องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 237 อยู่ด้วยกันสองคน
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบสันจมูกของตน แล้วเดินออกไป ”ข้าเอง”
“ผู้สนับสนุนทางการเงินหรือ” ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่มองลอดผ่านผ้าสีขาวดูบริสุทธิ์และไร้ซึ่งพิษภัย สง่างามราวกับหยกชิ้นงาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำอะไรไม่ถูก ”ข้าบอกให้เจ้าเรียกข้าด้วยชื่ออย่างไร เมื่อครู่นี้เจ้าคุยอะไรกับข้ารับใช้หรือ ดูลึกลับทีเดียว”
“ดูเหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้นที่บ้านน่ะ วันพรุ่งนี้ข้าก็เลยอนุญาตให้เขากลับไปก่อน” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแผ่วเบา
ตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ามาเรียนในสำนัก นางคิดว่าอีกฝ่ายก็อยู่ในสภาพเดียวกันกับนาง อยู่ในสถานการณ์ที่อำนาจของตระกูลตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น ดังนั้นนางจึงเข้าใจและไม่ได้ซักไซ้อะไรเขาอีก เพียงแค่ถามว่า ”ถ้าเขากลับไป แล้วเจ้าล่ะ ตาของเจ้ายังไม่หายดีมิใช่หรือ”
“ข้าไม่รู้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่ายศีรษะเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ดูมีท่าทีอวดดีขึ้นเล็กน้อย ”ข้าคงจะอยู่ที่สำนักคนเดียวทั้งวันกระมัง”
เสแสร้ง ฝ่าบาทต้องกำลังแสดงละครอยู่แน่ๆ! เงาทมิฬเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดูเพื่อนร่วมโต๊ะของตัวเอง แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ”ทำไมเจ้าไม่ลงเขาไปพร้อมข้าล่ะ”
“จะไม่เป็นการรบกวนเจ้าหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้ดีว่าเวลาใดจำเป็นที่จะต้องทำตัวสุภาพ
เงาทมิฬ ”…” [ฝ่าบาท พอได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ! ท่านรู้ว่าพระชายาต้องไปเอาบัตรประจำตัวผู้เข้าแข่งขัน ท่านก็เลยมารออยู่ที่นี่เพื่อให้นางพาท่านไปด้วยต่างหาก]
แต่ท่าทางอันสุภาพนั้นกลับยิ่งทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่านางอยากจะพาเพื่อนร่วมโต๊ะไปด้วยมากขึ้น ”ไม่รบกวนอยู่แล้ว อย่างไรเสียข้าก็ต้องลงเขาไปเอาบัตรประจำตัวผู้เข้าแข่งขันอยู่แล้ว”
“ก็ได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม แล้วชำเลืองมองมือของตัวเอง และพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง ”เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้ามองไม่เห็น ข้าเลยเดินเหินไม่สะดวกนัก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่นางได้ยินที่เขาพูด นางก็เดินตรงเข้าไปจับมือเขา พร้อมกับสาวเท้าเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง ท่าทางนางดูหล่อเหลาดีทีเดียว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นมุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่อ่านได้ว่า ‘แผนการสำเร็จแล้ว’
แสงตะวันโพล้เพล้สาดส่องลงมาบนร่างของคนทั้งคู่จนเกิดเป็นเงายาวสองเงา ศิษย์ที่เดินไปมาอยู่ภายในสำนักต่างก็มองเห็นภาพนี้กันได้ทุกคน บริเวณทางเดินที่ทอดตัวยาวลงมาจากภูเขานั้นมีสายลมโบกพัด พาเอากลีบดอกไม้สีขาวร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน เด็กสาวผิวคล้ำจับมือเด็กหนุ่มรูปงามผู้หล่อเหลาเสียจนสามารถบดบังรัศมีของสวรรค์ได้ เสื้อคลุมสีขาวและสีเขียวของทั้งสองพันกันเล็กน้อย ดูสงบนิ่งราวกับอยู่ด้วยกันมานานนับพันปี
เฮ่อเหลียนเวยเวยได้รับบัตรประจำตัวผู้เข้าแข่งขันมาจากฝั่งผู้เข้าแข่งทั่วไป นางไม่เห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่นี่ จะมีก็แต่เพียงชายหนุ่มและเด็กสาวที่ได้รับการคัดเลือกมาจากทั่วทั้งแผ่นดินเท่านั้น
ไม่มีใครรู้จักกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครแปลกใจที่เฮ่อเหลียนเวยเวยมาปรากฏตัวที่นี่ เฮ่อเหลียนเวยเวยได้รับบัตรประจำตัวผู้เข้าแข่งขันมาได้อย่างราบรื่น แต่ใบหน้าของเพื่อนร่วมโต๊ะของนางกลับดูสะดุดตาเกินไป เพียงแค่ยืนเฉยๆ อยู่ตรงนั้น เขาก็สามารถดึงดูดความสนใจจากทุกคนได้มากทีเดียว
“จริงสิ ทำไมเจ้าไม่เข้าร่วมการประลองยุทธ์ล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยดูเหมือนเพิ่งจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางมองเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของเพื่อนร่วมโต๊ะด้วยดวงตาสงสัยเล็กน้อย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ”ดวงตาของข้าได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถประลองได้”
หากเฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ฐานะที่แท้จริงของเขา เช่นนั้นนางก็คงรู้ว่าเขากำลังโกหกอยู่ แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยในตอนนี้คิดเพียงแค่ว่าเขาเองก็คงอยากจะลงประลองเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองเหมือนกัน แต่โชคร้ายที่ดวงตาของเขาดันมาบาดเจ็บเข้าเสียก่อน ทันใดนั้นความรู้สึกยอมรับและเห็นใจก็เกิดขึ้นในใจของนาง ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาอีก ทั้งสองเพียงแค่จูงมือกัน แล้วสาวเท้าออกไปข้างหน้าเท่านั้น นางไม่สังเกตเห็นจุดสีดำเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นตรงมุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลย
เขาบอกแล้วว่า เหยื่อที่เขาหมายตาเอาไว้นั้นมีจุดอ่อนสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกจอมดื้อรั้นมักมีกรงเล็บที่แข็งแกร่ง แต่ไม่ใช่กับที่อุ้งเท้าของมัน ตราบใดที่เรามีวิธีการรับมือได้อย่างเชี่ยวชาญ เราก็สามารถที่จะจับและเล่นกับมันได้ นางก็เป็นเหมือนเช่นพวกมัน…
ค่ำคืนเริ่มดึกสงัด ทั้งสองก้าวเดินต่อไปข้างหน้า บนเส้นทางที่ทอดยาวขึ้นไปบนเขานั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน
เฮ่อเหลียนเวยเวยฮัมเพลง เสียงใสๆ ของนาง กับเนื้อเพลงอันลึกซึ้งนั้นทำให้ฟังดูไพเราะยิ่งนัก ”เจ้ารู้หรือเปล่า ข้ายังคงจดจำเจ้าในวัยสิบห้าปีได้ เจ้าที่ร้องไห้และไร้ซึ่งความสุข ข้าอยากโอบกอดเจ้าเอาไว้ในอ้อมแขน เข้าปะทะกับโลกทั้งใบโดยไม่รับรู้ถึงรูปร่างของตัวข้าเอง ทุกความเจ็บปวดนั้น ในที่สุดข้าก็สามารถเยียวยาเจ้าได้… วันหนึ่งเมื่อข้าชราไป ข้าหวัง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ข้าเคยได้อยู่เคียงข้างเจ้าในวัยสิบห้าปี…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพยายามรักษาความเย็นชาบนใบหน้าของตัวเองเอาไว้ เขาเอียงศีรษะฟังเงียบๆ แสงสีขาวแล่นผ่านขึ้นในดวงตาของเขาที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าขาว เพราะเขามองไม่เห็น จึงตั้งใจฟังอย่างละเอียด เขาไม่เคยได้ยินเนื้อเพลงและทำนองเช่นนี้มาก่อนเลย แม้กระทั่งบรรดานักดนตรีภายในวังหลวงหรือต่างเมือง ก็ไม่มีใครร้องแบบนี้มาก่อน
ถ้าอย่างนั้น…
เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากที่แห่งใดกัน ดูเหมือนว่าเหยื่อของเขาจะมีความลับมากกว่าที่เขาคิด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระชับมือข้างซ้ายของตนแน่นขึ้น
“อะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับมามอง และเลิกคิ้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ ตอบ ”ไม่มีอะไร เพลงที่เจ้าร้องอยู่เพราะดีทีเดียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดชะงัก นางยิ้ม ”ข้าเพิ่งจะร้องได้แค่ไม่กี่คำเอง มันไม่ใช่เพลงจริงๆ เสียหน่อย ข้าเคยได้ยินคนอื่นร้องมา และคิดว่ามันฟังดูเพราะมากก็เท่านั้น”
ระวังตัวอยู่ตลอดเวลา นี่แหละเฮ่อเหลียนเวยเวย หากเป็นคนอื่น พวกเขาคงจะถูกคำพูดของนางหลอกเอาแล้วก็เป็นได้ แต่นางไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางในเวลานี้เป็นคนที่ไร้ซึ่งความละอายและเชี่ยวชาญในการวางแผนเพียงใด คำพูดพวกนั้นจึงไม่อาจตบตาเขาได้
“เช่นนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเม้มริมฝีปากด้วยท่าทางครุ่นคิด
เฮ่อเหลียนเวยเวยดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้น หูของนางก็ขยับ นางยื่นมือออกไปอย่างว่องไว พร้อมกับคว้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งกางร่มของตนออก เพียงพริบตา อาวุธที่ซ่อนอยู่ก็ร่วงกราวลงกับพื้น เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงความกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และคิดที่จะใช้พลังปราณทั้งหมดของตนเพื่ออัญเชิญหยวนหมิงออกมา แต่ก็ตระหนักได้ว่าที่ด้านหลังของนางมีร่างอันงดงามอีกร่างอยู่
“ระวัง!” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกมาขวาง แต่เมื่อไร้ซึ่งพลังปราณ ที่แขนของเขาจึงเกิดเป็นรอยเลือดอาบไปทั่ว
ฮี่ๆๆๆๆ
เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ให้ความรู้สึกหนึบชาเหมือนตอนงูเลื้อยผ่านต้นหญ้า ตามมาด้วยเสียงนกฮูกร้องเป็นระยะ เมื่อได้ยินเสียงเหล่านี้กลางดึก ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกเสียวสันหลังและชวนให้ขนลุกไปทั้งร่าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งท่าเตรียมพร้อม แต่เพราะนางกุมมือของอีกคนอยู่ นางจึงไม่สามารถใช้พลังปราณของนางได้ นี่เป็นจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของนางในเวลานี้ เวลาที่ใช้พลังปราณ นางจะต้องอยู่คนเดียว ตอนนี้จุดอ่อนนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงถึงชีวิตเลยทีเดียว
“ก็แค่เด็กสาวกับเด็กผู้ชายธรรมดา พวกเขาคู่ควรให้พวกเราต้องลงมือด้วยหรือ”
ร่มเงาของต้นไม้เคลื่อนไหว แล้วร่างที่มีผิวสีซีดกับแก้มตอบๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่ได้แย่นัก แต่แววตาที่อยู่ในดวงตาของเขาก็ดูชั่วร้าย และทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดยามเมื่อได้มอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาเผยปลายเล็บคมที่อยู่ใต้เสื้อคลุมสีดำตัวยาวออกมา ก็ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับขมวดคิ้วแน่น
แต่ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายไม่ได้มีแค่คนเดียว!