องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 270 ราชินีเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นมองเขา พร้อมกับกัดริมฝีปากล่างของตนเองอย่างแผ่วเบา ร่างกายของนางแดงระเรื่อไปทั่วทั้งตัว นางส่งเสียงสั่นเครือและฟังดูแหบพร่าเล็กน้อย นางเอ่ยคำสั่งราวกับเป็นราชินีด้วยน้ำเสียงที่ดื้อรั้นตามปกติของนาง “หากท่านต้องการจะทำ… ก็ทำเลย มิเช่นนั้น ก็ออกไปจากตัวข้า!”
“หืม เจ้าต้องการไล่ข้าออกไปเช่นนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตารูปงามของตัวเองลง พร้อมกับพลิกตัวนางกลับมา และบังคับให้นางเข้ามาใกล้ชิดเขามากขึ้น
ราวกับว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกกระตุ้นจากสัมผัสของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ทำให้นางตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย หลังจากนั้น นางก็คว้าเสื้อคลุมของชายหนุ่มไว้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองล้มลง ดวงตาของนางมีเสน่ห์อย่างมาก แม้ว่านางจะเย่อหยิ่งและยังไม่ยอมจำนนก็ตาม ผมสีดำยาวที่พาดตรงไหล่นั้น ยิ่งทำให้นางงดงามอย่างมาก
จากสถานการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้กำลังทำร้ายนางอยู่ แต่มันกลับกลายเป็นเหมือนว่านางกำลังชื่นชอบกามารมณ์ในตอนนี้ก็ไม่ปาน
ปฏิกิริยาของหญิงสาวทำให้เขาอยากจะขย้ำนางอย่างมาก!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสูดหายใจลึก ก่อนที่อารมณ์ของเขาจะปะทุขึ้น และหลังจากนั้น เขาก็จับเอวบางของนางไว้
ผมยาวของพวกเขาคลอเคลียกัน ในขณะที่พวกเขากำลังเพลิดเพลินกับทุกๆ ช่วงจังหวะและทุกๆ สัมผัสที่ได้รับ ความปรารถนาของพวกเขาอยู่เหนือเหตุและผลทุกอย่าง และนั่นก็ทำให้พวกเขารู้สึกสับสนจนแทบบ้า
ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นผลของฤทธิ์ยาหรือไม่ แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ร่ำไห้ออกมาขณะที่ถูกอีกฝ่ายรุกรานอย่างรุนแรง และเมื่อหยาดน้ำตานั้นหยดลงบนขนตาโค้งงอนของนาง ดวงตาที่เยิ้มของนางก็ทอเป็นประกายระยิบระยับ
นี่เป็นครั้งแรกของทั้งคู่ พวกเขาไม่เคยมีใครมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก่อน หัวใจของพวกเขาเต้นแรง และรู้สึกราวกับว่าเลือดของตนเองนั้นร้อนรุ่มอย่างมาก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีรูปลักษณ์ที่น่าประทับใจ แม้ว่ารอยยิ้มของเขาจะอ่อนโยนอย่างมาก แต่ทุกๆ ท่วงท่าที่เขารุกรานนั้นกลับดุดัน มีพลัง และมีอำนาจ ในตอนนี้ เขาราวกับเป็นสัตว์ดุร้ายที่หิวโหยโดยไร้ขีดจำกัด แต่ในขณะเดียวกัน หญิงสาวก็รู้สึกหลงใหลกับความดุร้ายราวกับปีศาจของเขา
เสื้อคลุมแบบโบราณของเขาถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง ทำให้เห็นว่าลำตัวของเขานั้นไม่มีไขมันเลยแม้แต่น้อย กล้ามเนื้อหน้าท้องที่สวยงามนั้นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน รวมถึงผิวพรรณที่เต่งตึงจากการออกกำลังกายและฝึกปราณอย่างสม่ำเสมอ
รูปลักษณ์ของเขาราวกับเป็นเทพเซียนที่ตกลงมาจากสรวงสวรรค์ เขายังคงสง่างามและดูดีมีระดับ แม้ว่าการกระทำของเขาในตอนนี้จะดุดันและไม่เหมาะสมนัก
ผมสีดำยาวสยายของเฮ่อเหลียนเวยเวยสะบัดไปมาตามโซ่ ในขณะที่นางเผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าของตนเอง อ้อมแขนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรัดตัวหญิงสาวไว้แน่น เขากอดรัดนางไว้อย่างไร้ความปรานี
จนในที่สุด ความปรารถนาของนางก็ค่อยๆ ลดลง นางจับมือของชายหนุ่มที่ยังคงสัมผัสเนื้อตัวทุกส่วนของนาง “พอแล้ว”
“กล้าดียังไงถึงมาสั่งให้ข้าหยุด เจ้าคิดกับข้าเช่นไรกันแน่” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นมาบนริมฝีปากของเขา เขาไม่ต้องการที่จะหยุด หนำซ้ำ เขายังจับเอวนางไว้แน่น และดันตัวเองเข้าไปหาอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่นเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ได้คลายมือจากข้อมือของชายหนุ่ม จากนั้น นางก็บีบคอของเขาและยิ้มให้เบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแหบพร่าเล็กน้อย “ข้าหวังว่าองค์ชายจะให้ความร่วมมือ”
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถูกบีบคอ เขาก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำ เขายังเอื้อมมืออกไปเล่นผมของนางที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่ออย่างซุกซน…
“ท่าน!” เฮ่อเหลียนเวยเวยอ้าปากค้าง และเมื่อเนื้อตัวของนางสัมผัสกับเขา นางก็รู้สึกกระสับกระส่ายและโหยหาขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกแปลกๆ แวบขึ้นมาในใจของนาง ราวกับเป็นสายฟ้าที่ฟาดใส่เส้นประสาทของนาง…
บ้าเอ๊ย! นี่มันยาอะไรกันเนี่ย!
เมื่อไหร่ยาจะหมดฤทธิ์สักที
“เจ้ายังต้องการขัดขืนอยู่อีกหรือ หืม” เขาจงใจพูดด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายและทุ้มต่ำ ขณะเดียวกัน เวลาก็เริ่มดึกขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าจะถูกกระทำอย่างรุนแรง แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้ร้องขอเลยแม้แต่น้อย
เขารู้สึกราวกับว่า… เขายังไม่ได้เป็นเจ้าของนาง…
ในขณะที่เขากำลังแสดงความโหดเหี้ยมที่รุนแรงอย่างไม่ลดละ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อาจทนต่อเรี่ยวแรงของชายหนุ่มได้ ทำให้นางล้มลงไปด้านหลัง อย่างไรก็ตาม ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดึงโซ่ไว้แน่นทันที ทำให้นางไม่ได้ล้มลงไป แต่กลับเข้ามาชนเขาแทน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้โอกาสนี้ควบคุมตัวนางด้วยพลังที่เขามีอย่างดุเดือด เขาสาบานว่าจะต้องพิชิตใจนางให้ได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่แล้วผมสีดำยาวของนางก็หยุดแกว่งไปมา และในที่สุด ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ปิดสนิท หญิงสาวเหงื่อออกท่วมตัว นางดูเหนื่อยล้าอย่างมาก ผิวที่ขาวผ่องและเรียบเนียนของนางทำให้หยาดเหงื่อที่ผุดออกมาดูเยือกเย็นเป็นพิเศษ และทำให้นางดูเป็นหญิงสาวที่มีความพิเศษบางอย่าง
ด้านนอกวังหลวงนั้น นางกำนัลดูกังวลเล็กน้อย “ขันที… ผ่านมาสองสามชั่วยามแล้ว จากกฎของวังหลวง ของที่อยู่นานเกินไปก็ไม่ดี…”
ขันทีซุนรู้เรื่องกฎข้อนี้อย่างไม่ต้องสงสัย เขาตั้งใจที่จะเตือนทั้งคู่ตั้งแต่สองก้านธูปที่ผ่านมาแล้ว แต่เมื่อเขาเข้าไปในห้อง เขาก็ได้ยินเสียงโซ่ทองกระทบกันดังขึ้นเป็นการต้อนรับ เขาไม่มีความกล้าพอ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
“ตอนนี้ พวกเราควรเข้าไปหยุดพวกเขาจะดีกว่า” ขันทีซุนมองท้องฟ้ายามรุ่งสางที่กำลังจะทอแสงอ่อน เขาหมุนตัวและเดินกลับเข้าไปในห้องนอน เขาเดินผ่านม่านสองสามชั้น ก่อนจะเดินไปถึงประตูห้องน้ำ เสียงน้ำไหลทำให้ฝีเท้าของเขาหยุดลง เสื้อผ้าขององค์ชายถูกทิ้งไว้บนพื้นอย่างเรี่ยราด ขันทีซุนไม่สามารถมองเข้าไปในห้องน้ำได้ เพราะถูกกระจกย้อมสีที่มีภาพวาดสีทองกั้นเอาไว้ เขาเห็นเพียงน้ำและกลีบดอกไม้ที่เปียกโชกไหลล้นออกมาจากฉากกั้น มันเป็นห้องอาบน้ำที่ถูกตกแต่งไว้อย่างงดงามและหรูหราอย่างมาก…
ขันทีซุนไม่กล้าพอที่จะเดินไปข้างหน้า ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “องค์ชาย จะให้กระหม่อมเรียกนางกำนัลมาช่วยอาบน้ำให้พระชายา หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่จำเป็น” เสียงที่ฟังดูเคร่งขรึมดังมาจากด้านหลังของฉากกั้นนั้น ขันทีซุนแทบจะได้ยินเสียงขององค์ชายสามที่กำลังช่วยอาบน้ำให้พระชายา เขารู้สึกแปลกใจอย่างมาก เพราะองค์ชายสามไม่เคยดูแลใครมาก่อน การที่องค์ชายยอมให้คนนอกอยู่ในห้องของเขา ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เขาใจดีที่สุดแล้ว…
เกิดอะไรขึ้น
ขันทีซุนจำเป็นต้องแจ้งเรื่องที่เขาควรจะบอก “แต่หลังจากนี้ พระชายาจะต้องไปคารวะฮองเฮายามเช้า[1]ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“คารวะยามเช้าหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง และยังคงมีอำนาจ “พระชายาของข้าต้องไปคารวะด้วยหรือ”
ขันทีซุนไม่สามารถโต้แย้งคำพูดนี้ได้
จริงๆ แล้ว ตั้งแต่องค์ชายสามย้ายมาที่วังหลวงแห่งนี้ เขาก็ไม่เคยไปคารวะใครเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“แต่อย่างน้อยๆ พระชายาก็ควรจะต้องไปเยี่ยมอดีตฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนยังคงยืนกราน “นอกจากนี้ การอาบน้ำนานนั้นจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงนั้นเงียบไป ก่อนที่ขันทีซุนจะได้ยินเสียงคนเดินลงจากน้ำ
ก่อนที่เขาจะได้ตอบโต้อะไร องค์ชายก็ปรากฏตัวขึ้น และเดินไปหาขันทีซุน เขาสวมใส่เพียงชุดคลุมอาบน้ำโบราณสีดำบริสุทธิ์ที่เผยให้เห็นหน้าอกกว้าง เขากำลังอุ้มเฮ่อเหลียนเวยเวยที่มีผ้าไหมสีแดงผืนใหญ่คลุมอยู่ในอ้อมแขน ผมที่ไม่ได้มัดนั้นทำให้นางดูงดงามอย่างมาก
เมื่อเห็นคนน่าทึ่งทั้งสองคนที่ราวกับเป็นนางฟ้าและเทวดามาจากสรวงสวรรค์ เขาก็หลบสายตา และก้มศีรษะลงอย่างสุภาพ
“นำผ้าที่ต้มแล้วมาให้ข้าด้วย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกคำสั่ง น้ำเสียงของเขาไม่ได้เย็นชาเหมือนแต่ก่อน หนำซ้ำ มันกลับแหบพร่าอย่างน่าหลงใหล หน้าผากของเขาปกคลุมด้วยผมสีดำที่ยุ่งเหยิงและเปียกโชก เผยให้เห็นความเย้ายวนของเขาที่ปกติแล้วจะถูกซ่อนเร้นเอาไว้
ขันทีซุนไม่เคยเห็นองค์ชายสามในสภาพเช่นนี้มาก่อน เขาตอบกลับอย่างอ้ำอึ้ง “พ่ะย่ะค่ะ”
แต่แท้จริงแล้ว ในจิตใจของเขากลับเต็มไปด้วยคำสั่งจากอดีตฮ่องเต้
ดูเหมือนว่าอดีตฮ่องเต้จะไม่เชื่อว่าองค์ชายสามตั้งใจจะแต่งงานกับคุณหนูเฮ่อเหลียนด้วยตัวเองจริงๆ เขาคิดว่าจะต้องมีแผนการบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังการแต่งงานครั้งนี้อย่างแน่นอน
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ขันทีซุนก็คิดเช่นเดียวกับอดีตฮ่องเต้ แต่ตอนนี้ เขาเปลี่ยนใจแล้ว
องค์ชายสามเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ เพียงเพื่อจะทำให้ฉากนั้นสมบูรณ์…
——————-
[1] คารวะยามเช้า เป็นธรรมเนียมประเพณีของจีนโบราณที่ลูกหลานต้องไปสวัสดียามเช้าหรือ ฉิ่งอัน ในทุกๆ เช้า