องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 209 เวยเวยมอบให้องค์ชาย
“มันคงไม่แย่จนถึงขั้นเป็นหนองหรอกกระมัง” ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้นเล็กน้อย และช่วยหาทางออกในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ให้กับเขา ”แต่ถ้ามีรอยแผลเป็นขึ้นมา มันย่อมกระทบต่อความงามของมือองค์ชายสามได้ ข้าจะไปดูอาการเขากับขันทีซุนก็แล้วกัน”
ขันทีซุนมองนางเหมือนกำลังมองผู้ช่วยชีวิต ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาในทันใด พร้อมกันนั้นเขาก็ผายมือออกไป พลางเอ่ยว่า ”เชิญคุณหนูใหญ่ตามข้ามาทางนี้ขอรับ” พอพูดจบ เขาก็หันหน้าไปสั่งขันทีหนุ่มพวกนั้นว่า ”พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อนเลย ถ้ามีใครหน้าไหนกล้าปล่อยข่าวเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้ออกไป ระวังคอของพวกเจ้าเอาไว้ให้ดี!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่านี่คือการปูทางหนีให้กับนาง ดีที่ในเวลานี้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กับคุณหนูคนอื่นๆ ต่างก็ออกเดินทางไปแล้ว ไม่อย่างนั้น หากพวกนางเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าไปในรถม้าขององค์ชายสามละก็ ย่อมมีปัญหาตามมามากมายแน่นอน
คำพูดของขันทีซุนช่วยปัดปัญหาที่ว่านี้ออกไปจากเฮ่อเหลียนเวยเวย เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ในการปกป้องเฮ่อเหลียนเวยเวย
อย่างไรเสีย เวลาที่ผู้หญิงเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมา แผนการที่หัวใจเคลือบด้วยยาพิษของพวกนางรังสรรค์ขึ้นก็ล้วนแต่ป้องกันได้ยากทั้งนั้น
ระหว่างที่ขันทีซุนเดินนำทางให้กับนาง เดิมที เขาก็คิดจะนำเรื่องนี้ไปกราบทูลให้อดีตฮ่องเต้ทราบในภายหลัง แต่ในตอนนั้นนั่นเอง จู่ๆ รถม้าของอดีตฮ่องเต้ก็ทำท่าจะแล่นออกไปเช่นกัน เล่นเอาเขาถึงกับทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมสังเกตเห็นท่าทีกระสับกระส่ายนั้น แต่นางไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก ”ข้าไปเองได้ ขันทีซุนไปทำเรื่องที่จำเป็นต้องทำเถิด”
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอรบกวนคุณหนูเฮ่อเหลียนแล้วขอรับ” ขันทีซุนหันหน้าไปออกคำสั่งกับขันทีหนุ่มที่กำลังนำทาง และรีบมุ่งหน้าไปหาอดีตฮ่องเต้ทันที
ขันทีหนุ่มผู้นั้นน่าจะทำงานกับขันทีซุนมาได้ไม่นาน เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเฮ่อเหลียนเวยเวยโดยตรงด้วยซ้ำ อีกทั้งยังก้มหน้างุดด้วยความประหม่า ”คุณหนูเฮ่อเหลียนเวยเวย รถม้าขององค์ชายอยู่ทางนั้นขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น และเห็นเพียงว่าไกลออกไปนั้น มีรถม้าทำจากไม้สีเข้มที่ได้รับการสลักเสลามาเป็นอย่างดีจอดอยู่ รถม้าคันนั้นมีขนาดใหญ่ทีเดียว แต่กลับไม่มีการตกแต่งที่ฟุ่มเฟือยเลยแม้แต่น้อย หลังคาของรถถูกแกะสลักเป็นลวดลายก้อนเมฆ และทำมาจากไม้เนื้อแข็งคุณภาพดีที่สุด มันดูราบเรียบ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงฐานะหรูหราอันยากจะปกปิดได้
“อืม เข้าใจแล้ว!” เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินทอดน่องไปทางนั้น แต่นางก็หยุดฝีเท้าลงตอนที่อยู่ห่างจากรถม้าคันนั้นได้ระยะประมาณสามฉื่อ
ขันทีหนุ่มที่ทำหน้าที่รับใช้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมาตลอดการเดินทางยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเขาเห็นว่าเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวยมา เขาก็ไม่คิดที่จะสุภาพด้วยอีก ”คุณหนู กรุณาตั้งใจมองทางให้ดีๆ ด้วยขอรับ รถม้าของท่านอยู่ทางนั้น ไม่ใช่คันที่องค์ชายประทับอยู่คันนี้แน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขาเพียงทำในสิ่งที่เขาควรทำเท่านั้น อย่างไรเสีย หากทุกคนสามารถเข้าใกล้รถม้าขององค์ชายสามได้ เรื่องคงจะวุ่นวายยิ่งนัก
ในตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะอธิบายจุดประสงค์ในการมาของนางให้อีกฝ่ายได้ฟัง นางก็ได้ยินขันทีหนุ่มคนนั้นบ่นขึ้นมาอีกครั้งว่า ”ท่านคิดจริงๆ หรือว่าจะประจบองค์ชายของพวกข้าได้ง่ายถึงเพียงนั้น ตอนอยู่ในวัด ท่านก็ใช้อุบายไปจนเกินพอแล้วนี่ ตอนนี้ยังถึงกับมาเพื่อทำการแลกเปลี่ยนที่ไร้ประโยชน์นี่อีก ท่านไม่รู้หรือว่าองค์ชายรำคาญเรื่องพวกนี้เป็นที่สุด”
การแลกเปลี่ยนอันไร้ประโยชน์หรือ
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินคำพูดนั้น นางก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา พร้อมกับยื่นมือออกไปคว้าคอเสื้อของเขาขึ้น น้ำเสียงของนางไม่ได้ดังมากนัก ”ขันทีซุนขอให้ข้ามาทายาให้กับองค์ชาย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นแล้วกระมัง”
สิ้นเสียง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หมุนตัว และกำลังจะเดินกลับ
ขันทีหนุ่มผู้นั้นแค่นหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย ถึงกับได้รับเชิญจากขันทีซุนเชียวหรือ นางคิดว่านางกำลังหลอกใครอยู่กัน นางคิดว่าตัวเองหน้าตาสวยนักหรือไร
หากเป็นเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่มีทั้งฐานะทางตระกูล และรูปร่างหน้าตาอันงดงามมาพูดละก็ว่าไปอย่าง
แต่ดูใบหน้านั้นของนางสิ มันไร้ซึ่งความงดงามจนสร้างความประทับใจให้ใครไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนอยู่ที่วัด องค์ชายก็แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าเขารังเกียจผู้หญิงคนนี้ เขาย่อมไม่ต้องการให้นางเข้าใกล้อย่างแน่นอน
ขันทีหนุ่มผู้นั้นเชิดหน้าขึ้น ท่าทางภูมิอกภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากรถม้า น้ำเสียงอันเย็นชานั้นทำให้หนังศีรษะของเขาถึงกับชาวาบ ”ถ้านางกลับไป เช่นนั้นก็เอาหัวของเจ้ามาแทน”
น้ำเสียงนั้นทั้งราบเรียบและแผ่วเบาเป็นอย่างยิ่ง แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น มันกลับทำให้ขันทีหนุ่มผู้นั้นหวาดกลัวจนทรุดลงไปนั่งคุกเข่าลงกับพื้นได้ในทันที!
“องค์… องค์ชายสาม กระหม่อม…” ขันทีหนุ่มผู้นั้นตัวสั่นระริกตั้งแต่หัวจรดเท้า
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาด้วยซ้ำ ”ข้าไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนทำการแลกเปลี่ยนอันไร้ประโยชน์กับข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีใครสักคนบอกเจ้าหรือว่าข้าเกลียดการถูกเข้าใจผิดเป็นอย่างยิ่ง”
“กระหม่อม… กระหม่อม…” ขันทีหนุ่มผู้นั้นรู้สึกได้เพียงแค่อย่างเดียวว่าตัวเองทำผิดไปเสียแล้ว เขาได้ยินคนพูดกันว่าองค์ชายเกลียดเฮ่อเหลียนเวยเวย ผู้หญิงที่หน้ามืดตามัวในความรักคนนี้ อย่างไรเสียองค์ชายก็ไม่เคยอนุญาตให้เด็กสาวคนนั้นเข้าพบเขาเช่นนี้มาก่อน แต่ดูสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้สิ ดูเหมือนว่าพวกเขาล้วนแต่คาดเดาความคิดขององค์ชายผิดไปทั้งสิ้น
น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยราบเรียบไม่สูงไม่ต่ำ ”เงาทมิฬ พาตัวเขาไปตัดลิ้น แล้วบอกขันทีพวกนั้นด้วยว่า กับเรื่องที่ไม่ควรพูดนั้น ก็หุบปากของตัวเองเอาไว้ให้ดี และอย่าพูดพล่ามอะไรไร้สาระออกไป”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เงาทมิฬออกแรงดึงร่างของขันทีผู้นั้นขึ้น
ขันทีหนุ่มผู้นั้นไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว ริมฝีปากของเขาซีดจนไร้สีเลือด สุดท้ายแล้วก็ไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับคนที่เอาแต่คิดจะทำร้ายผู้อื่น
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ด้านหลัง และมองดูภาพเหตุการณ์นั้นอย่างเงียบๆ นางไม่คิดว่าองค์ชายสามจะโมโหมากขนาดนี้
แต่เมื่อตั้งใจคิดดูอีกที นางก็พบว่านี่เป็นวิธีการของเขามาแต่ไหนแต่ไร
บางทีอาจเป็นเพราะวิธีการอันโหดเหี้ยมของเขานี่เองที่ทำให้สี่ตระกูลใหญ่ไม่กล้าหลับหูหลับตาลงมือทำไปโดยไม่คิดให้ดีเสียก่อน
“ขึ้นมา” เสียงจากด้านในรถม้าดังขึ้นอีกครั้ง แม้จะยังคงเย็นชาเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไร้ซึ่งจิตสังหารที่เคยมี
เฮ่อเหลียนเวยเวยมัวแต่นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้อยู่ จึงยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยา
จากนั้นนางก็ได้ยินไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า ”เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการให้ข้าลงไปอุ้มเจ้าขึ้นมาด้วยตัวเอง”
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับรู้สึกพูดไม่ออกกับข้อเสนอที่เขาพูดออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สานั้น
ให้องค์ชายสามอุ้มนางขึ้นรถม้าหรือ
แม้ว่าขันทีซุนจะทุ่มเทความพยายามเพื่อช่วยปกปิดเรื่องนี้ให้ แต่นางเกรงว่าศิษย์ทั่วทั้งสำนักก็คงได้รู้ข่าวนี้กันให้ทั่วภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเลยด้วยซ้ำ
เพราะภาพประเภทนั้นจะสร้างปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงได้เป็นอย่างดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับนึกสงสัยขึ้นมาว่า เมื่อถึงจุดนั้น นางจะถูกสายตาของทุกคนทิ่มแทงจนตายหรือเปล่า
“ดูเหมือนว่าเจ้าคงอยากให้ข้าอุ้มจริงๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รีบอ้าปากพูดอย่างรวดเร็ว ”ท่านอยู่นั่นแหละ อย่าขยับนะ! ข้าจะขึ้นไปเอง”
“เจ้าไม่ได้คิดจะกลับไปหรอกหรือ”
ไม่รู้ว่านางเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าคำพูดที่ออกมาจากปากขององค์ชายสามนั้นดูจะเปล่าเปลี่ยวอยู่เล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักนิ้วที่กำลังเลิกม่านรถม้าขึ้น เมื่อนางเข้าไปด้านในได้แล้ว นางถึงได้รู้ว่านางเข้าใจผิดไปอย่างมหันต์
สิ่งที่นางรู้สึกว่าเป็นความเปล่าเปลี่ยวนั้น ล้วนแต่เป็นเพราะว่าองค์ชายเพิ่งจะตื่นนอนทั้งสิ้น เพราะอย่างนั้นน้ำเสียงของเขาถึงได้แหบพร่าเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ตื่นจากความฝันดีเท่าใดนัก ดวงตาของเขาลืมขึ้นเพียงครึ่งเดียว คิ้วดกหนา และขนตาสีดำสนิททิ้งตัวลงมาเป็นเงาสะท้อน
เส้นผมสีดำราวกับน้ำหมึกสยายอยู่ด้านหลังของเขา เสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์แนบผิวกาย คอเสื้อถูกเขาดึงลงมาด้วยตัวเอง ผ้าปักหน้าตาหรูหราปักรูปดอกไม้บานสะพรั่งเอาไว้หลายดอก ดอกไม้พวกนั้นล้วนแต่ถูกปักอย่างวิจิตรบรรจงด้วยเส้นด้ายสีเงินทั้งสิ้น ดูงดงามเหนือธรรมดา กระทั่งที่ปลายแขนเสื้อก็ยังถูกปักเป็นรูปบัวหลายต้น ทั่วทั้งร่างของเขา ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน ล้วนแต่สง่างามอย่างที่สุด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในสภาพนี้เย็นชาน้อยกว่าทุกครั้ง บริสุทธิ์ผุดผ่องน้อยกว่าทุกครั้ง และยังสุขุมเยือกเย็นน้อยกว่าตอนที่เขาอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่กลับดูเกียจคร้าน และยั่วยวนอย่างร้ายกาจ
เขาเอนตัวนอนสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ที่ปกคลุมไปด้วยขนสัตว์ซึ่งถูกจัดวางเอาไว้ข้างในรถม้า พลางงอขาเรียวยาวข้างหนึ่งของตนขึ้น แม้แต่ตอนที่นางเข้ามาถึง เปลือกตาของเขาก็ยังไม่ยกขึ้นเลยด้วยซ้ำ…