องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 279 จุดอ่อนขององค์ชายสาม
“องค์…องค์ชายสาม” เมื่อได้ยินเสียงเรียกสั่นเครือจากมุมมืด ชายหนุ่มที่กำลังเอนกายอยู่บนเก้าอี้ก็หรี่ตาลง โดยไม่ได้ละสายตาออกจากจอกแก้วในมือ จากนั้น เขาก็ยกจอกแก้วขึ้นมาและดมกลิ่นหอมตรงใต้จมูกด้วยท่าทีอันสง่างาม
พระภิกษุมองหน้ากันและเหงื่อเย็นก็ผุดขึ้นจากหน้าผากของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะสามารถท่องบทสวดไล่ความชั่วร้ายได้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าองค์ชายสามมีพลังมากมายเพียงใด
“บอกข้ามาว่าพวกเจ้าท่องบทสวดใดในงานอภิเษกสมรสของข้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้มือข้างหนึ่งยกศีรษะขึ้น พร้อมกับถือคัมภีร์บทสวดเอาไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง เขาไม่แม้แต่จะมองดูพระภิกษุเหล่านั้นเลย เขาเพียงแค่พลิกหน้าของบทสวดในมือ น้ำเสียงของเขาไม่ได้ฟังดูเย็นชาหรือเรียบเฉย “อย่าบอกข้านะว่านั่นคือบทสวดอวยพร หูของข้ายังไม่ได้หนวก”
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามคำถามนั้น เหล่าเด็กรับใช้ก็ยื่นชาที่ชงเอาไว้ให้ เด็กรับใช้เหล่านั้นเป็นเด็กหนุ่มที่เก็บความลับเป็น
หลังจากที่พระภิกษุได้ยินคำถามของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ดวงตาของพวกเขาก็ดูตกตะลึงอย่างมาก พวกเขามองหน้ากันและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่รู้ว่าองค์ชายสามทรงทราบหรือไม่ว่าบางครั้งผู้คนจะถูกวิญญาณเข้าสิงหลังจากพบเจอกับอุบัติเหตุครั้งใหญ่”
“ข้าเคยได้ยินเรื่องนั้น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางบทสวด และจงใจขมวดคิ้วให้ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคัมภีร์บทสวดที่พวกเจ้าท่องกันเสียงดังด้วย”
พระภิกษุร้องว่าอมิตาพุทธออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนจะพูดต่อ “ที่พวกเราสวดไปเป็นบทไล่วิญญาณจากบทสวดเกิดใหม่ หากคนที่ถูกวิญญาณเข้าสิงได้ฟังบทสวดนี้เป็นเวลานาน ก็จะเปิดเผยร่างจริงออกมาพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ เช่นนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลุกขึ้นยืนและสวมเสื้อคลุม “พวกเจ้าช่างบังอาจยิ่งนักที่ท่องบทสวดไล่วิญญาณในงานอภิเษกสมรสของข้า”
พระภิกษุตัวแข็งเกร็งอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็คือพระภิกษุ พวกเขาเป็นคนซื่อตรง และก็ไม่รู้วิธีการที่จะทำให้องค์ชายสามพึงพอใจ พวกเขาเพียงแค่พูดตามตรงว่า “พวกอาตมาทำไปเพราะเห็นแก่องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ พวกเราหลายคนได้รับข่าวมาว่าคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฮ่อเหลียนอาจจะถูกวิญญาณเข้าสิง และองค์ชายสามก็น่าจะรู้ดีว่าคนที่ถูกวิญญาณเข้าสิงนั้น จะไม่มีทางอาศัยอยู่ในจักรวรรดิแห่งนี้ได้ อันที่จริงแล้ว แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายยังเคยบอกเอาไว้ว่า สักวันหนึ่ง คนพวกนั้นจะกลายเป็นปีศาจ และคุกคามความปลอดภัยของประชาชนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“มันก็เป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มเยาะเย้ย “ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนเช่นนี้ พวกเจ้ากลับลงโทษพระชายาของข้าเพราะคำตักเตือนของผู้อื่นเช่นนั้นหรือ ใครทำให้พวกเจ้ากล้าทำเช่นนี้กัน”
เมื่อพระภิกษุทั้งหลายได้ยินคำพูดเหล่านั้น มือของพวกเขาก็สั่นสะท้านด้วยความตกใจ พวกเขาไม่ใช่พระจากวัดเส้าหลิน พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงตลอดทั้งปี และได้รับการแต่งตั้งจากผู้อาวุโสทั้งสี่คน พวกเขาเคยรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ขององค์ชายสาม แต่ตอนนี้ หลังจากที่ได้สัมผัสมันด้วยตัวเองจริงๆ พวกเขาก็รู้สึกตกตะลึงที่พบว่าองค์ชายสามตั้งคำถามต่างๆ ไว้เพื่อวางกับดัก และจะได้ทำโทษพวกเขากับความผิดในครั้งนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้
“ลากตัวพวกเขาไปตัดหัว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจิบชาไปหนึ่งคำ “หากมีใครถาม ก็ให้บอกว่ามีคนต้องการฉวยโอกาสจากเหล่าไต้ซือเพื่อใส่ร้ายพระชายา และไต้ซือเหล่านั้นก็ได้สารภาพผิดแล้ว หากใครอยากจะขอความเมตตา ก็ให้พวกเขามาขอจากข้าโดยตรง”
เงาทมิฬก้มหน้าลงและลากตัวเหล่าพระภิกษุออกไป
ขันทีซุนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แต่เขาไม่ได้สงสัยในตัวเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาคิดว่าการกระทำขององค์ชายที่สั่งตัดศีรษะของเหล่าพระภิกษุจำนวนมากในคราวเดียวนั้น จะนำไปสู่การแก้แค้น
เขาคิดว่าเรื่องนี้ควรแจ้งให้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบ นอกจากนี้ เขาควรจะอธิบายเรื่องนี้ให้ละเอียด โดยที่ไม่ควรพูดถึงการถูกวิญญาณเข้าสิง แต่ต้องพูดถึงเรื่องที่เหล่าพระภิกษุอ่านบทสวดตามอำเภอใจเพื่อดูหมิ่นพระชายา
ขันทีซุนยังคงมีความคิดที่จะปกป้องเฮ่อเหลียนเวยเวย ดังนั้น เขาจึงรู้ดีว่าตัวเองควรพูดหรือไม่ควรพูดเรื่องอะไร เพราะคำพูดเหล่านั้นอาจก่อให้เกิดปัญหามากขึ้นได้
หลังจากอดีตฮ่องเต้รับฟังคำอธิบายของขันทีซุน เขาก็ถอนหายใจทันที “จิตใจของเด็กคนนี้ยังคงหนักหน่วงยิ่งนัก ทั้งหมดเป็นความผิดของอดีตฮ่องเต้คนนี้ และฮ่องเต้ผู้ไร้ประโยชน์ ที่เป็นท่านพ่อของเขา”
ขันทีซุนไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร จึงทำได้เพียงปลอบเขา “อดีตฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องกล่าวโทษตัวเองมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด และเขาจะปล่อยวางสิ่งต่างๆ ได้ โดยไม่ทำให้ตัวเขาเองต้องทุกข์ใจพ่ะย่ะค่ะ”
“เหล่าซุน เฮ้อ… ชีวิตของเด็กคนนั้นช่างขมขื่นยิ่งนัก จนไม่สามารถเปรียบเทียบเขากับเจ้าเจ็ดได้เลย” อดีตฮ่องเต้ตกอยู่ในภวังค์พร้อมกับดวงตาที่แดงเล็กน้อย “องค์ชายสามต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก เขาเป็นเด็กที่มีจิตใจอ่อนไหว แต่กลับถูกญาติสนิททรยศหักหลัง บอกข้าหน่อยสิว่าในฐานะที่ข้าเป็นปู่ของเขา ข้าจะไม่รู้สึกทุกข์ใจได้อย่างไรกัน แม้แต่มารดาที่ล่วงลับไปแล้วของเขายังไม่ค่อยกอดเขาสักเท่าไหร่เลย เมื่อใดที่ข้าคิดถึงเรื่องนี้แล้ว หัวใจของข้าก็…”
ในปีที่ผ่านมา อดีตฮ่องเต้เคยพูดถึงความผิดพลาดนี้มานับครั้งไม่ถ้วน บางที ตอนนั้นเขาอาจจะยังเด็ก และมีอำนาจในสายตาของเขาเท่านั้น ดังนั้นอดีตฮ่องเต้จึงละเลยต่อหลายสิ่งหลายอย่าง
ในสมัยนั้น องค์ชายสามยังไม่ได้เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรงอย่างในปัจจุบันนี้ แต่ก็มีความเงียบขรึมเล็กน้อย ตอนที่เขาอายุได้ห้าหรือหกขวบ เขาเป็นคนที่มีเหตุและผลมากกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน
เขาไม่เคยเป็นฝ่ายขออะไรก่อนเลย มีเงาทมิฬจำนวนหลายคนที่ติดตามองค์ชายสาม และเขาก็เป็นคนที่คัดเลือกเงาทมิฬเหล่านั้นด้วยตัวเอง ในตอนนั้น พวกเขายังไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับในตอนนี้
แต่ความเย็นชาและท่าทีอันสูงส่งโดยกำเนิดนั้น รวมถึงนิสัยที่ชอบแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง ไม่อาจซ่อนเร้นเอาไว้ได้ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ที่นั่นก็จะว่างเปล่า
เหล่าองค์ชายคนอื่นๆ ไม่ชอบเล่นกับเขา เพราะเขาน่าเบื่อและไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ตรงที่เขาไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมกลุ่มกับคนอื่นๆ
ฮองเฮาก็ไม่อยากเห็นหน้าเขาด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ นางยังรู้สึกรังเกียจเขาอีกด้วย
องค์ชายรับรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
ดังนั้น ชีวิตวัยเด็กขององค์ชายสามผู้สูงส่งและเย็นชานั้น จึงไม่ได้ดีอย่างที่ทุกคนคิด
องค์ชายสามที่ไม่เป็นที่โปรดปรานคนนี้ย่อมมีชีวิตที่น่าเศร้ายิ่งกว่าเหล่าข้ารับใช้ที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในวังหลวงเสียอีก
โดยปกติแล้ว เขามักจะได้รับการกระทำที่รุนแรง
แม้แต่ขันทีและนางกำนัลก็ยังมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
แม้ว่าเขาจะเป็นเด็กฉลาด แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะเป็นเหมือนกับตั๊กแตนตำข้าวที่อยากจะหยุดราชรถ[1]ได้
ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนั้น เหล่าขันทีและนางกำนัลจำนวนมากต่างก็จงใจทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องยากสำหรับองค์ชายสาม
ขันทีซุนยังจำเหตุการณ์ในสมัยที่ราชวงศ์กำลังสั่นคลอนอย่างมากนั้นได้ เรื่องนั้นทำให้อดีตฮ่องเต้ไม่สามารถมาหาองค์ชายสามได้เป็นเวลานานหลายวัน
ต่อมา เขาก็ได้พบกับองค์ชายสามที่อยู่ในสวนหลังวัง
ความจริงแล้ว ในตอนนั้น ไม่เพียงแค่อดีตฮ่องเต้เท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่ขันทีอย่างเขาที่คุ้นชินกับการต่อสู้ในวังก็ยังตกตะลึงด้วยเช่นกัน
องค์ชายสามมีบาดแผลบนหน้าผาก อีกเพียงหนึ่งเดือน เขาก็จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ดวงตาของเขาก็ยังคงงดงามและน่าค้นหา เขาดูเย็นชาและสูงส่ง
ในตอนแรกที่อดีตฮ่องเต้ถามเขา เขาก็ไม่พูดอะไร
จากนั้น อดีตฮ่องเต้จึงตะโกนอย่างโกรธเคือง “มานี่ พาข้ารับใช้ทุกคนมาหาฮ่องเต้คนนี้ ข้าอยากรู้นักว่าใครกันที่บังอาจทำเช่นนี้ได้”
“ไม่จำเป็น” หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในที่สุด องค์ชายสามก็อ้าปากพูดออกมา สีหน้าของเขาเฉยเมยอย่างมาก และน้ำเสียงของเขาก็ดูไม่ใส่ใจ ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่นอยู่ “ข้าฆ่าคนพวกนั้นหมดแล้ว”
ในขณะนั้น ดูเหมือนว่าจะเหลือสาวใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น นางไม่ได้ทรยศองค์ชายสามในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของเขา
แต่ต่อมา สาวใช้คนนี้ก็เกือบจะทำลายชีวิตขององค์ชายสามอยู่ดี
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้รายละเอียดลึกๆ ของเหตุการณ์นี้ เพราะอดีตฮ่องเต้ปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
ขันทีซุนรู้ว่าอดีตฮ่องเต้ไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้องจุดอ่อนขององค์ชายสาม…
——————-
[1] ตั๊กแตนตำข้าวหยุดราชรถ เป็นการอุปมาว่า พยายามขัดขวางล้อขนาดใหญ่ไม่ให้เดินหน้าทั้งที่มีกำลังเพียงน้อยนิด ตรงกับสำนวนไทยว่า เอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง