องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 229 ฝ่าบาทตระหนักได้
“ไม่จำเป็นหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับข้อมือของตนเองและยิ้มเล็กน้อยอย่างเป็นกันเอง “ข้าจัดการเองได้ ไม่ต้องห่วง งานประมูลกำลังจะเริ่มแล้ว พวกเจ้าเข้าไปนั่งที่ที่ข้าจองเอาไว้ให้เถอะ ข้ามีเรื่องอื่นต้องจัดการก่อน”
เฉินอีเฟิงยังคงรู้สึกไม่สบายใจนัก แต่ผู้ดูแลจางก็เดินเข้ามานำทางให้พวกเขาอย่างสุภาพแล้ว
ชั้นบนของหอน้ำชา ขันทีซุนรายงานคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยให้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบ อดีตฮ่องเต้นั่งอยู่ที่เดิม และมองดูเสนาบดีหลี่ที่กำลังคร่ำครวญเสียงดัง พร้อมกับหมดอารมณ์ที่จะเข้าร่วมงานประมูล เขาโบกมือ ก่อนจะปล่อยให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูแลเรื่องนี้ต่อ ก่อนจะกลับวังหลวงไปพร้อมกับเหล่าองครักษ์ เสนาบดีหลี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และคิดว่าในเมื่ออดีตฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไรอีก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็น่าจะจบลงแล้ว
แต่เขาลืมไปว่าหากให้องค์ชายสามจัดการต่อ มันก็จะมีเพียงสองสถานการณ์ที่เป็นไปได้เท่านั้น คือ หนึ่ง ฝ่าบาทไม่สนใจอะไร และเสนาบดีหลี่ก็จะสามารถสรรเสริญบรรพบุรุษโดยการจุดเครื่องหอมเพื่อเป็นการเซ่นไหว้ต่อไปได้ ส่วนในอีกสถานการณ์หนึ่งคือ องค์ชายสามสนใจในเรื่องที่เกิดขึ้นมาก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะปกติแล้ว มีไม่กี่เรื่องนักที่องค์ชายสามสนใจ และหากเป็นเช่นนั้น ผลที่จะตามมาก็คือ เสนาบดีหลี่จะได้ไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของเขาทันที
เป็นไปตามที่ขันทีซุนคิด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและสูงส่ง “จับตัวเขาไปที่อื่นเพื่อตัดศีรษะ อย่าให้เลือดเปรอะเปื้อนไปทั่ว มันสกปรก”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เงาทมิฬนั้นราวกับเป็นภูตผี ทำให้เสนาบดีหลี่และลูกชายของเขาไม่มีโอกาสได้พูดอะไร ก่อนจะถูกลากตัวออกไปจากหอน้ำชา เสนาบดีคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึง และประสานมือของตนเองในทันที
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูด “และตระกูลอู่ด้วย”
“ตระกูลอู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” ใครบางคนพูดขึ้นอย่างงุนงงด้วยเสียงแผ่วเบา ตระกูลอู่ไม่ได้พูดจาอะไรที่ทำให้องค์ชายสามขุ่นเคืองเลยมิใช่หรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะอย่างเย็นชา “ขาของเขาหักได้อย่างไร ข้าคิดว่าข้ารู้ดีกว่าพวกเจ้าทุกคน เขาเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ในกองทัพ และพอออกจากค่ายทหารแล้ว เขายังกล้าที่จะฝันถึงการมีภรรยาอีก เขาน่าจะรู้ดีเกินกว่าที่จะทำความผิดเช่นนี้ จับเขาตอน และโยนเขาเข้าคุกใต้ดิน”
ขันทีซุน “…” เขาคิดว่าเรื่องการแต่งงานนั้นจะจบลงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าองค์ชายจะยังไม่ลืม
บางคนรู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างแปลกๆ อดีตฮ่องเต้ไม่เคยมีผู้ติดตามเมื่อเขาออกงาน แต่ปีนี้ ทั้งตระกูลมู่หรง ตระกูลหยวน รวมถึงเหล่าผู้ใต้บังคับชา ตระกูลหลี่และตระกูลอู่กลับได้รับคำสั่งให้ติดตามมาร่วมงานกับเขาอย่างกะทันหัน พอมาคิดดูแล้ว ทุกอย่างก็ราวกับเป็นภาพลวงตาที่ถูกจัดฉากไว้แล้ว
แต่มันดูไม่ใช่วิธีการขององค์ชายสามเลย หากเขาต้องการจะตัดศีรษะของใครสักคน ปกติแล้ว เขาก็จะออกคำสั่งตรงๆ และจะไม่ใช้วิธีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ ใครเป็นคนวางแผนนี้อยู่เบื้องหลังกัน คนอื่นๆ ที่เหลือกลับไปแล้ว ส่วนมู่หรงฉางเฟิงและตระกูลหยวนต่างก็งุนงงและรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ และตลอดเวลาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็แค่ถือถ้วยชาอยู่ในมือ สีหน้าของเขาดูเฉยเมย
ขันทีซุนมององค์ชายสาม ดูเหมือนว่าวันนี้ คนที่พ่ายแพ้ คือกลุ่มคนที่ทำให้คุณหนูใหญ่ขุ่นเคืองที่สำนักไท่ไป๋
ไม่ ไม่ใช่แค่นั้นสิ
เป็นไปได้หรือไม่ว่าองค์ชายจะหึงหวง ขันทีซุนสำลักกับความคิดของตนเอง และไม่สามารถหยุดไอได้ คำนี้ไม่เหมาะกับองค์ชายเอาเสียเลย
และมันก็ไม่สายไปหน่อยหรือ ขันทีซุนมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยความคลางแคลงใจ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แน่นอนว่าการถอนรากถอนโคนต้องใช้เวลา”
ขันทีซุนคิดในใจ จริงหรือ มันใช่ความหึงหวงขององค์ชายจริงๆ หรือ
ถ้าเช่นนั้น ความรู้สึกที่องค์ชายมีต่อคุณหนูใหญ่…
ก่อนที่เขาจะพูดอะไรได้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับถือดอกท้อในมือ ก่อนจะหรี่ตามองออกไปด้านนอก และสั่งเงาทมิฬว่า “ไปดูว่านางนั่งอยู่ตรงไหน”
“พ่ะย่ะค่ะ” จากนั้น เงาทมิฬก็หายตัวไปยังงานประมูล
เมื่อถึงเวลาค่ำ งานประมูลก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม หลังจากวางแผนเรื่องการมาเที่ยวสองต่อสองไว้อย่างรอบคอบ คุณชายเฮยมองคนที่อยู่ด้านข้างของตนเอง ใบหน้าอันเหล่อเหลาของเขาชะงักค้างอยู่ครู่หนึ่ง และพูดขึ้นว่า “ทำไมถึงเป็นเจ้าไปได้”
“ทำไมถึงจะเป็นข้าไม่ได้เล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยแกว่งจอกเหล้าในมือ และหัวเราะเบาๆ “นี่ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับคู่รักที่จะมาพูดคุยกันเรื่องความรักไม่ใช่หรือ”
เฮยเจ๋อขมวดคิ้ว และรู้สึกว่าคำถามของตนเองได้รับคำตอบแล้ว “นี่ เวยเวย ฟังข้านะ แม้ว่าข้าจะชื่นชมเจ้า แต่ข้าก็ไม่ได้มีใจให้เจ้าเลย”
รอยยิ้มของเฮ่อเหลียนเวยเวยแข็งเกร็ง ราวกับถูกเหยียดหยาม “แล้วทำไมเจ้าถึงบอกว่าจะแต่งงานกับข้าเล่า”
“นั่นเป็นเพราะ…” เฮยเจ๋อดึงผมยาวของตนเอง และทันใดนั้น เขาก็รู้สึกผิดทันที มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะสามารถแอบหนีออกมาข้างนอกได้ ในขณะที่ท่านพ่อของเขาคอยจับตาดูอยู่เช่นนี้ ทั้งหมด ก็เพียงเพื่อที่เขาจะสามารถใช้เวลากับหญิงสาวซื่อบื้อคนนั้นได้ แล้วทำไมเขาถึงมาเจอกับเฮ่อเหลียนเวยเวยแทนเล่า
อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ เขายังเคยสงสัยว่านางจะชอบเขาอีกด้วย ดังนั้น วันนี้ เรื่องราวจึงเป็นเช่นนี้… เป็นไปได้หรือไม่ว่าคำใบ้ที่เขาให้ไว้ก่อนหน้านี้จะโจ่งแจ้งเกินไป
เฮยเจ๋อสำนักผิดสุดหัวใจ แต่หากพูดไปตรงๆ เขาก็กลัวว่าจะไปทำร้ายความรู้สึกของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาครุ่นคิดอยู่นานจนไม่สามารถพูดออกไปได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยถกแขนเสื้อของตนเองขึ้นข้างหนึ่ง และเอนศีรษะไปด้านข้าง พร้อมกับทำเสียงสะอึกสะอื้นราวกับกำลังร้องไห้อยู่ “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็โกหกข้ามาตลอด น่าเสียดายที่ข้าอุตส่าห์มอบความรู้สึกที่จริงใจให้กับเจ้า”
เฮยเจ๋อตกตะลึง ตลอดเวลาที่เขารู้จักเฮ่อเหลียนเวยเวยมา นางมักจะทำตัวสุขุมและรักษาท่าทีเสมอ เขาไม่เคยเห็นนางร้องไห้มาก่อน
“ข้า ข้า ข้า…” เฮยเจ๋อนั่งลงอย่างเศร้าใจ และลูบผมของเฮ่อเหลียนเวยเวย “ข้าไม่ดีเอง”
เดิมที เขาตั้งใจจะปลอบประโลมนาง อย่างไรก็ตาม หากคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ คงต่างก็คิดว่าพวกเขาเป็นคู่รักที่เพิ่งจะทะเลาะกัน และคืนดีกัน
ขันทีซุนคร่ำครวญในใจ ก่อนจะหมุนตัวและหันหลังกลับไป
หน้ากากสีเงินที่อยู่บนใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นดูเย็นชากว่าทุกครั้ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วนิ้วมือสีงาช้างของเขาก็กำดอกท้อที่ตั้งใจจะมอบให้เฮ่อเหลียนเวยเวยไว้แน่น ความงดงามแต่เย็นชาที่เขาแสดงออกมานั้น ไม่สามารถปกปิดความรู้สึกที่พังทลายของเขาได้ ในขณะนั้น บรรยากาศรอบตัวของเขาก็เย็นเฉียบ แม้แต่เสียงหัวเราะของเขาก็ยังเยือกเย็นจนทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น
ท่ามกลางฝูงชนที่ส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครม ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองดูเหยื่อของตนเอง หญิงสาวที่ควรจะอยู่กับเขา ตอนนี้นางกลับกำลังพูดคุยเรื่องความรักกับชายอื่น แค่ประโยคนั้นก็ทำให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกสั่นไหว และความโศกเศร้าก็กระจายไปทั่วจิตใจของเขาจนไม่สามารถอธิบายได้ เขากำลังจะสูญเสียพลังปราณไปอีกครั้งเช่นนั้นหรือ
อ่า แล้วมันจะทำไมเล่า
บางที หลังจากที่เหยื่อของเขาและคนรักของนางคืนดีกันแล้ว นางก็อาจจะลืมสัญญาที่พวกเขามีต่อกัน และวิ่งหนีไปเหมือนครั้งก่อน เหตุการณ์ต่างๆ วนเวียนอยู่ในจิตใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคอยย้ำเตือนไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่าเหยื่อที่เขาต้องการตัวนั้น ไม่ใช่ของเขา