็กหนุ่ม แล้วยิ้มน้อยๆ เช่นเดิม “ดูเหมือนว่าคุณชายคนนี้จะไม่พอใจในตัวข้ามากทีเดียว เช่นนั้น เจ้าก็ออกไปจากที่นี่ได้เสียเถอะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ!” คุณชายคนนั้นผุดลุกขึ้นในทันที ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าพ่อข้าเป็นใคร เจ้าคนไร้มารยาท…”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ชายหนุ่มคนนั้นก็ดีดนิ้ว!
ทันใดนั้น เงาดำสองร่างก็ปรากฏกายขึ้นข้างๆ คุณชายคนนั้น
ชายหนุ่มมองสีหน้าแตกตื่นของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ว่า “ส่งตัวเขากลับไปที่จวน รายงานให้แม่ทัพจางทราบว่าคุณชายจางเป็นผู้มีความสามารถมาตั้งแต่เกิด ข้า ตู๋ซูเฟิง มิอาจสั่งสอนเขาได้”
“เป็นท่านเจ้าสำนัก!”
ในชั่วพริบตา นายน้อยจากตระกูลสูงศักดิ์ผู้นั้นก็ถูกนำตัวออกไปจากลาน
เจ้าหนูหัวโล้นกระตุกแขนเสื้อของตู๋ซูเฟิง แล้วทำปากยื่นไปทางด้านซ้าย
ตู๋ซูเฟิงมองตาม พลางหรี่ตาลง ทันใดนั้นเขาก้หัวเราะออกมาเสียงดัง สายตาเต็มไปด้วยความพอใจ “เอาล่ะ ความสนุกจบลงแล้ว ศิษย์ใหม่ในปีนี้ทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก จากนี้ไป ข้าก็ยินดีต้อนรับพวกเจ้าเข้าสู่สำนักไท่ไป๋”
ขณะที่พูดเขาก็อ้าแขนออก ต้นไม้ที่อยู่บริเวณรอบๆ ดูจะมีปฏิกิริยากับคำพูดนั้น เพราะพวกมันเริ่มขยับต่อกันเป็นทอดๆ กลีบดอกไม้ร่วงลงมาจากลำต้น จากนั้นเงาสีดำสิบร่างก็กระโดดออกมาจากจวน เหินลงไปหยุดยืนอยู่บนกิ่งไม้ ร่างทั้งสิบนั้นล้วนแต่เปี่ยมไปด้วยพลังปราณอันแข็งแกร่ง
ตามด้วยน้ำใสสะอาดที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน ราวกับพวกมันถูกสั่งให้ทะยานขึ้นบนฟ้าในรูปทรงของดอกไม้นานาชนิดจำนวนนับไม่ถ้วน
นี่มันวิชาลับของสำนักไท่ไป๋!
ในที่สุดนางก็พบสถานที่ที่จะสามารถประมือกับผู้มีฝีมือเก่งกาจได้
นางเชื่อว่าตราบใดที่นางอยู่ที่นี่ นางจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน
แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่อยู่ในเส้นเลือดของนางนั้นร้อนระอุดั่งเปลวเพลิง มันค่อยๆ เดือดพล่าน และเต็มไปด้วยความตื่นเต้น