องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 250 ชื่อเสียงจากการประลองครั้งเดียว
หมอกสีดำคืบคลานเข้ามาจากทางด้านหลังของเฮ่อเหลียนเวยเวย แสงสว่างทั้งหมดราวกับถูกพวกมันดูดกลืนเข้าไปในทันที ทันใดนั้น รอบด้านก็พลันตกอยู่ในความมืด
มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น มิได้ยินอะไรสักอย่าง บนเวทีตกอยู่ในความเงียบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกหมอกกลุ่มนั้นปกคลุมเอาไว้ นางไม่สามารถแยกแยะทิศทางได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่จะมองเห็นการเคลื่อนไหวของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้
ตอนที่ทุกคนคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยต้องตายอย่างแน่นอนแล้วนั่นเอง!
ร่างของคนคนหนึ่งก็เดินออกมาจากหมอกสีดำ ผมยาวสยาย รูปลักษณ์โดดเด่นเป็นประกาย ประหนึ่งว่าพลังปราณที่ล้อมร่างของนางอยู่นั้นไม่มีผลกระทบอะไรกับนางเลยแม้แต่นิดเดียว!
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองนางด้วยความตกตะลึง!
นางยื่นมือออกไป หมายจะใช้โอกาสนั้นสังหารเฮ่อเหลียนเวยเวยซะ!
แต่คาดไม่ถึงว่าคมดาบของนางจะถูกอีกฝ่ายหยุดเอาไว้ได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยดูเหมือนไม่สนใจว่านิ้วของนางจะถูกบาดเข้าด้วยซ้ำ นางออกแรงกระตุกมือหนึ่งครั้ง และดึงร่างของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้าเข้าหาตัว
จากนั้น!
นางก็หมุนตัวราวกับพายุหมุน ขาเรียวของนางยกขึ้นสูง ก่อนจะเตะออกไปอย่างแรง!
ตู้ม!
ลูกเตะนั้นรุนแรงราวกับฟ้าผ่า!
เสียงสายลมกรีดผ่านอากาศดังสนั่นจนแก้วหูของทุกคนอื้ออึ้ง!
ไม่มีพิธีรีตองใดๆ มันเป็นแค่ลูกเตะที่หมายจะปลิดชีพอันสมบูรณ์แบบเท่านั้น
ร่างที่ถูกเตะปลิวสูงขึ้นไปเป็นเส้นโค้ง!
และ… กระแทกลงกับพื้นเวทีอย่างรุนแรง…
ท่ามกลางความมืดมิด เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นอนอยู่กับพื้น นางไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ความสับสนงุนงงแผ่ขยายออกไป
บรรดาผู้ชมต่างพากันแตกตื่น!
คนที่ปราศจากพลังปราณเพิ่งจะเอาชนะคนที่เกือบจะขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของธาตุทองได้!
พวกเขาไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องพรรค์นี้มาก่อนเลย!
“เดี๋ยวก่อน ดูที่ร่างของนางสิ!”
“น.. นั่นมัน… พลังปราณหรือ!!!?”
ไม่ผิดแน่ นั่นคือพลังปราณที่มองแทบไม่เห็น เป็นเหมือนกับมวลอากาศที่ก่อตัวเป็นสายลม และพัดอยู่รอบกายของเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับเกราะบางๆ
ไม่เหมือนกับอากาศที่อยู่รอบคนอื่น อากาศที่อยู่รอบตัวนางนั้นไร้ซึ่งสีสัน!
นี่เป็นพลังปราณชนิดใดกัน
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ความตกใจนั้นมากมายเหลือคณา
ขณะนั้นชายผมสีงาช้างคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องที่ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรา บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มขี้เล่นปรากฏอยู่
“นายท่านขอรับ”
เงาทมิฬก้าวถอยหลัง เล็บมือของเขามีสีดำ
“แผนการล้มเหลวขอรับ”
ชายคนนั้นจิบชา ดูเหมือนไม่ได้ประหลาดใจกับผลลัพธ์นี้ ดวงตาของเขามืดมน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกดดัน ”ข้ารู้แล้ว ลงมือต่อได้เลย”
“ขอรับ” เงาทมิฬลังเล จากนั้นจึงถามว่า ”ข้ายังต้องนำยาถอนพิษไปให้บรรดาคุณหนูคุณชายที่ดื่มชาไปหรือไม่ขอรับ”
ชายคนนั้นหรี่ตา ”ไม่จำเป็น ข้าอยากรู้ว่าจะมีใครสามารถถอนพิษของข้าได้หรือไม่”
“ขอรับ” เงาทมิฬถอยกลับไป…
พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังยืนอยู่บนเวที แล้วก้มหน้าลงมองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ถูกนางเตะตกเวทีไป เสี้ยวหน้าของนางในเวลานี้ดูหล่อเหลาผิดไปจากปกติ
มู่หรงฉางเฟิงยืนอยู่ที่ล่างเวที นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างตั้งใจ เป็นครั้งแรกที่เขาปล่อยวางจากทุกสิ่งโดยสมบูรณ์ แล้วมองดูนาง
ผู้หญิงคนนี้มักจะเต็มใจเสียสละทุกอย่างให้กับเขามาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นอะไร นางก็จะทำจนสำเร็จ ในสายตาของเขาตอนนั้น การกระทำนั้นมันช่างทำให้เขาอึดอัดจนรู้สึกหายใจไม่ออกราวกับคนโง่
แต่ตอนนี้นางกลับยืนอยู่บนจุดสูงสุดนั่นด้วยใบหน้าเล็กๆ ของนาง ปราศจากซึ่งเงาของเขาในดวงตา
ตอนนั้นเอง
มู่หรงฉางเฟิงถึงได้รู้สึกราวกับว่าดวงตาของเขาปวดแปลบขึ้นมา ความสำนึกผิดถาโถมเข้าใส่เขา แล้วแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขาราวกับกระแสน้ำ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ แสงสีทองภายในดวงตาของนางเปล่งประกายงดงาม
แปะ!แปะ!แปะ!
เสียงปรบมือดังลั่น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ในการประลองเพียงครั้งเดียว!
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นอนแผ่อยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวดจากอวัยวะภายในที่บาดเจ็บ สิ่งที่ทำให้นางแทบจะหายใจไม่ออกไม่ใช่บาดแผลนั้น แต่เป็นความจริงที่ว่านางพ่ายแพ้แล้วต่างหาก!
ตั้งแต่วันแรกที่นางเกิดจนบัดนี้ นางก็ไม่เคยต้องรู้สึกอัปยศอดสูเท่านี้มาก่อน! เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กัดฟันแน่น สภาพของนางในเวลานี้ไม่ได้มีความงดงามหลงเหลืออยู่อีกต่อไป มีก็แต่เพียงใบหน้าบวมช้ำ และผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง นางดูน่าเกลียดกว่าสาวใช้ที่มาช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้นเสียอีก
“ไสหัวไป!” การต้องพ่ายแพ้ให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นช่างขมขื่นยิ่งนัก เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ระบายความโกรธของนางกับสาวใช้ ยังไม่ทันที่นางจะลุกขึ้นยืนได้อย่างมั่นคง นางก็ตบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง
สาวใช้คนนั้นกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บ!
บรรดาผู้ชมอดที่จะหันหน้าไปมองนางไม่ได้ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเข้าใจ ราวกับพวกเขารู้แล้วว่าบุตรสาวคนรองของตระกูลเฮ่อเหลียนนั้นเผยธาตุแท้อันเลวทรามของตนออกมาแล้ว
ทันทีที่ตระหนักถึงสิ่งที่ตนทำลงไปได้ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็รีบชักมือกลับ นางเปลี่ยนสีหน้า แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า ”พวกเจ้าตั้งใจจะทำอะไร ในรอบตัดสินนี้พี่ใหญ่เป็นผู้ชนะ ไม่ว่านางจะใช้วิธีการอันใดก็ตาม แต่ข้าก็ขอยอมรับความพ่ายแพ้นี้ แล้วเจ้าเป็นใคร! ถึงจะมาสั่งให้ข้าสร้างปัญหาให้กับพี่สาวของตัวเองได้!”
“ค... คุณหนูเจ้าคะ” สาวใช้ไม่รู้ว่าทำไมคุณหนูของตนจึงกล่าวคำพูดพวกนั้นออกมา นางตอบว่า ”บ่าวมิกล้าหรอกเจ้าค่ะ”
หลังสิ้นสุดประโยคนั้น บรรดาคนที่พ่ายแพ้ให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับมีความคิดอีกอย่างปรากฏขึ้นมาในหัว แน่นอนว่าพวกเขาต้องการที่จะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้นจึงใช้นิ้วกุมแขนที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้ แล้วตะโกนไปทางผู้ตัดสิน ”ผู้ตัดสิน การแข่งขันนี้ไม่ยุติธรรม พวกเราขอเรียกร้องให้ตรวจสอบพลังปราณของเฮ่อเหลียนเวยเวย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำเพียงมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
คนพวกนี้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ตอนแรกพวกเขาก็รวบรวมพลังปราณของตัวเองไม่ได้ แล้วจากนั้นก็มีปราการที่มองไม่เห็นก่อตัวขึ้นจากสายลมที่โอบล้อมเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ ในระหว่างการทดสอบกับลูกแก้วนั้น ร่างของนางไม่มีพลังปราณเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้นางกลับแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
นางต้องใช้อะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้จักอย่างแน่นอน!
ศิษย์ทั้งสิบคนนั้นจึงตัดสินใจที่จะคัดค้านเรื่องนี้ และเรียกร้องให้ผู้ตัดสินทำการตรวจสอบอีกครั้ง
ระหว่างที่บรรดาผู้ตัดสินกำลังปรึกษาเรื่องนี้อยู่นั้น
ทันใดนั้นเอง
เด็กสาวหลายคนที่กำลังส่งเสียงค้านอย่างเกรี้ยวกราดอยู่ก็กุมหน้าอกข้างซ้ายของตน แล้วล้มลงไปกับพื้น ใบหน้าของนางซีดจนไร้สีเลือด!
จากนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังระงม!
ทุกคนมองไปที่เด็กสาวคนนั้น แล้วก้าวถอยห่างออกมา ”ก.. เกิดอะไรขึ้น”
คุณชายที่ฉลาดคนหนึ่งตรวจสอบชีพจรของตนทันทีที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กสาวคนนั้น เวลานี้เองเขาจึงตระหนักได้ว่าพลังปราณในร่างของเขากำลังเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว!
“พิษสลายพลัง มันต้องเป็นพิษสลายพลังอย่างแน่นอน!”
จากนั้นทั้งสิบคนก็ใช้นิ้วจับชีพจรของตน พวกเขาส่ายหน้าด้วยความสิ้นหวัง
“ไม่สิ มันไม่ได้มีแค่พิษสลายพลัง ยังมีพิษกร่อนกระดูกระดับรุนแรงอยู่ด้วย!” ลูกศิษย์หนึ่งในนั้นเคยเรียนวิชาแพทย์มาก่อน เขาค้นพบความรุนแรงของอาการนี้ผ่านการตรวจสอบอาการข้างเคียงของพวกตน
หากอยู่เฉยๆ ผงกร่อนกระดูกก็แทบจะไม่ออกฤทธิ์เลยก็ว่าได้ แต่เมื่อใดที่มันเริ่มออกฤทธิ์ เมื่อนั้นก็เท่ากับว่ามันสายเกินไปแล้ว!
ชายคนนั้นตื่นตระหนกทันที ”ข้าจะทำอย่างไรดี พวกเราควรทำอย่างไรกันดี พิษกร่อนกระดูกนั้นไม่มียาแก้พิษ อีกทั้งเมื่อครู่นี้พวกเราเพิ่งจะรวบรวมพลังปราณไปแล้วด้วย…”
โครม!
ยังพูดไม่ทันขาดคำ ศิษย์หนึ่งในสิบคนนั้นก็ล้มลง!