องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 201 เวยเวยขององค์ชาย
จากตำแหน่งที่นางยืนอยู่ เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเห็นแค่สันกราม และลำคอเพียงฝั่งเดียวของเขาเท่านั้น แต่สิ่งที่ขยับเข้ามาใกล้นางมากขึ้นทุกขณะกลับเป็นริมฝีปากบางสีซีดอันเย็นชา ดูเหมือนจะพยายามข่มความเสน่หาของตัวเองเอาไว้พอสมควร
ชายหนุ่มหน้าตาอย่างเขาย่อมไม่มีหญิงใดสามารถขัดขืนได้ แม้กระทั่งในหมู่ผู้ชายด้วยกันเอง นางก็มั่นใจว่าเขาคงได้รับการตอบรับที่ดีมากทีเดียว
เพียงแต่การถูกเบียดจนตัวแนบสนิทไปกับผนังเช่นนี้ดูจะเป็นเรื่องที่ยากจะให้อภัยได้สำหรับสุดยอดสายลับแห่งศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอย่างนางอยู่พอตัว
“องค์ชาย ความอดทนของข้าไม่ได้มีมากถึงเพียงนั้น” เฮ่อเหลียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกมือขึ้นคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้ การเคลื่อนไหวของนางไร้ซึ่งความปรานี นางดูไม่มีทีท่าว่าจะยอมอ่อนข้อให้กับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ริมฝีปากบางของนางปรากฏรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย ”ดังนั้น เรื่องล้อเล่นบางเรื่องก็อย่าเริ่มมันเลยจะดีกว่า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรายตามองการเคลื่อนไหวของนางอย่างรวดเร็ว และยิ้มออกมาพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิด ท่าทางหยอกเย้านั้นดูเหมือนกับกำลังพูดว่า ’เจ้าคิดอะไรอยู่ เจ้าคิดว่าข้าอยากจะแตะต้องตัวเจ้าหรือ’
เฮ่อเหลียนเวยเวยยักไหล่ แน่นอนว่าคำบางคำก็ควรจะพูดเอาไว้เสียตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อความปลอดภัย ใครจะไปรู้ว่าองค์ชายสามคิดอะไรอยู่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ กลับมายืนหลังตรง ท่าทางของเขาหยิ่งผยองและสุขุมเยือกเย็นอย่างยากจะอธิบาย เขาผลักนางออกไป แล้วยกมือขึ้นจัดคอเสื้อของตนอย่างใจเย็น การเคลื่อนไหวของเขาสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เขาสั่งว่า ”เจ้าไปแต่งตัวได้แล้ว”
คำพูดประโยคนี้ ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายลงเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อนางเห็นว่าสิ่งเดียวที่ทำเป็นฉากกั้นภายในห้องนอนของตัวเองมีแค่ฉากภาพวาดเก่าๆ เพียงอันเดียว คิ้วเรียวได้รูปของนางก็เลิกขึ้น ”องค์ชายจะไม่ออกไปหรือ”
“ข้าจะอยู่ตรงนี้ เจ้าจัดการตัวเองไปเถอะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอนกายลงบนตั่งไม้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย การขยับตัวของเขาแลดูเกียจคร้าน อีกทั้งสีหน้าก็ยังราบเรียบยิ่งนัก เขาทำประหนึ่งว่าตัวเองเป็นเจ้าของห้องตัวจริง
เฮ่อเหลียนเวยเวย ”…”
นางจะแต่งตัวได้อย่างไรถ้าเขาอยู่ที่นี่
ยิ่งกว่านั้น กระทั่งนางก็ยังไม่ทันได้ลงไปนอนบนตั่งไม้ตัวนั้นเลยนะ!
องค์ชายบางพระองค์จะทำตัวสูงส่งจนน่าเหลืออดเกินไปหรือเปล่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น แล้วมองแสงสลัวยามค่ำคืนภายนอกห้อง หากนางยังมัวแต่ชักช้าก็มีแต่ต้องเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่างไรก็แค่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ ฉากกั้นก็มี ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องระวังแต่อย่างใด
นอกจากนั้น ในเมื่อพวกนางทำสัญญากันไปแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายกัน แต่อย่างไรพวกเขาก็ยังจำเป็นต้องนอนร่วมห้องกันอยู่ดี การที่พวกเขาได้ลองใช้เวลาร่วมกันสองต่อสองเช่นนี้ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในอนาคตอย่างแน่นอน
เฮ่อเหลียนเวยเวยมีนิสัยเด็ดเดี่ยวมาแต่เกิด นางชำเลืองมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปหยิบชุดของตนแล้วเดินไปอีกฝั่งของฉากกั้น
สิ่งแรกที่นางทำคือนำชุดของตนไปพาดไว้กับโครงไม้ของฉากกั้นอันนั้น จากนั้นนางถึงเริ่มปลดผ้าเช็ดตัวที่พันตัวอยู่ออก
แต่สิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ก็คือฉากภาพวาดเก่าๆ อันนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของมันได้ดีเท่าไหร่นัก ดังนั้นจึงทำให้การเคลื่อนไหวของนางยิ่งเห็นชัดเจนขึ้น
ส่วนเว้าส่วนโค้งอันงดงามเนียนละเอียดของนางฉายอยู่บนฉากภาพวาด ระหว่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนตัวไปด้านข้างเพื่อหยิบเสื้อคลุม นางก็รู้สึกราวกับว่ามีสายตาของใครบางคนเลื่อนตามนางไปทุกตารางนิ้ว ทำให้ใบหน้าของนางรู้สึกเห่อร้อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว นางเข้าใจผิดหรือ ทำไมนางถึงรู้สึกถึงความเข้าใจผิดเช่นนี้ได้ล่ะ
นางส่ายหน้าเพราะไม่คิดว่าองค์ชายสามจะสนใจในตัวนาง ตอนที่นางเดินออกมา ใบหน้านั้นก็ยังคงเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ มันทั้งเย็นชาและเฉยเมย หากไม่ใช่เพราะหน้ากากสีเงินนั้นช่วยทำให้เขาดูอ่อนโยนลง เขาก็คงดูยากที่จะเข้าถึงได้ ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้เขาก็หลับตาลงอีกแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาเช็ดผมตัวเองให้แห้ง พร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตรงข้ามตั่งตัวนั้น และกำลังจะอ้าปากพูด
แต่นางก็ได้ยินเสียงไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า ”มานี่สิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ปฏิเสธเขา เพราะการปฏิเสธอีกฝ่ายนั้นไร้ความหมาย อย่างไรพวกนางก็ต้องร่วมงานด้วยกันอีกนาน เพียงแต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือในตอนที่นางกำลังขยับตัวเข้าไปนั่นเอง จู่ๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดึงร่างของนางเข้าไปหาทั้งตัว นิ้วอันเย็นเฉียบของเขาวางอยู่บนเข่าของนาง น้ำเสียงของเขาเย็นชา ”เกิดอะไรขึ้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหม่อไปเล็กน้อย นางนึกไม่ถึงว่าองค์ชายสามจะใส่ใจเรื่องบาดแผลของนางด้วย แม้ว่าท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของเขาจะดูค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่สักหน่อยก็ตาม ”ตอนที่ข้าไปขอไม้หอม ข้าคุกเข่าติดต่อกันหลายครั้งไปหน่อย มันก็เลยถลอกกับพื้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็ไม่อยากให้ผิวของตัวเองบอบบางถึงเพียงนี้เหมือนกัน แต่ร่างนี้ไม่เคยต้องเผชิญกับความยากลำบากมาก่อน ดังนั้นตอนที่นางคุกเข่าลงไปเป็นครั้งที่แปดสิบ นางก็เริ่มรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวเข่าขึ้นมา แต่ด้วยเวลาอันกระชั้นชิด นางจึงไม่ได้สนใจมันเท่าใดนัก มาตอนนี้ดูเหมือนว่าบาดแผลนั้นจะค่อนข้างร้ายแรง และไม่น่ามองมากทีเดียว ไม่แปลกใจเลยที่แม้กระทั่งองค์ชายสามก็ยังนิ่วหน้าด้วยความไม่ชอบใจ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไรออกมาเหมือนกัน เขาผลักนางออก ลุกขึ้นยืน เปิดประตูเดินออกไป ตอนที่เขากลับเข้ามาอีกครั้ง ในมือของเขาก็ถือกล่องเล็กๆ กับของที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่จากกลิ่นแล้ว พวกมันจะต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน พืชสมุนไพรนั้นส่งกลิ่นคล้ายยาเย็นๆ แสนบริสุทธิ์สดชื่นออกมา
จมูกของเฮ่อเหลียนเวยเวยขยับฟุดฟิด ยังไม่ทันได้อ้าปาก นางก็สัมผัสได้ถึงความเย็นสบายอย่างที่สุดที่แล่นมาจากหัวเข่าของนาง
นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยเกร็งเล็กน้อยขณะที่นางหันไปมองเท้าของตน ดวงตาคู่นั้นยังคงเฉยเมยเหมือนเช่นเคย ไร้ซึ่งความอบอุ่น แต่ปลายนิ้วเรียวที่ลากผ่านขาของนางกลับเย็นจัด
เนื่องจากบาดแผลของนางอยู่ที่เข่า ดังนั้นตอนที่ทำแผล เขาจึงจำเป็นต้องนั่งต่ำกว่านาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองท่านั่งของอีกฝ่าย แม้เขาจะเงยหน้าขึ้นมาลอบมองนาง แต่ร่างนั้นก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศของจอมราชัน นางสะบัดขาของตัวเองออกไปอย่างอดไม่ไหว
หัวเข่าของนางเกือบจะกระแทกโดนหน้ากากสีเงินของเขา แต่ชายคนนั้นคว้าข้อเท้าของนางเอาไว้ได้เสียก่อน
ข้อเท้าของนางบอบบางยิ่งนัก มันราบเรียบราวกับเครื่องกระเบื้องเคลือบสีขาวที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
อันที่จริง มันออกจะเปราะบางเกินไปเสียด้วยซ้ำ แค่การคว้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะหยุดมันเอาไว้ได้แล้ว
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ”เจ้าจงใจหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ”เปล่า”
“เจ้าทำหน้าเหมือนเสียดายที่เตะไม่โดนหน้าข้า” เมื่อน้ำเสียงอันเย็นชาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงียบลง มันก็ทำให้คนฟังอดนึกถึงแม่ทัพที่กำลังตัดสินใจวางแผนการรบอยู่ขึ้นมาไม่ได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนบทสนทนาอย่างชาญฉลาด ”ท่านทาอะไรให้ข้าหรือ”
“บัวหิมะเทียนซาน” ด้วยนิสัยขององค์ชายสาม ต่อให้หวังว่าเขาจะยอมเปลืองแรงตอบคำถามสักข้อไปก็คงเปล่าประโยชน์
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”บัวหิมะเทียนซานหรือ ปกติแล้วมันน่าจะมีประโยชน์มากกว่าหากรับประทานเข้าไปมิใช่หรือ”
“มันก็เป็นแค่สมุนไพร จะใช้อย่างไรผลก็เหมือนกัน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งสมุนไพรให้นาง และบอกเป็นนัยว่าให้นางขยี้มันก่อนจะทาลงบนเข่าอีกข้างหนึ่ง การเคลื่อนไหวแต่ละท่วงท่าราวกับถอดแบบออกมาจากเทพสวรรค์ไม่มีผิด
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ว่ากันว่าการกินบัวหิมะเทียนซานมีค่าเท่ากับการฝึกพลังปราณถึงสามปี เพื่อให้ได้มันมาไว้ในครอบครอง มีผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยที่เฝ้ามองตีนเขาของภูเขาไท่ไป๋อยู่ตลอดปี และรอให้ดอกไม้ชนิดนี้เบ่งบานทุกๆ สิบปี ยิ่งกว่านั้น ปกติแล้วเจ้าสิ่งนี้จะงอกก็แต่บนหน้าผาสูง หรือไม่ก็บนหินสูงชันเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะเก็บพวกมันได้ จึงเป็นสาเหตุให้ร้านสมุนไพรในเมืองหลวงมักจะขายบัวหิมะเทียนซานในราคาสูงลิ่ว สูงที่สุดในหมู่สมุนไพรราคาแพงเลยก็ว่าได้ มีน้อยคนนักที่สามารถซื้อมันได้ ต่อให้เป็นคฤหาสน์ผู้พิทักษ์เอง ก็ยังต้องพิจารณาฐานะการเงินของตนให้ดีหากคิดที่จะซื้อของเล่นชิ้นนี้มา แต่องค์ชายสามกลับนำมันมาใช้แทนยาทาแผลสุดแสนจะธรรมดาไปเสียได้…
โลกของคนมีเงินนี่ช่างเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจของคนธรรมดายิ่งนัก!
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ตระหนักได้ว่า ตอนนี้นางได้แต่งงานกับ ’ชายหนุ่มผู้สมบูรณ์แบบ’ และได้มาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้วจริงๆ!