องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 210 องค์ชายผู้อวดดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รอให้เขาทักทายนางก่อน นางพับแขนเสื้อของเขาขึ้น แล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้เขา ”มือไหนที่มีแผลหรือ”
จากนั้น ดวงตาทรงเสน่ห์ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เปิดขึ้น พร้อมกับตวัดไปมองนางอย่างไม่แยแส จากนั้นจึงแบมือข้างซ้ายของตัวเองออก แน่นอนว่าบนฝ่ามือของเขาย่อมมีแผลเปิดอยู่แผลหนึ่ง มิหนำซ้ำบนนั้นก็ยังมีเลือดหยดเล็กๆ ติดอยู่อีกด้วย
ถ้าขันทีซุนรู้ว่าจะมีวันที่องค์ชายสามยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีถึงเพียงนี้ ลูกตาของเขาจะต้องถลนออกมาแน่!
บรรดาองครักษ์เงาที่ยืนประจำการอยู่นอกรถม้าเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน พวกเขาพ่นลมหายใจออกมาโดยพร้อมเพรียง แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าเหลือเชื่อในเวลาเดียวกัน
ในความทรงจำของพวกเขา มีครั้งใดบ้างหรือที่ฝ่าบาทยอมทำตัวเชื่อฟังถึงเพียงนี้
เหมือนว่าคำตอบก็คือไม่มี!
เขาจะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนใดแตะต้องเขาได้แม้แต่ปลายนิ้ว ทั้งยังรวมถึงผู้ชายด้วยซ้ำ
แต่ตั้งแต่คุณหนูจากตระกูลเฮ่อเหลียนคนนี้ปรากฏตัวขึ้น นิสัยของผู้เป็นนายของพวกเขาก็เริ่มเข้าใจยากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ บรรดาองครักษ์เงาก็อดที่จะหันหน้าไปแอบมองทางรถม้าไม่ได้ ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายด้วยความชื่นชมต่อเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้แม้แต่นิดเดียวว่าปกติแล้วองค์ชายสามรับมือยากเพียงใด แต่เมื่อครู่นี้ตอนที่พวกนางยืนอยู่ที่โถงวัด นางกลับไม่เห็นเลยแม้แต่นิดเดียวว่ามือของเขาได้รับบาดเจ็บ เห็นได้ชัดว่า ถ้าหากองค์ชายสามต้องการที่จะปิดบังสิ่งใดไว้ละก็ หากเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ เช่นนั้นก็จะไม่มีใครได้รู้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าบาดแผลนั้นไม่เหมือนกับแผลที่ได้มาจากอาวุธมีคม แต่ดูเหมือนว่าจะเกิดจากการที่องค์ชายสามทำอะไรที่ถือไว้ในมือแตกมากกว่า
ใครกันที่ทำให้เขาโมโหได้ถึงเพียงนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยกวาดตามองรถม้าที่ได้รับการตกแต่งเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังหายาทาแผลไม่เจอ มีเพียงแค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวเท่านั้น โดยปกติแล้วบาดแผลประเภทนี้ย่อมจำเป็นต้องได้รับการฆ่าเชื้อให้ดีเสียก่อน นางกลัวว่าจะมีเศษของสิ่งที่แตกนั่นฝังอยู่ข้างในบาดแผล
เมื่อคิดได้ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ลุกขึ้นยืน
คาดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวนี้ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจ เขาจึงคว้าข้อมือของนางเอาไว้แม้ว่ามือของตนจะมีบาดแผลอยู่ก็ตาม ดวงตาของเขาสงบนิ่งและลึกล้ำราวกับค่ำคืนอันหนาวเหน็บ สายตานั้นจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”เจ้าจะไปไหน”
เงาร่างของชายสวมหน้ากากสีเงินงดงามจนเหมือนไม่ได้มาจากโลกนี้ เขาดูสูงส่งเกินมนุษย์ธรรมดาจะเอื้อมถึง กลีบปากบางสีอ่อนของเขาทำให้คนที่เห็นรู้สึกได้ถึงความสุขุมเยือกเย็น ความเย็นชา และความหยิ่งผยองได้เป็นอย่างดี ในเวลานั้น ผ้าปักลายเมฆสีทองก็ถูกคลุมลงทับบนชุดสีขาวบริสุทธิ์ของเขา ยิ่งทำให้พวกมันดูสูงศักดิ์และล้ำค่ากว่าที่เคย เมื่อถูกเขาจ้องมองเช่นนี้ ก็ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกราวกับว่านางเป็นโลกทั้งใบในสายตาของเขา
ที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะว่าปกติแล้วนางคุ้นเคยแต่กับสายตาที่องค์ชายสามมองนางอย่างดูถูกดูแคลนเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกกับตัวเอง แต่นางก็ยังรู้สึกว่าท่าทางขององค์ชายสามดูมีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่าทุกที อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ใช้วาจาอันร้ายกาจนั้นพุ่งเป้ามาที่นาง!
ใครจะรู้เล่าว่าคำพูดประโยคถัดมาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับเป็นเช่นนั้นจริงๆ ”เจ้าอยากออกไปข้างนอกตอนนี้ แล้วชนใครตายเข้าหรือไร ขนาดเดินอยู่เฉยๆ เจ้าก็ยังเที่ยวชนใครเขาไปทั่วได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวย ”…”
นอกจากดูถูกสติปัญญาของนางแล้ว องค์ชายสามยังมีความเชี่ยวชาญในการเอาเรื่องอื่นมาพูดอีกด้วย
ทันใดนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดึงนางเข้าสู่อ้อมอกของตนโดยไม่บอกไม่กล่าว เสื้อคลุมสีขาวของนางวาดเป็นเส้นโค้งไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขา เขาบีบแก้มของนาง จากนั้นจึงค่อยๆ ดันมันขึ้น ดวงตาของเขาติดจะเย็นชาเล็กน้อย ”ต่อไปนี้ เจ้าต้องอยู่ห่างจากเฮยเจ๋อให้มากกว่านี้ เข้าใจหรือไม่”
“เกี่ยวอะไรกับเฮยเจ๋อด้วย” เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว พลางคิดว่าสิ่งที่เขาเป็นกังวลอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับสี่ตระกูลใหญ่ นัยน์ตาของนางลดต่ำลงเรื่อยๆ พร้อมกับเอ่ยว่า ”ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ต่อให้เราสองคนสนิทกัน แต่ข้าก็จะไม่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดเด็ดขาด เพราะฉะนั้น องค์ชายจะปล่อยมือจากข้าได้หรือยัง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้แรงทั้งหมดที่ตนมี และทักษะส่วนตัวกดข้อมือของเขา แล้วสะบัดมันออกเบาๆ หลังจากนั้นนางก็จัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่ ”ต่อจากนี้ไป องค์ชายเพียงแค่พูดในสิ่งที่ต้องการออกมาก็พอ ไม่จำเป็นต้องขยับมือตัวเองอีก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทุกคนเข้าใจผิดกันว่ามีความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นในอนาคตความสัมพันธ์ของเรา เราสองคนต้องคุยเรื่องนี้กันให้ชัดเจน”
ยิ่งนางพูดออกมา ดวงตาดำขลับของชายตรงหน้าก็ยิ่งมืดมนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงประโยคสุดท้าย ดวงตาดำสนิทนั้นก็เรืองแสงสีทองจางๆ ออกมา!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกวาดสายตามองนางอย่างเชื่องช้า ก่อนละสายตาออกจากร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวย หลังจากนั้นเขาจึงค่อยๆ เอ่ยว่า ”สนิทสนมกันหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงกังวลเรื่องนางกับเฮยเจ๋อมากถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้นางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนของสี่ตระกูลใหญ่กระมัง หลังจากคิดได้เช่นนั้น นางจึงตอบว่า ”เอาไว้ค่อยคุยเรื่องเขาทีหลัง ทายาก่อนดีไหม ยาอยู่ที่ไหนหรือ ครั้งก่อนท่านไม่ได้เก็บมันไว้ในกล่องหรอกหรือ”
“โยนทิ้งแล้ว” เสียงของเขานั้นยังคงราบเรียบติดจะเย็นชาเหมือนก่อน เขาพูดออกมาโดยไม่คิดที่จะอ้อมค้อม
เขาไม่ให้เหตุผลกับเฮ่อเหลียนเวยเวยเลยด้วยซ้ำ เป็นอีกครั้งที่นางรู้สึกขึ้นมาว่าการกระทำนี้ช่างสมกับเป็นองค์ชายสามเสียจริง ไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็จะทำตามความรู้สึกของตัวเองในเวลานั้นอยู่เสมอ เฮ่อเหลียนเวยเวยสงสัยว่าถ้าเขาเกิดต้องการบัลลังก์ขึ้นมา เขาจะสามารถทำสำเร็จได้ด้วยความพยายามเพียงครั้งเดียวหรือเปล่า
น่าเสียดายยิ่งนักที่องค์ชายสามคนนั้นดูจะไม่สนใจในตำแหน่งฮ่องเต้แม้แต่น้อย
ถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือ จริงอยู่ที่เขาไม่สนใจ แต่เขาก็จะไม่ยอมให้คนอื่นยึดอำนาจของราชวงศ์ไป
ดังนั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมการเผชิญหน้ากับองค์ชายถึงได้เป็นสิ่งที่ทำให้คนจากสี่ตระกูลใหญ่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยทั้งกายทั้งใจเช่นนี้
ต่อให้พวกเขาอยากจับอีกฝ่ายมัดเอาไว้ แต่ก็ไม่มีหนทางที่จะทำเช่นนั้นได้เลย
เมื่อใดที่พวกเขาคิดอยากจะลงมือกับเขา สุดท้ายพวกเขาก็ต้องลงเอยด้วยความล้มเหลวอย่างน่าอนาถเสมอ
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่ายศีรษะ แล้วยื่นนิ้วออกไปจิ้มเข้าที่กลางฝ่ามือของเขา ท่าทางของนางเป็นกันเองมาก นางปฏิบัติต่อเขาราวกับว่าเขาเป็นคู่หูรุ่นน้องที่นางเคยร่วมงานด้วยในอดีต ”แผลนี้จะปล่อยทิ้งเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้ ข้าจะไปถามพวกเขาว่ามียากับเข็มหรือเปล่า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วมองนาง แต่ไม่ปล่อยให้นางลุกขึ้นอีก แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับหันหน้าไปทางด้านนอก แล้วสั่งว่า ”เตรียมของที่ข้าเพิ่งโยนทิ้งไปมาหนึ่งชุด แล้วส่งมันเข้ามาที่นี่”
ความเย็นชาในน้ำเสียงของเขาชัดเจนมาก แต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด และความสูงศักดิ์เย็นชาอันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดกับตัวเองในใจ ไม่แปลกใจเลยที่บรรดาคุณหนูทุกคนในเมืองหลวงต่างก็อยากจะแต่งงานกับเขา ผู้ชายประเภทนี้มีเสน่ห์ชวนให้คนหลงใหลไปทุกส่วนจริงๆ โชคดีที่จิตใจของนางนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง หากให้เทียบชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลางดงามกับเงินแล้ว นางชอบเงินมากกว่า
ที่สำคัญที่สุด ชายหนุ่มรูปงามอย่างองค์ชายสามคงไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ทั้งยังเป็นคนที่อันตรายเกินไปอีกด้วย ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเพียงแค่ชื่นชมเขาอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น และไม่ได้มีความคิดอื่นใด
ในเวลาเพียงหนึ่งนาที เหล่าองครักษ์เงาที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีก็นำของทุกชิ้นที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคยโยนทิ้งไป ก่อนหน้านี้กลับมาวางเรียงกันไว้ดังเดิม
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบกล่องเล็กๆ ใส่ยาทาแผลขึ้นมา นางก็ได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคยลอยมา คิ้วของนางกระตุกขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับถามว่า ”อย่าบอกนะว่าท่านเพิ่งจะโยนกล่องใส่รากบัวเทียนซานทิ้งไป”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงตอบรับอย่างเหม่อลอยว่า ’อืม’
เฮ่อเหลียนเวยเวย ”นายท่าน นี่มันเป็นรากบัวเทียนซานของแท้เชียวนะเพคะ” ใช่ดอกไม้หรือหญ้าธรรมดาๆ เสียที่ไหนกัน
“แล้วมันต่างกันอย่างไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรายตามองนาง พร้อมกับพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย แต่น้ำเสียงนั้นก็ยังราบเรียบอยู่เช่นเคย
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับไปต่อไม่ถูก นางมักจะรู้สึกมาตลอดว่าตนเองเป็นคนใช้เงินสิ้นเปลืองนัก ชีวิตที่ชาติก่อนของนาง นางใช้เงินก้อนโตไปกับการซื้อห้องใต้ดินแห่งหนึ่งเพียงเพื่อเก็บอาวุธของตัวเอง ตอนนี้พอเทียบตัวเองกับองค์ชายบางพระองค์แล้ว นางก็เป็นแค่คนติดบ้านที่เชี่ยวชาญการเก็บเงินเท่านั้น
แต่เขาโยนรากบัวเทียนซานทิ้งไปเช่นนี้เลยหรือ
หึๆ
เหมือนเขาโยนเงินเป็นถุงทิ้งไปไม่มีผิด
ยิ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยได้รู้จักกับองค์ชายบางพระองค์มากขึ้นเท่าใด นางก็ยิ่งค้นพบว่าชายผู้สมบูรณ์แบบคนนี้มีข้อดีที่อยู่สูงกว่าพื้นฐานคนปกติถึงสองข้อด้วยกัน ข้อแรกคือความคิดอันลึกล้ำยากที่จะหยั่งถึงของเขา กับพลังอำนาจที่สามารถควบคุมได้แม้กระทั่งลมฝน และข้อสอง เขารวยมากจริงๆ
“เจ้าอยู่ห่างจากข้าถึงเพียงนั้น เจ้าจะทายาให้ข้าได้อย่างไร”