องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 266 คืนแต่งงาน
เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กลับมาได้สติ นางก็เห็นว่าซูเหยียนโม่กำลังจับมือนางอยู่
หากท่านแม่ของนางไม่ทำเช่นนั้น นางก็คงจะพุ่งตัวไปข้างหน้าแล้ว
ทุกคนรอบข้างนางต่างก็มองนางราวกับว่านางเป็นหญิงสาวเสียสติ สายตาเหล่านั้นทำให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อยากจะหารูเพื่อมุดหนีไปเสีย
นางเคยเป็นอัจฉริยะจนทุกคนต่างก็อิจฉา แต่นางกลับตกมาอยู่ในจุดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้สึกเกลียดชังจนเข็ดฟัน แต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ ดวงตาของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ
ซูเหยียนโม่มองดูลูกสาวสุดที่รักของตนเอง ซึ่งนางไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกทำลายเช่นนี้ นางรู้สึกราวกับว่าถูกใครบางคนต่อยอย่างรุนแรง นางทนไม่ได้ แต่ก็ต้องพูดปลอบใจลูกสาว “เจียวเอ๋อร์ ฟังข้านะ แม้ว่างานอภิเษกสมรสจะเสร็จสิ้น แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็จะไม่ราบรื่น เจ้าก็รู้ว่าองค์ชายสามไม่ชอบผู้หญิงประเภทนี้ นอกจากนี้ หน้าตาของนางยังอัปลักษณ์อีกด้วย คงไม่มีผู้ชายคนไหนที่สามารถทนนางได้หรอก และองค์ชายสามก็จะไม่มีทางแตะต้องตัวนาง นอกจากนี้ ในอีกไม่นาน ก็จะมีงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของจักรวรรดิ และคนๆ นั้นก็จะต้องกลับมาอย่างแน่นอน ตราบใดที่คนๆ นั้นกลับมา นังแพศยานั่นจะต้องถูกไล่ออกไป”
“คนที่ท่านแม่พูดถึงคือสาวใช้ที่เคยดูแลองค์ชายเช่นนั้นหรือ” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย
ซูเหยียนโม่มองไปรอบๆ และลดเสียงลง “ใช่ นางนั่นแหละ จริงๆ แล้ว แม่ยังไม่อยากบอกเจ้า เพราะกลัวว่าเจ้าจะยิ่งเครียด เพราะเจ้าชอบองค์ชายสามจริงๆ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าคิดว่าควรจะต้องบอกเจ้า หลังจากนั้น เจ้าทั้งสองคนก็จะสามารถร่วมมือกันกำจัดนังแพศยานั่นได้ นังผู้หญิงอัปลักษณ์นั่นจะเทียบกับพวกเจ้าสองคนที่งดงามราวกับหยกได้อย่างไรกันเล่า”
“แต่ข้าจะต้องแต่งงานกับตระกูลฮว๋าย แล้วข้ากับองค์ชายสามจะ…” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กัดริมฝีปากบางของตนเอง ผู้หญิงที่มีสัญญาหมั้นหมายอยู่ จะไปคบหากับคนอื่นก็คงไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมนัก
แววตาของซูเหยียนโม่จริงจัง “เจียวเอ๋อร์ เจ้าต้องจำไว้ว่า ในโลกนี้ เจ้าจะเป็นฝ่ายถูกก็ต่อเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น เหมือนกับตอนที่ข้าบอกให้เจ้าไปแย่งชิงมู่หรงฉางเฟิงมา มันก็เป็นเหตุผลเดียวกัน”
“แต่ในตอนนั้น เขาไม่ได้ทำอะไรข้าเลย เขาแค่เกลียดชังนังชั่วนั่นก็เท่านั้น” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “มันเป็นความผิดของนังแพศยานั่น นางไม่ได้แค่เกิดมาหน้าตาน่าเกลียดเท่านั้น แต่นางยังหลอกหลอนซื่อจื่ออยู่เรื่อยๆ อีกด้วย แน่นอนว่า เขาเองก็รังเกียจนางเช่นกัน”
ซูเหยียนโม่ยิ้ม “เจ้าเห็นไหมเล่า แม้แต่ซื่อจื่อก็ยังไม่สามารถทนต่อใบหน้าของนางได้เลย นับประสาอะไรกับองค์ชายสามเล่า เจียวเอ๋อร์ คอยดูเถอะ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านแม่คนนี้จะแก้แค้นแทนเจ้าเอง!”
กึก!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้าวขึ้นไปบนบันไดหยกขาวขั้นสุดท้าย เหล่าขุนนางและทหารที่ยืนอยู่ในท้องพระโรงต่างตกตะลึงกับการกระทำของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พวกเขามองไปตรงกลางท้องพระโรงโดยไม่รู้ตัว
ฮ่องเต้และฮองเฮานั่งอยู่ตรงนั้น พวกเขาสวมเสื้อคลุมลายมังกรและหงส์ เดิมที พวกเขามีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า ทั้งสองคนพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดูสงบและหรูหรา แต่เมื่อพวกเขาเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังเดินเข้ามา พวกเขาก็ตะลึงงัน
มีเพียงอดีตฮ่องเต้เท่านั้นที่ลูบเคราของตนเองและหัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงหัวเราะที่สดใสของเขาดังก้องไปทั่วทั้งท้องพระโรง “พอเห็นว่าเด็กสองคนเข้ากันได้ดีเช่นนี้ ชายชราคนนี้ก็โล่งใจ มาเถอะ มาเริ่มพิธียกน้ำชากัน!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ตรงกลางท้องพระโรงนั้น ก่อนจะก้มตัวลงเพื่อวางตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยลง
เหล่าสาวใช้ในวังและขันทีต่างก็นำกาน้ำชาและถ้วยชาอย่างดีที่เตรียมไว้ออกมาเกือบจะทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไม่เห็นว่าใครเป็นใคร หญิงสาวทำได้เพียงฟังเสียงรอบข้าง และทำตามสิ่งที่นางจะต้องทำเท่านั้น
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรื่นเริงและดูมีชีวิตชีวา
ตอนที่ฮองเฮารับถ้วยชามาจากมือของเฮ่อเหลียนเวยเวย แววตาของนางก็เผยประกายบางอย่าง…
หลังจากที่พวกเขาดื่มชาเสร็จแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ส่งนางไปให้คนอื่น “พาพระชายาไปพักผ่อนที่ห้องของนาง”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เอ่ยถามอย่างไม่ทันคิด “แล้วท่านล่ะ ท่านจะไปไหนหรือ”
“ข้าจะต้องไปดื่มกับท่านปู่อีกสักสองสามจอก” หลังจากที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดจบ เขาก็หยุดไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อ น้ำเสียงของเขาฟังดูมีเสน่ห์มากกว่าปกติ “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องรอนาน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว นางรู้สึกว่าคำพูดที่องค์ชายเพิ่งพูดเมื่อสักครู่นี้ฟังดูแปลกๆ
เมื่อกิเลนอัคคีที่ยืนอยู่ด้านข้างของทั้งสองคนได้ยินคำพูดเหล่านั้น มันก็เหลือบมองหญิงสาวด้วยความเห็นใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่มีผ้าคลุมหน้าอยู่นั้น ยังไม่สามารถแยกแยะทิศทางอะไรได้ จึงทำได้เพียงเดินตามสาวใช้สองคนที่นำทางนางเท่านั้น
ในท้องพระโรง ผู้คนดื่มเครื่องดื่ม และส่งเสียงร้องเพลง รวมถึงเต้นรำอย่างครึกครื้น
หนานกงเลี่ยเล่นจอกเหล้าที่อยู่ในมือและเอนตัวไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ก่อนจะวางมือข้างหนึ่งบนไหล่ของอีกฝ่าย ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของเขามีรอยยิ้ม ขณะที่พูดขึ้นว่า “อาเจวี๋ย ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าจะอุ้มผู้หญิงเป็นด้วย ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ”
“ข้ารู้วิธีตัดมือของเจ้าด้วยเช่นกัน” น้ำเสียงที่ชัดเจนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นเต็มไปด้วยความอันตรายอย่างมาก “เจ้าอยากลองดูไหม”
หนานกงเลี่ยยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างยอมจำนนทันที “ข้าแค่คิดว่าครั้งนี้ แผนการของเจ้ามันมากเกินไป เจ้าก่อเรื่องต่างๆ มากมายเพียงเพื่อช่วยเหลือเหยื่อคนนี้ ผู้คนที่อยู่ข้างนอกเกลียดชังเจ้าอย่างมาก จนไม่สามารถรอที่จะฆ่าเจ้าทุกปีได้ และตอนนี้ เจ้ากลับเปิดเผยพลังปราณของตนเองออกมา พวกเขาจะต้องนั่งไม่ติดอย่างแน่นอน”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว นอกเสียจากว่าข้าจะคันไม้คันมือเอง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนึกถึงพระภิกษุที่มาในวันนี้ และดวงตาของเขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นทันที
สายตาของเขาเย็นชาจนทำให้หนานกงเลี่ยรู้สึกว่าหนังศีรษะชาวาบ และเขาก็เปลี่ยนประเด็น “หยุดพูดถึงพวกผู้อาวุโสเหล่านั้นเถอะ”
หนานกงเลี่ยมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างมีความหมาย ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าส่งของขวัญแต่งงานไปแล้ว คืนนี้เจ้าจะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรายตามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่แยแส
หนานกงเลี่ยก้มหน้าลงและคำนวณเวลา หลังจากนั้น มุมปากของเขาก็ค่อยๆ ยกขึ้น เขาอยากรู้ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียนจะสามารถต้านทานฤทธิ์ของยานั้นได้มากเพียงใด
อย่างไรก็ตาม ยาตัวนี้มีฤทธิ์แรงมาก จนไม่สามารถบังคับด้วยพลังปราณได้
เขากระชับเสื้อคลุมไว้แน่น ในค่ำคืนของงานแต่งงาน หากไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แล้วมันจะน่าจดจำได้อย่างไรกันเล่า
พระอาทิตย์ตกแล้ว ลมด้านนอกก็เริ่มพัดแรงขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่ในห้องส่งตัวเจ้าสาวที่ประดับด้วยดอกไม้สดในห้อง และเทียนไขสีแดงนั้นกำลังลุกโชนจนทำให้ห้องกลายเป็นสีแดง
ผมสีดำของเฮ่อเหลียนเวยเวยยาวจรดเอวของนาง ในขณะที่หญิงสาวนั่งอยู่กลางห้อง นางดูราวกับเป็นแม่มดที่ตกลงมาสู่พื้นโลก
ตอนแรก มีสาวใช้ที่รอนางอยู่ด้วย แต่ต่อมา เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าเหนื่อยเกินไป จึงให้สาวใช้ออกไปก่อน ดังนั้น ในห้องนอนนี้ จึงไม่มีใครเหลืออยู่เลย
นางเคยชินกับการทำทุกอย่างด้วยตัวเอง นางรู้สึกอึดอัดที่มีคนคอยอยู่ข้างนาง
หลังจากสาวใช้ออกไป เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ถอดผ้าคลุมหน้าออก และวางมันลงบนเก้าอี้แต่งตัวและเริ่มมองไปรอบๆ ห้องนอน ความงดงามของมันสอดคล้องกับรสนิยมส่วนตัวขององค์ชายสาม ทุกอย่างดูเรียบง่ายแต่ก็หรูหรา สระน้ำหินอ่อนสีขาว พื้นหินอ่อนใส และไข่มุกราตรีที่กระจายไปทั่ว
มีสาวใช้น้อยมาก แต่เสื้อผ้าของพวกนางนั้นสะอาดสะอ้าน จนดูร่ำรวยยิ่งกว่าเด็กๆ ที่มีฐานะข้างนอกเสียอีก
บนโต๊ะกลมที่แกะสลักมาจากไม้จันทน์นั้น มีตะเกียงน้ำมันลายมังกรและหงส์สองตัวกำลังลุกไหม้ มันส่งกลิ่นอบอวล แม้ว่ากลิ่นมันจะจาง แต่ก็หอมมากทีเดียว…