องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 200 องค์ชายโกรธเฮ่อเหลียนเวยเวย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังจะเดินออกไปก็ชะงักฝีเท้า ดวงตาดำขลับราวกับรัตติกาลของเขาเบิกกว้าง ความเฉยชาที่เคยปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอันไม่ใช่รอยยิ้มตรงมุมปากของเขาค่อยๆ หายไปทีละน้อย
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันราวกับกำลังครุ่นคิด เส้นผมเงางามของเขาปรกลงบนใบหน้า ปิดบังดวงตาเย็นเฉียบคู่นั้นเอาไว้ ในเวลาเดียวกันนั้น ความเย็นชาราวกับปีศาจ และบรรยากาศชั่วร้ายพลันปรากฏขึ้นที่หางตาของเขา นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกอันยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้รวมอยู่ด้วย สายตานั้นทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของผู้คนได้เหมือนหนามอันแหลมคม
เจ้าอาวาสฟางจ้างคิดในใจว่าเด็กสาวที่จะได้เป็นคนรักของเจ้าเด็กตัวเหม็นช่างน่าสงสารเสียจริง
แต่เขาไม่รู้ว่าทันทีที่ประตูไม้ปิดลง มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะกำแน่นขึ้นเล็กน้อย กลิ่นอายอำมหิตหมุนวนอยู่รอบตัวเขา และหนาแน่นขึ้นทุกขณะ ทางเดินหินใต้ฝ่าเท้าดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายอันโหดเหี้ยมของเขา พวกมันส่งเสียงดัง ’กึกๆ’ อย่างต่อเนื่องราวกับจะแยกออกเป็นชิ้นๆ ได้ในวินาทีถัดมา
เขาสาวเท้าเดินทีละก้าวเข้าสู่ค่ำคืนอันกว้างใหญ่สุดสายตา ทุกครั้งที่ลมพัด ’ถัง… ถัง’ เสียงเรียกคนสกุลนั้นก็ลอยเข้ามาในหูของเขาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
จากนั้นเขาก็หมุนตัวกลับ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังห้องที่เขาไม่ควรไป
ตกดึก ฝนเพิ่งจะหยุดได้ไม่นาน สายลมต้นฤดูร้อนพัดผ่านป่าไผ่ สัมผัสเข้ากับใบหน้าของคนคนหนึ่ง และทำให้คนคนนั้นดูผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
เฮ่อเหลียนเวยเวยแหงนหน้าขึ้นระหว่างที่นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำที่ทำจากไม้ สูงขนาดครึ่งตัวคน และกำลังดื่มด่ำกับความรู้สึกผ่อนคลายจากน้ำอุ่นๆ
โดยปกติแล้วเวลาเช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจะบอกให้หยวนหมิงอยู่แต่ในมิติสวรรค์ ส่วนเสี่ยวไป๋นั้น เขายังอยู่ในระหว่างเผชิญเคราะห์สวรรค์ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงบอกให้มันเข้าสู่ภาวะหลับใหลจนกว่าการเผชิญเคราะห์สวรรค์จะผ่านพ้นไป แล้วหลังจากนั้นนางค่อยปลุกมันขึ้นมา ไม่รู้ว่าตอนที่ออกมาจะเจอสายฟ้าฟาดแบบใด
นางเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องนี้ อาจเพราะพวกนางอยู่บนภูเขา อากาศจึงบริสุทธิ์มากในยามค่ำคืน เสียงใบไม้ในป่าไผ่เสียดสีกันดัง ’ซู่ๆ’ ให้ความรู้สึกสงบสุขเป็นอย่างยิ่ง และทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยลืมไปว่านางได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพราะการคุกเข่าคำนับหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าครั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งไม้หอมแผ่นนั้น
อันที่จริงบาดแผลที่ว่าก็ไม่ได้ใหญ่นัก แต่มันสร้างความลำบากให้นางเล็กน้อยในระหว่างอาบน้ำ เวลาที่ตัวของนางโดนน้ำ บาดแผลที่เข่าก็จะเจ็บแสบขึ้นมาเล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้นัก เพราะสมัยก่อนตอนที่นางออกไปทำภารกิจ อาการบาดเจ็บที่นางเคยได้รับนั้นยังรุนแรงกว่าแผลนี้หลายเท่า อีกสักพักหลังจากนางอาบน้ำเสร็จแล้ว นางค่อยทายาก็ยังได้
บนภูเขามีความชื้นสูงเกินไป มิหนำซ้ำเสื้อผ้าที่ต้องสวมในสมัยโบราณก็ยังมีมากชิ้นจนเกินไป หากนางอยู่ที่อื่น เฮ่อเหลียนเวยเวยคงสวมเพียงแค่กางเกงกีฬาขาสั้นเท่านั้น แผลแค่นี้สามารถหายเองได้ภายในวันเดียวหากปล่อยให้โดนอากาศ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาวหวอดระหว่างที่กำลังคิดเรื่องนี้ นางถือจอกเหล้าเอาไว้ในมือ สิ่งที่นางโปรดปรานที่สุดในชาติก่อนคือการได้เอนกายในอ่างอาบน้ำขนาดสองคน พร้อมกับจิบไวน์แดง และออกคำสั่งไปด้วย บางครั้งนางก็จะหยิบแท็บเล็ตของตัวเองขึ้นมาเพื่ออ่านนิยาย
แม้ตอนนี้นางจะมาอยู่ในยุคโบราณ แต่นางก็ไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยของตนเองได้ แม้นางคงหมดหวังที่จะได้ใช้แท็บเล็ตอ่านนิยาย แต่ทิวทัศน์อันงดงามนี้ก็พอที่จะปลอบใจนางได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไป และกำลังจะวางจอกเหล้าในมือลง แต่แล้วนางก็ได้เสียงคล้ายคนเหยียบใบไม้ดังขึ้นเสียก่อน ทันใดนั้นประตูไม้ที่นางเป็นคนลงกลอนเองกับมือก็เปิดออก!
เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องมองภาพนั้นอย่างตกตะลึงครู่หนึ่ง นางตั้งใจเพ่งสายตามองเป็นอย่างยิ่ง ต้นไผ่สีเขียวหลายต้นเบื้องหลังประตูส่ายเบาๆ อยู่ท่ามกลางแสงจันทร์
ชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ เขาสวมเสื้อคลุมแขนกว้างลายเมฆทับชุดสีขาวหิมะวาดลวดลายไม้ไผ่สีสันสะดุดตาราวกับน้ำหมึก กลุ่มผมดำขลับที่ถูกมัดเอาไว้อย่างลวกๆ แผ่สยายอยู่บนแผ่นหลังกว้างของเขาราวกับเทพเซียนในสมัยโบราณ
“องค์ชาย?”
ด้านหลังของชายคนนั้นคือเงาทมิฬที่กำลังเรียกชื่อเขาอย่างวิตกกังวล อย่างไรเสียที่นี่ก็คือวัดหลิงอิ่น ชายกับหญิงควรจะอยู่แยกกัน แค่การบุกเข้าห้องคนอื่นอย่างที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำอยู่นี้ก็นับว่าเป็นละเมิดกฎของที่นี่แล้ว
เงาทมิฬดีใจที่ในเวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิท และคนส่วนมากก็คงจะเข้านอนกันไปแล้ว เขาน่าจะสามารถจัดการคนที่ตื่นขึ้นมาได้สักคนสองคน มิฉะนั้นหากดูจากสิ่งที่องค์ชายทำอยู่ เห็นทีพรุ่งนี้พวกเขาคงจะถูกเชิญให้ไปดื่มชาร่วมกับอดีตฮ่องเต้แน่!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อกว้างของตน ทำราวกับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่น้อย จากนั้นประตูไม้ก็คล้ายจะน้อมรับคำสั่งของเขา เพราะมันปิดตัวเองลงอีกครั้ง โดยไม่มีแม้กระทั่งช่องว่างเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
จากนั้นเขาจึงมาหยุดยืนอยู่ข้างอ่างอาบน้ำไม้ พร้อมกับยืนค้ำหัวนาง แล้วใช้สายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า หลังผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า ”เจ้าอยากคุยกับข้าทั้งที่ยังไม่สวมเสื้อผ้าสักชิ้นเช่นนี้หรือ”
ตอนนั้นนั่นเองที่เฮ่อเหลียนเวยเวยตระหนักได้ว่าต่อให้อ่างที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่นๆ นี้จะลึกเพียงใด หรือต่อให้บนผิวน้ำจะมีกลีบดอกไม้กระจัดกระจายอยู่ทั่วแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะมองอะไรไม่เห็น
เพียงพริบตาเดียว กลุ่มควันสีชมพูก็พุ่งขึ้นมาบนแก้มของนางและกระจายไปทั่วใบหน้า เฮ่อเหลียนเวยเวยคว้าผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่ข้างๆ ขึ้น และไม่ลืมที่จะเตือนไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่า ”รบกวนองค์ชายช่วยหันหน้าไปอีกทางด้วย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองรอยสีแดงที่กำลังแผ่ไปทั่วใบหน้านั้น เขารู้สึกเหมือนมีหนามงอกขึ้นอย่างบ้าคลั่งในหัวใจ ความต้องการของเขาปะทุขึ้นเล็กน้อย นิ้วทั้งห้าของเขากำแน่นเข้าหากัน ในดวงตาดำขลับคู่นั้นมีแสงอันไม่รู้ที่มาวาบผ่าน เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้งอย่างช้าๆ ก่อนจะหมุนตัวไปอีกทางด้วยความยับยั้งชั่งใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบใช้ผ้าเช็ดตัวผืนนั้นพันร่างของตัวเอง ก่อนจะมัดมันเอาไว้อย่างแน่นหนา นางไม่ได้วางชุดเอาไว้ข้างๆ ดังนั้นถ้านางต้องการที่จะสวมเสื้อผ้าละก็ นางจำเป็นต้องเดินผ่านผู้ชายคนนี้เพื่อไปให้ถึงอีกฝั่งหนึ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และคิดว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างไรเสียบนร่างของนางก็มีผ้าเช็ดตัวพันอยู่ ดังนั้นนางจึงยกเท้าเปล่าเปลือยของตนก้าวขึ้นไปบนพื้นไม้ นางลอบมองใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอนที่นางเดินเลี่ยงเขาไป แพขนตาหนาของเขาทิ้งตัวลงเล็กน้อย ท่าทางดูเหมือนกำลังควบคุมตัวเองอย่างที่สุด ดูเหมือนว่าองค์ชายบางพระองค์คงจะไม่มีเจตนามองนางแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นนางจึงลดความระมัดระวังตัวลง แล้วเดินไปหยิบชุดของตัวเองอย่างกล้าหาญ
แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงก็คือ ทันทีที่นางเดินผ่านเขา ร่างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ขยับ อาจเป็นเพราะเขาหลับตาอยู่ เขาจึงไม่รู้ว่านางจะเดินไปทางไหน และขยับเปิดทางให้นางเดิน ดังนั้นจึงทำให้นางเดินชนเข้ากับแผงอกของเขาแทน
กลิ่นไม้จันทน์หอมสะอาดอย่างหาที่เปรียบมิได้พรั่งพรูเข้ามาผ่านทางลมหายใจของนางทันที กลิ่นนั้นทั้งหอมหวนและล้ำค่า แสดงถึงตัวเขาได้เป็นอย่างดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว และเห็นว่าเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละน้อย ในตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความงุนงงยิ่งนัก แต่ตาของเขากลับมีแววหยอกล้อและตรึกตรองแฝงอยู่ ทั้งที่เป็นเช่นนั้น นิสัยเย็นชาและหยิ่งผยองของเขากลับยังแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ”เจ้าจงใจหรือ จงใจเดินเข้ามาชนอกข้า”
“องค์ชายคิดมากเกินไปแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะอย่างชั่วร้าย แล้วทำท่าจะผลักเขาออกไป
แต่โชคร้าย ผ้าผืนเล็กๆ ที่มัดอยู่กับผ้าเช็ดตัวกลับตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายเสียก่อน
มือเรียวคู่นั้นถือม้วนคัมภีร์ยามเมื่ออยู่ในสำนักไท่ไป๋ และถือฟ้าดินเอาไว้ในยามที่อยู่นอกสำนัก พวกมันงดงามมากเสียจนทำให้คนที่เห็นนึกถึงเครื่องกระเบื้องเคลือบสีขาวอายุเก่าแก่ซึ่งจัดแสดงอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์
มือประเภทนี้เหมาะที่จะถือแก้วแชมเปญสักแก้วเอาไว้ยิ่งนัก แต่สิ่งที่เหมาะสมยิ่งกว่านั้นคือ… สังหารผู้คน
แต่ตอนนี้สิ่งที่เขากำลังถืออยู่ในมือกลับเป็นผ้าผืนหนึ่งที่เคยผูกอยู่กับผ้าเช็ดตัวมาก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าทุกอย่างดูผิดปกติมากทีเดียว ”องค์ชาย ท่านไม่คิดว่าตัวเองควรจะปล่อยมือหรือ” จู่ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยิ้มออกมา พร้อมกับยกมือขึ้นปิดทรวงอกของตนไว้ ”ข้าไม่คิดว่าฝ่าบาทจะมาที่นี่ตอนกลางดึกเพื่อเล่นกับผ้าที่ผูกอยู่กับผ้าเช็ดตัวของข้าเป็นแน่ ถูกหรือเปล่า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียง ’อืม’ ออกมา จากนั้นจึงขยับตัวเข้าไปใกล้นาง มือข้างหนึ่งของเขาวางลงบนแผ่นหลังของนาง สายตาของเขาเคลื่อนลงไปมองด้านล่างอย่างรวดเร็ว…