องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 205 เสี่ยงเซียมซีหาเนื้อคู่
“ข้าไม่สนใจเรื่องการแต่งงาน” เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกตามจริง
เฮยเจ๋อมองนางด้วยสายตาเหมือนเขากำลังมองคนเสียสติ ”ผู้หญิงประหลาด”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองเขาอย่างไม่สนใจ ”ก็ยังดีกว่าใครบางคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบใครก็แล้วกัน”
เฮยเจ๋อถึงกับชะงักไปทันที เฮ้ยๆๆ เราจะคุยกันอย่างมีความสุขบ้างไม่ได้หรือ!
แม้ว่าเสียงของทั้งสองจะเบามาก แต่มันก็ดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ละสายตาออกจากทั้งคู่เลยแม้แต่นิดเดียว
ยิ่งขันทีซุนได้เห็นเส้นโค้งที่มุมปากของผู้เป็นนายเหยียดกว้างขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวขึ้นเท่านั้น จึงเอ่ยขึ้นโดยไม่คิดที่จะอ้อมค้อมว่า ”คุณหนูเฮ่อเหลียนก็ไปเสี่ยงเซียมซีดูสักอันเถิด มันอาจจะมีประโยชน์กับท่านก็ได้ขอรับ”
ขันทีซุนไม่คิดเลยว่าคำพูดของเขาจะทำให้ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
เจ้าอาวาสฟางจ้างลูบเคราขาวใต้คางของตน และยิ้มออกมา ”สีกาท่านนี้ก็ควรลองเสี่ยงเซียมซีดูสักครั้งเหมือนกัน ข้าอยู่ที่วัดนี้มาก็หลายปีแล้ว แต่ข้าก็เพิ่งเคยเห็นลักษณะใบหน้าที่จะเสริมสร้างวาสนาให้กับสามีของตนเช่นนี้เป็นครั้งแรกนี่เอง หน้าผากและพื้นที่ระหว่างคิ้วบ่งบอกถึงสติปัญญา สามารถกลับร้ายให้กลายเป็นดีได้ คิ้วกับดวงตาเต็มไปด้วยพลังกายสมบูรณ์แข็งแรง ย่อมนำความสำเร็จเจริญรุ่งเรืองและชื่อเสียงมากมายมาให้”
ทุกคนตกตะลึงกับคำพูดของเจ้าอาวาสฟางจ้าง ใครๆ ก็รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกเตะออกมาจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์แล้ว ในเวลานี้นับว่านางเป็นแค่ยาจกที่ไม่มีเงินเลยสักแดง ไม่มีแม้แต่ชื่อเสียงเสียด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะว่านางเป็นผู้ชนะการประลองภายในสำนักครั้งนี้แล้วล่ะก็ มีหรือที่นางจะได้มาเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางมาเยือนวัดหลิงอิ่นแห่งนี้
เจ้าอาวาสฟางจ้างพูดออกมาจากปากได้อย่างไรว่านางจะกลายเป็นเศรษฐีนีผู้มั่งคั่ง
แต่คนที่ทำให้เจ้าอาวาสฟางจ้างยอมอ้าปากวิเคราะห์โหงวเฮ้งของนางด้วยตัวเองนั้นย่อมมีไม่มาก
เป็นไปได้หรือไม่ว่าโชคชะตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยจะยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่
สายตาของบรรดาคุณชายล้วนแต่เต็มไปด้วยความสงสัย
แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กลับรู้สึกเกลียดชังเป็นอย่างมาก นางขยำมุมผ้าเช็ดหน้าตัวเองจนยับยู่ยี่ ฟันของนางกัดลงที่ริมฝีปากบางของตัวเองอย่างแรง ดวงตาของนางอาบไปด้วยยาพิษ แต่เมื่อนางก้มหน้าลง ทุกอย่างก็ถูกปกปิดเอาไว้ได้อย่างหมดจด
ตอนแรกเจ้าอาวาสฟางจ้างเพียงได้ยินชื่อของนางมาจากคำพูดขององค์ชายสามเท่านั้น แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกสนใจในตัวเด็กสาวนามว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เป็นศิษย์จากหอสามัญขึ้นมา
แต่เมื่อเขาเดินเข้ามาเห็นนาง เขาก็รู้สึกว่าใบหน้าของนางดูโดดเด่นจากคนอื่นมากจริงๆ เขาเอ่ยต่อว่า ”ส่วนเรื่องอื่นนั้น สีกาท่านนี้จำเป็นต้องเสี่ยงเซียมซีเสียก่อนจึงจะสามารถทำนายได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรับรู้ถึงสายตาที่มองมาจากรอบตัวได้ แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด นางหันไปทางเจ้าอาวาสฟางจ้าง แล้วยิ้มออกมาอย่างสุภาพ ”ขอบพระคุณความปรารถนาดีของท่านเจ้าอาวาสยิ่งนัก แต่เวยเวยมิได้ใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนาเท่าใดนัก ข้าเคยชินกับการทำตัวสบายๆ เสียมากกว่า แต่ก็มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ข้าเชื่อมาตลอด นั่นคือ โชคชะตาของข้าล้วนแต่ขึ้นอยู่กับตัวข้าเอง มิได้ขึ้นอยู่กับสวรรค์”
ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องโถงของวัดก็พลันตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ
ทุกคนหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
มีเพียงไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคนเดียวเท่านั้นที่เหมือนจะยิ้มออกมา เขาสะบัดแขนเสื้อคลุมของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ
เจ้าอาวาสฟางจ้างนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาจึงระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะนั้นก้องกังวานไปทั่วทั้งโถง นานทีเดียวกว่าจะเงียบลง ”สมกับเป็นสายเลือดของตระกูลเฮ่อเหลียน มัจฉาเวียนว่ายอยู่กลางสระ เจอะเจอฟงอวิ๋นกลายเป็นมังกร เฮ่อเหลียนเวยเวย ข้าตั้งตารอที่จะได้เห็นอนาคตของเจ้าจริงๆ!”
“ขอบพระคุณเจ้าอาวาสฟางจ้างสำหรับคำอวยพรเจ้าค่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเบาๆ ท่าทางไม่สนใจว่าตนจะเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือไม่นั้นทำให้อดีตฮ่องเต้รู้สึกสนใจ
จากนั้นเจ้าอาวาสฟางจ้างก็หันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนอยู่ไม่ไกล ที่คิ้ว ดวงตา และปากของเขาเต็มไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าเด็กน้ำแข็งนี่ถึงได้ถูกใจเด็กสาวคนนี้ได้ บนแผ่นดินนี้มีผู้คนมากมายที่เชื่อในพระพุทธศาสนา แต่ไม่เข้าใจถึงหลักเหตุและผล เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้จะไม่ใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนาได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าหัวใจของนางไร้ซึ่งความหวาดกลัว ความเข้าใจของนางลึกซึ้งยิ่งกว่าคนอื่นๆ เสียอีก นางค่อนข้างเหมาะสมกับเจ้าเด็กน้ำแข็งผู้ไร้หัวใจและเย็นชาผู้นี้มากทีเดียว สาเหตุที่สุดท้ายอดีตฮ่องเต้เริ่มนำเรื่องนี้กลับมาทบทวนดูอีกครั้ง อาจเป็นเพราะจุดนี้ก็ได้
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่ได้มองเขา สายตาของเขาก้มลงมองพื้น ทำให้ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อารมณ์ของเขาได้
หัวใจของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ บิดเบี้ยวไปทั้งดวง แต่บนใบหน้าของนางก็ยังคงมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ เพียงแต่ถ้าคนไม่สังเกต ก็จะไม่เห็นว่ามือของนางขยำเข้าหากันแน่นจนเสียรูปไปหมด
สาวใช้ไม่รู้จะพูดอะไร และทำได้เพียงแค่ยื่นไม้ไผ่เซียมซีของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไปข้างหน้าเท่านั้น
เจ้าอาวาสฟางจ้างยิ้ม พร้อมกับหยิบไม้ไผ่เซียมซีแท่งนั้นขึ้นมา บนนั้นมีคำสั้นๆ เพียงสองคำที่ใช้บอกโชคชะตาของนางอยู่
คำทำนายที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้รับคือมหาโชค และยังเป็นคนเดียวที่โชคดีที่สุดในบรรดาเด็กสาวจากตระกูลขุนนางอีกด้วย สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนอย่างมาก
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้มหาโชคเช่นนี้ ดังนั้นจึงสามารถบอกได้เพียงว่าดวงชะตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั้นดีเพียงใด
เจ้าอาวาสฟางจ้างรับไม้ไผ่เซียมซีมา แล้วอ่านดวงชะตาให้กับนาง ในอนาคตอันใกล้นี้ เส้นทางชีวิตของนางนั้นกว้างใหญ่ แต่ในชีวิตช่วงถัดไปนั้นยังไม่แน่ชัดเท่าใดนัก
แต่ทุกคนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับว่าดวงชะตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั้นดูเหมือนจะดีที่สุดในจำนวนคนที่อยู่ที่นี่
เหล่าคุณหนูที่ก่อนหน้านี้เคยรู้สึกระแวงเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ต่างก็พากันหันมาทางนี้อีกครั้ง ความอิจฉาและความชื่นชมฉายชัดอยู่ในดวงตาของพวกนาง สาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เชิดหน้าขึ้นคล้ายกับจงใจที่จะปรายตาไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ว่างถึงขั้นจะไปหาเรื่องกับสาวใช้คนนั้น ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่มุมด้านหนึ่งของพระพุทธรูป พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น
“ใครบางคนคงไม่มีความสามารถมากพอที่จะเสี่ยงได้มหาโชค และคงไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องกระบอกเซียมซีเลยด้วยซ้ำ”
ผู้หญิง ถึงพวกนางจะไม่อยากยอมรับ แต่พวกนางก็มีความคิดที่จะเหยียบย่ำคนต่ำกว่า และประจบคนสูงกว่าจริงๆ อีกทั้งยังชื่นชอบที่จะได้หัวเราะเยาะคนอื่นๆ อีกด้วย ยิ่งเมื่อมีความอิจฉาริษยา ยามเมื่อพวกนางจับกลุ่มกัน พวกนางก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และอดไม่ได้ที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ราวกับว่านางไม่เห็นความสำคัญในคำยั่วยุนี้เลยแม้แต่น้อย
สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กลับไม่คิดที่จะอ่อนข้อให้นางอีกต่อไป เพราะนังคนชั้นต่ำอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวย ช่วงนี้นางถึงต้องทนรับโทสะจากคุณหนูมาไม่น้อย ตอนนี้นางอยากจะคว้าโอกาสนี้ไว้ยิ่งกว่าสิ่งใด ดังนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแดกดันว่า ”คงเป็นเช่นนี้กระมัง นางก็แค่กลัวว่าจะได้โชคร้ายก็เท่านั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็แสร้งตำหนิว่า ”ไปได้แล้ว! เจ้านี่มันช่างไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลย!”
ไหล่ของสาวใช้คนนั้นลู่ลง แต่เมื่อเห็นว่าบนใบหน้าของคุณหนูของตนไม่ได้มีร่องรอยแห่งความไม่พอใจปรากฏอยู่ นางก็รู้ว่าการกระทำของนางครั้งนี้ตรงกับความตั้งใจของผู้เป็นนาย
“พี่ใหญ่ ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจคนชั้นต่ำพวกนี้หรอกนะเจ้าคะ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เอ่ยเบาๆ ”เรื่องเมื่อวาน ข้าได้ทบทวนตัวเองดูแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่เองก็สอนข้าแล้วว่าต่อไปในอนาคต จะต้องรักใคร่กลมเกลียวกับพี่ใหญ่เอาไว้ เมื่อครู่นี้แม้ว่าเจ้าอาวาสฟางจ้างจะบอกว่าดวงชะตาของท่านพี่โดดเด่นกว่าคนธรมดา แต่หากท่านแตะต้องกระบอกเซียมซี แล้วเผลอไปทำให้ดวงชะตาของตนต้องย่ำแย่ลงก็คงไม่ดีนัก”
ตอนที่หยวนหมิงตื่นขึ้นมา เขาบังเอิญได้ยินคำพูดนี้เข้าพอดี เขาจึงยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ”แม่นาง นางกำลังหาเรื่องเจ้าอยู่ หากข้าเป็นเจ้า ข้าย่อมไม่ทนอยู่เฉยแน่”
“หือ หากข้าเป็นเจ้า เวลานี้ข้าจะไม่โผล่ออกมาแน่ ตอนนี้พวกเราอยู่ในพื้นที่ของพระพุทธองค์นะ” ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ เสียงหัวเราะนั้นก็ทำให้ทุกคนคิดถึงคำว่าปีศาจขึ้นมา
หยวนหมิงส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชา ”ข้าไม่ได้เกรงกลัวพระพุทธรูปพวกนี้หรอกนะ พลังของข้าก็แค่ยังไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่เท่านั้น รอจนกว่าข้าจะฟื้นพลังได้ก็แล้วกัน ข้าจะทำลายของเล่นพวกนี้ให้เป็นชิ้นๆ ซะ!”
“ข้าชักสงสัยขึ้นมาเสียแล้วสิ ว่าคนที่หลบไปซ่อนในมิติสวรรค์ทันทีที่เข้ามาในวัดนั่นเป็นใครกันแน่” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยเบาๆ
ริมฝีปากของหยวนหมิงกระตุก ”แม่นาง ตอนนี้คนที่ถูกดูถูกไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้าต่างหาก”
“โดนดูถูกหรือ” ดวงตาหงส์คู่งามของเฮ่อเหลียนเวยเวยเงยขึ้น จากนั้นนางก็ค่อยๆ สาวเท้าออกเดิน สุดท้ายจึงมาหยุดอยู่ตรงหน้ากระบอกเซียมซี นางหยิบไม้ไผ่เซียมซีที่วางเป็นแถวขึ้นมา แล้วใส่พวกมันเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่นั้น
ริมฝีปากสีแดงของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กระตุกขึ้นเล็กน้อย รอดูเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกหัวเราะเยาะ ใครๆ ต่างก็รู้กันว่าเมื่อก่อน ทุกครั้งที่นังคนชั้นต่ำนี่ทำนายดวงชะตา สิ่งเดียวที่นางได้รับก็คือโชคระดับต่ำที่สุด และเป็นเช่นนั้นเสมอมาตลอดสิบปีไม่เคยเปลี่ยนแปลง คราวนี้นางเพียงแค่รออยู่เฉยๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายอับอายไปเองก็พอ!