องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 261 พิธีอภิเสกสมรสกำลังจะเกิดขึ้น
บ้าเอ๊ย! เขาเพิ่งได้ยินว่าอะไรนะ!?
เด็กหนุ่มรูปงามเห็นชายผมแดงค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาตนเอง มันสายเกินกว่าที่เขาจะวิ่งหนีไปพร้อมกับหมาป่าสีเงินที่อยู่ในอ้อมแขนของตนเอง แต่โชคดีที่กิเลนอัคคีนั้นยังใจดีพอที่จะเหลือกางเกงในให้เขาไว้หนึ่งตัว
แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก!
แล้วเขาจะเดินทางกลับได้อย่างไรเล่า
ที่นี่คือสำนักไท่ไป๋ สถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย!
“นายน้อยขอรับ” เมื่อคนจากเมืองอู่ซิวเข้ามา พวกเขาก็เห็นนายท่านของพวกเขาหมอบอยู่ใต้พุ่มหญ้า และหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่ผ่านไปมาต่างก็ชี้มาทางเขา หญิงสาวที่เป็นศิษย์จากสำนักไท่ไป๋บางคนถึงกับกรีดร้องออกมา พร้อมกับหันหน้าหนีและตำหนิว่า “ไอ้คนโรคจิต!”
องครักษ์เงากลืนน้ำลาย และตะโกนอีกครั้ง “นายน้อยขอรับ!”
ใบหน้าโกรธจัดของเด็กหนุ่มรูปงามทำให้ผู้คนตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม เขาดึงเสื้อคลุมที่คนของเขายื่นมาให้ และเอามาคลุมบนร่างกายของตัวเอง เขาหรี่ตาที่แดงก่ำราวกับยมทูต “หุบปาก!”
“ขอรับ” องครักษ์เงาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “แต่ข้ามาตามหานายน้อยเพื่อจะบอกว่ามีวิธีแก้คำสาปให้ท่านแล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มรูปงามก็หันกลับมามอง “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ พูดใหม่อีกครั้งซิ!”
“มีวิธีถอนคำสาปบนร่างกายของท่านแล้วขอรับ” องครักษ์เงามองด้วยความเคารพ
ประมุขตระกูลหานรุ่นหลังๆ ต่างก็ถูกสาป เพราะเมื่อในอดีต พวกเขาเคยทำให้ชายในตำนานคนนั้นขุ่นเคืองใจ
ดังนั้น ประมุขของตระกูลหานในแต่ละรุ่นจึงเติบโตได้ช้าเป็นพิเศษ
จนถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปหลายพันปี แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของชายคนนั้น
ในที่สุด ตระกูลหานก็สามารถทำลายคำสาปนี้ได้!
เด็กหนุ่มรูปงามคนนั้นมองดูคนที่อยู่ตรงเท้าของเขา แล้วขยับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา และปลายลิ้นนั้นก็เลียริมฝีปากบางของตนเอง “แล้วเจ้าจะรออะไรเล่า ข้าอยากจะเห็นแล้วว่าระหว่างพี่ใหญ่แห่งจักรวรรดิกับข้าที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน…”
เปาะแปะ เปาะแปะ…
ทันใดนั้น หยาดฝนก็ตกกระทบหน้าต่างไม้จนเกิดเสียงดัง หลังจากงานประลองยุทธ์จบลง เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง และไม่แม้แต่จะเดินออกจากประตูห้องเลย
นางจะส่งเสียงกรีดร้องหนึ่งถึงสองครั้งต่อวัน และไม่มีสาวใช้คนใดกล้าเข้าไปรับใช้นาง
ซูเหยียนโม่เห็นเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกปวดใจอย่างมาก “เจียวเอ๋อร์ เจ้าต้องกินอะไรบ้างนะ”
“ข้าไม่อยากกิน!” ทันทีที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เห็นซูเหยียนโม่ นิ้วมือของนางก็จับเตียงไม้แน่น “ท่านแม่ ทำไมองค์ชายสามถึงเลือกนังแพศยานั่น” นังแพศยาคนนั้นเทียบอะไรกับข้าไม่ได้เลยสักนิด องค์ชายคิดอะไรอยู่กันแน่
ซูเหยียนโม่ลูบผมยาวของลูกสาวสุดที่รัก ดวงตาของนางดูชั่วร้ายอย่างมาก “องค์ชายสามเพียงแค่ต้องการนางสนมสักคน เพื่อจะทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายหยุดแสดงความคิดเห็นก็เท่านั้น นังแพศยาคนนั้นเพียงแค่โชคดีที่องค์ชายเลือกหยิบไปเป็นตัวหมาก แต่องค์ชายสามไม่มีทางที่จะรู้สึกอะไรกับนางหรอก เพราะหน้าตาของนางอัปลักษณ์เช่นนั้น”
“ถ้าเช่นนั้น ทำไมองค์ชายถึงไม่หมั้นหมายกับข้าเพื่อเป็นการลดขั้นตอนไปเลยเล่า ข้าไม่สน ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะต้องเป็นคนที่แต่งงานกับราชวงศ์เท่านั้น”
ซูเหยียนโม่มองดวงตาที่แดงก่ำของลูกสาวสุดที่รัก และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าวางใจได้ เจียวเอ๋อร์ ท่านแม่คนนี้จะไม่ยอมให้นังแพศยานั่นได้ผลประโยชน์ใดๆ ข้าจัดการทุกอย่างไว้แล้ว ครั้งก่อน เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่านังแพศยานั่นดูไม่เหมือนกับเป็นตัวเอง แม่ก็สงสัยว่านางอาจจะถูกวิญญาณสิงเช่นกัน เมื่อองค์ชายสามแต่งงาน พระภิกษุจากทั่วแคว้นจะมาที่งาน และท่านแม่คนนี้ก็จะถอดหน้ากากของนางออกมาเอง เพื่อเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของนางออกมา ทำให้นางไม่สามารถเข้าไปอยู่ในวังได้”
“นางถูกสิงเช่นนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กะพริบตาทั้งที่มีน้ำตาเอ่อคลอ และตัวสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ นางเอื้อมมือออกไปดึงมือของฮูหยินซู “ท่านแม่ มีบางอย่างที่ข้ารู้สึกว่ามันผิดปกติมาโดยตลอด แม้แต่ตอนนี้ ข้าก็ยังคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในวันที่มีการประลองยุทธ์ ดูเหมือนว่านังแพศยานั่นจะมีเงาบางอย่างติดตามอยู่ข้างหลัง ท่านแม่คิดว่าตอนนี้ เงานั่นคือวิญญาณที่สิงร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่หรือไม่”
ก่อนหน้านี้ ซูเหยียนโม่เพียงแค่รู้สึกคลางแคลงใจ แต่ตอนนี้ เมื่อนางได้ยินคำพูดจากลูกสาวของตนเอง นางก็ตกใจ “เจียวเอ๋อร์ ทำไมก่อนหน้านี้ เจ้าถึงไม่เคยบอกแม่เล่า”
“ข้าก็เพิ่งนึกขึ้นได้วันนี้เหมือนกัน” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หยุดชะงัก
ซูเหยียนโม่ลูบมือของนาง “หากนางถูกสิงจริงๆ เราก็ไม่จำเป็นต้องสอนบทเรียนใดๆ ให้กับนังแพศยานั่น โลกทั้งใบจะขับไล่นางออกไปเอง คอยดูเถอะ ท่านแม่คนนี้จะทำให้นางได้ลิ้มรสชาติของการถูกคนนับล้านรังเกียจในวันอภิเสกสมรสนั่นเอง”
“ในวันอภิเษกสมรสหรือ ทำไมต้องรอจนถึงวันนั้นด้วยเล่า” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เปล่งประกายไปด้วยความอาฆาต “ลูกอยากให้นังแพศยานั่นตายเดี๋ยวนี้เลย!”
ซูเหยียนโม่เขกหน้าผากของนาง “เจ้าคิดไม่รอบคอบเลย หากไม่รอจนถึงวันอภิเษกสมรส แล้วท่านแม่คนนี้จะใช้ประโยชน์จากพระภิกษุเหล่านั้นได้อย่างไรกันเล่า มันเป็นประเพณีที่พระภิกษุเหล่านั้นจะสวดมนต์ในวันอภิเษกสมรสขององค์ชาย เมื่อถึงตอนนั้น เพียงแค่เปลี่ยนแปลงบทสวดเพียงเล็กน้อย เหล่าพระภิกษุทั้งหลายก็จะขับไล่วิญญาณชั่วร้ายออกจากร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวย และก็จะเป็นจุดจบของนังแพศยานั่นอย่างไรเล่า”
ครืน…
ประตูไม้หรูหราและสง่างามเคลื่อนเข้าหากันอย่างช้าๆ
ในบริเวณที่ลึกที่สุดของวังหลวงแห่งนี้ เงาทมิฬที่เข้ามาจากด้านนอกคุกเข่าลงกับพื้น
“ฝ่าบาท”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางม้วนกระดาษในมือลง และวางนิ้วมือลงบนบัลลังก์ มืออีกข้างของเขาเท้าคางอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ว่ามา”
“เรื่องนี้ได้รับการตรวจสอบเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬก้มหน้าลง “คุณหนูใหญ่เฮ่อเหลียนคือคุณหนูใหญ่คนเดิมจริงๆ ส่วนอารมณ์ของนางนั้น ว่ากันว่า หลังจากถูกถอนหมั้นไป นางก็รับมือกับเรื่องนี้อย่างยากลำบาก ก่อนจะกระโดดลงแม่น้ำด้วยตัวเอง หลังจากได้รับการช่วยเหลือ นางก็ดูเปลี่ยนไป สาวใช้ในคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ยังรู้สึกแปลกใจที่คนที่กระโดดลงไปในแม่น้ำด้วยตัวเองนั้นยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร เขาหมุนแหวนหยกสีดำบนนิ้วก้อยของตนเองอย่างเชื่องช้า
เงาทมิฬมองดูสีหน้าของเจ้านายตนเอง “ฝ่าบาท ท่านกำลังจะบอกว่านาง…”
เขายังไม่ทันพูดคำว่า ‘ถูกสิง’ ออกไปเลย
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ขัดจังหวะเขา “ปิดข่าวนี้ให้หมด ข้าไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องนี้ รวมถึงอดีตฮ่องเต้ด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬก้มศีรษะลง แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “เจ้าไปตรวจสอบดูอีกครั้ง หากมีใครสนใจเรื่องนี้ หลังจากที่เจ้าตรวจสอบแล้ว ก็ให้ตัดแหล่งที่มาของพวกเขาทันที”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ”
เงาทมิฬถอยกลับไป แต่เขาก็ยังคงย่นหัวคิ้ว ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรกัน
เขาต้องการจะเก็บความลับนี้ไว้เพื่อช่วยเหลือคุณหนูใหญ่เช่นนั้นหรือ
แต่ราชวงศ์ไม่ยอมรับคนที่ถูกวิญญาณสิง แล้วนับประสาอะไรกับการแต่งงานเข้ามาในราชวงศ์เล่า
ฝ่าบาทกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…
ฟิ้ว!
เสียงสายลมเย็นพัดผ่าน
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่บนขอบกระจกสีสัมฤทธิ์ ดวงตาของนางเป็นประกาย ช่วงนี้ นางรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังตรวจสอบเรื่องของนางอยู่
แม้แต่เวยเจ๋อก็ยังถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นั่นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยมีลางสังหรณ์ว่ามีใครบางคนเริ่มสงสัยในตัวตนของนาง
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นคนที่ไม่เคยเกรงกลัวต่อปัญหาใดๆ อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในจักรวรรดิจ้านหลง การจัดการกับวิญญาณที่เข้าสิงผู้คนนั้น ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยครั้ง
ราชวงศ์นั้นเกลียดชังคนประเภทนี้อย่างมาก และตัดสินว่าคนเหล่านี้เป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาดจากยุคโบราณ
มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวยที่จะคาดเดาถึงปฏิกิริยาขององค์ชายสามได้ หากนางบอกเขาว่าตัวเองเป็นราชินีด้านอาวุธที่มาจากโลกในอนาคตอีกหลายพันปีต่อจากนี้ นางก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะใช้อภิสิทธิ์ในการตัดสินแทนสรวงสวรรค์ทันที หรือว่าเขาจะเข้าใจนางกันแน่…