องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 289 ความร่วมมือระหว่างองค์ชายกับเวยเวย
“เจ้ามองข้าทำไม มองพู่กันของเจ้าสิ”
ไม่อยากเชื่อเลยว่าในเวลาแบบนี้เขายังมีหน้ามาพูดเช่นนี้ได้อีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดริมฝีปากบางของตนพลางกระตุกยิ้ม และด้วยการพลิกฝ่ามือเพียงครั้งเดียว นางก็สามารถพลิกให้ร่างของเขาไปอยู่ใต้ร่างของนางได้
เดิมทีนั้นนางตั้งใจจะแสดงให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นว่านางไม่ได้อ่อนแอ
นางสาบานว่านางไม่ได้ต้องการจะทำอะไรกับองค์ชายเลย!
แต่…
ทันใดนั้นเอง ประตูรถม้าก็เปิดออก…
ขันทีซุนกับชิงจ้านยืนอยู่นอกประตู ทั้งสองตกใจกับภาพที่เห็นจนอ้าปากค้าง ”กระ.. กระหม่อมไม่นึกเลยว่าพระชายาจะใจกล้าถึงเพียงนี้”
ใจกล้าหรือ
หมายความว่าอะไรกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองออกไปนอกรถม้า แล้วหันหน้ากลับมามองท่าที่ตัวเองทับร่างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่ ท่าทางเช่นนี้ดูคลุมเครือไปหน่อยกระมัง
เดี๋ยวสิ!
ขันทีซุน ท่านกลับมาก่อน!
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันต่างหาก!
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากจะลุกขึ้นยืน แต่แล้วนางก็เห็นว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและสูงส่งคนนั้นกลับกระตุกยิ้ม พร้อมกับมองนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์อยู่
ตอนนั้นเองเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงได้รู้ว่าทุกอย่างเป็นแผนการขององค์ชาย
เขารู้ว่าพวกเราเดินทางมาจนถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ถึงได้จงใจยอมปล่อยให้นางทุ่มเขาลงกับพื้นเช่นนี้!
“องค์ชาย ท่านเอาแต่บงการคนอื่นอยู่ทุกวันเช่นนี้ ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยขี้เกียจเกินกว่าจะโต้เถียงกับเขา นางจึงนอนลงในท่านั้น เพราะเห็นว่าอย่างไรเสียไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็คงไม่กลัวแรงกดดันของนาง
เขายกมือขึ้นมาโอบนาง นิ้วของเขาสางผ่านเส้นผมของนาง แม้เขาจะมองไม่เห็นใบหน้านั้น แต่เขาก็รู้ว่านางกำลังหาวอยู่ จากนั้นเขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า ”เช่นนั้นเจ้าก็ควรซ่อนกรงเล็บของตนเองเอาไว้ให้ดี อย่าไปพบกับคนที่เจ้าไม่ควรพบอีก หากข้าทนไม่ไหวจนทำลายกรงเล็บของเจ้าขึ้นมาละก็ คนที่จะต้องเจ็บตัวก็คือเจ้าเอง”
เขาเพิ่งจะรู้เรื่องที่นางไปพบกับคุณชายเฮยเข้าโดยบังเอิญเท่านั้น แต่เขากลับเอาแต่ใช้เหตุการณ์นั้นมาหาเรื่องนางอยู่เรื่อย แม้นางจะเคยทำผิดสัญญาไปครั้งหนึ่ง แต่เขาก็ช่างเผด็จการและเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง คิดว่าการที่นางต้องเสี่ยงออกไปพบใครสักคนเช่นนั้นมันง่ายนักหรือ แต่แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะพูดความคิดของตัวเองออกมา เพราะการทำเช่นนั้นรังแต่จะนำปัญหามาให้กับนางทั้งสิ้น ดังนั้นนางจึงซุกศีรษะของตนเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ท่าทางของนางกับเขาดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก จากนั้นนางก็เอ่ยว่า ”พวกมันเป็นมือต่างหาก ไม่ใช่กรงเล็บเสียหน่อย”
นางไม่ใช่สุนัข กรงเล็บอะไรนั่นช่างไร้สาระสิ้นดี
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงียบ แล้วเล่นกับมือข้างหนึ่งของนาง ฝ่ามือของนางเนียนนุ่ม แต่เล็บของนางกลับแข็งแรง ถ้าพวกมันไม่ใช่กรงเล็บ แล้วจะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ
“ตอนอยู่ที่สำนัก เจ้าต้องมาพบข้าทุกวัน”
“เราสองคนเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกัน จะให้ไม่เจอหน้ากันเลยก็คงยากไปหน่อยกระมัง” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วอย่างงุนงง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคลายมือออกจากนางเล็กน้อย ”ข้าหมายถึงตอนกลางคืน”
“ท่านต้องการให้ข้าเอาฐานะพระชายาของตัวเองไปพบกับเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นผู้ชายทุกคืนอย่างนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยตวัดสายตามองเขา แล้วเอ่ยต่อ ”ท่านอยากให้ข้าโดนไล่ออกจากสำนัก หรือท่านอยากยกเลิกการแต่งงานของเราด้วยการบอกว่าข้าทำผิดกฎการแต่งงานไปสามข้อกันแน่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพับแขนเสื้อของตนขึ้น แล้วเอ่ยว่า ”เงาทมิฬจะติดตามเจ้าไป ไม่มีใครสังเกตเห็นแน่นอน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า ”ข้าไม่คิดว่ามันจะง่ายถึงเพียงนั้นหรอก” เขาไม่กลัวว่าฐานะของตัวเองจะถูกเปิดเผยหรือ
“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ”ดูเหมือนว่าการมาพบข้าแทนการไปพบคุณชายเฮยนั้นคงจะไม่สะดวกสำหรับเจ้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก นางรู้ว่านางจะพูดผิดไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้าหากนางพูดผิดไป นางจะต้องถูกเขาดูแคลนอย่างแน่นอน!
“พวกข้ากำลังคุยธุรกิจกันอยู่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจัดชุดของตนเสร็จแล้ว เขากระแอมออกมา และเอ่ยเสียงเย็นชา ”ที่ข้าบอกให้เจ้ามาพบข้า ก็เพราะเรามีธุรกิจที่ต้องคุยกันเหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้น” เขาหยุดพูดไปชั่วอึดใจ แล้วเอ่ยต่อ ”เจ้าคิดว่าจะมีเรื่องอะไรได้อีกหรือ”
นางเชื่อว่า… ในยามที่นางต้องเผชิญหน้ากับองค์ชายที่เล่นนอกกฎกติกาเช่นนี้ นางจำเป็นต้องสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
“ข้าก็คิดว่าพวกเราจะคุยเรื่องธุรกิจเหมือนกัน องค์ชายอยากจะคุยเรื่องธุรกิจประเภทไหนหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระชับเสื้อคลุมของตนแน่นขึ้น แล้วมองเขาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า ”อาวุธสงคราม”
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย ”ได้เลย” นางอยากจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธในจักรวรรดิจ้านหลงอยู่พอดี แต่หากมีคนรู้เรื่องนี้ และนำมันไปรายงานเข้าละก็ ทางราชวงศ์ย่อมไม่มีทางอภัยให้นางแน่นอน
แต่ตอนนี้ นางสามารถเริ่มต้นแผนการนี้ได้แล้ว เพราะนางได้รับความร่วมมือจากองค์ชายสาม
แต่…
“องค์ชายเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการค้าอาวุธอย่างผิดกฎหมายเช่นนี้ ไม่กลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏหรือ” สถานการณ์ในเวลานี้สับสนวุ่นวายอย่างมาก เขาไม่กลัวเลยหรือไรกัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยอย่างเย็นชาว่า ”ราชวงศ์จำเป็นต้องใช้อาวุธสงครามเพื่อปราบปรามกองกำลังของฝั่งตรงข้าม”
ความจริงอดีตฮ่องเต้และฮ่องเต้ทรงอนุญาตเรื่องนี้แล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจได้ทันที แม้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะไม่ได้เปิดเผยข้อมูลอะไรมากนัก อันที่จริงนี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะกอบโกยเงินได้เลยด้วยซ้ำ
“ถึงเวลาเมื่อใด เจ้าค่อยบอกข้ามาแล้วกันว่าต้องการคนจำนวนกี่คน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วโอบแขนของตนรอบตัวนาง ”แล้วก็ตั้งชื่อให้รื่นหูด้วยล่ะ”
“หือ” ปฏิกิริยาของเฮ่อเหลียนเวยเวยช้าไปเล็กน้อย ”ชื่ออะไรหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหลุบตาลงมองนาง ”ชื่อของร้านขายอาวุธสงคราม”
นางได้รับมอบหมายให้ตั้งชื่อร้านหรือ นางไม่เคยใส่ใจกับการตั้งชื่อมาก่อนเลย…
เฮ่อเหลียนเวยเวยอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงของขันทีซุนก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกของรถม้าเสียก่อน ”องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ใกล้จะมืดแล้ว หากพวกเราไม่ขึ้นเขากันเสียที พวกเราจะไปถึงที่นั่นไม่ทันเวลานะพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่ขันทีซุนพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นเงียบๆ แล้วคิดในใจว่า ในเมื่อพระชายาใจกล้าถึงเพียงนั้น องค์ชายจะหักห้ามใจไหวหรือไม่หนอ เขาควรสั่งให้พ่อครัวหลวงทำอาหารมาบำรุงองค์ชายหรือเปล่า
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นสายตาของขันทีซุน นางก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ นางอยากจะอธิบายภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้ให้เขาฟัง
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไล่ขันทีซุนออกไป ”นำม้าของข้ามาที่นี่และไปได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” ขันทีซุนรู้ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการกระทำของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดี ในเมื่อผู้เป็นนายของเขาไม่ต้องการที่จะเปิดเผยฐานะที่แท้จริง ดังนั้นเขาจึงเตรียมม้าสีดำธรรมดาเอาไว้แล้ว จากนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกับเฮ่อเหลียนเวยเวยก็จะสามารถแยกกันขึ้นเขาไปได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยจะนั่งรถม้าต่อ เพราะทุกคนต่างก็รู้ว่าพระชายากำลังเดินทางกลับมาที่สำนัก ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาหน้าขององค์ชาย รถม้าจึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากพวกเขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลงจากรถม้า ส่วนชิงจ้านร่วมทางไปกับเฮ่อเหลียนเวยเวยตลอดการเดินทางในช่วงที่เหลือ ชิงจ้านรับใช้เฮ่อเหลียนเวยเวยโดยไม่พูดอะไรตามปกติ แต่นางก็มองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตามีเลศนัย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือขึ้นกุมหน้าผากของตนด้วยความอับอาย ”แม่นาง มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”
“หม่อมฉันเข้าใจเพคะ” ชิงจ้านคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงวางกาน้ำชาที่นางกำลังใช้รินชาให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยลง จากนั้นนางก็เอ่ยต่อด้วยสีหน้าจริงจังว่า ”ใบหน้าขององค์ชายทำให้สูญเสียการควบคุมตัวเองได้อย่างง่ายดายเพคะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดกับตัวเอง สูญเสียการควบคุมหรือ
“ดังนั้น พระชายาเพคะ ท่านจำต้องดูแลเขาให้ดีนะเพคะ” ชิงจ้านหลุบตาลง เห็นได้ชัดว่านางกำลังตั้งใจจะสื่ออะไรบางอย่าง
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก ก่อนจะกลายเป็นรอยยิ้มขบขัน แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจมัน ”ข้าเข้าใจแล้ว เลิกพูดเรื่องเขาเถอะ เรามาพูดเรื่องของเจ้ากันดีกว่า เจ้าอยากไปอยู่หอไหนหรือ”
“หม่อมฉันหรือเพคะ” ชิงจ้านตกใจ นางคิดมาตลอดว่านางแค่มาเป็นสาวใช้ติดตามพระชายาเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบนางอย่างเกียจคร้าน ”ใช่สิ เจ้าเป็นลูกน้องขององค์ชาย ดังนั้นเจ้าย่อมมีคุณสมบัติมากพออยู่แล้ว ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะสามารถเข้าหอชั้นเยี่ยมได้ แต่เจ้าจำเป็นต้องได้รับการทดสอบเสียก่อน”
ชิงจ้านมีความสุขยิ่งนักเมื่อได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยชมนาง จากนั้นนางจึงกล่าวว่า ”พระชายาอยู่ที่หอไหนหรือเพคะ หอชั้นเยี่ยมหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไอค่อกแค่ก ก่อนจะตอบว่า ”ข้าอยู่หอสามัญ”
ชิงจ้านคิด : …แล้วลูกศิษย์ที่ฝีมือแย่ที่สุดของสำนักไท่ไป๋จะมีฝีมือแย่เพียงใดกัน
นางถึงกับเอาชนะการประลองยุทธ์ได้เชียวนะ
ชิงจ้านรู้สึกว่าพระชายาดูลึกลับมากขึ้นเรื่อยๆ
หากมันเป็นเหมือนอย่างที่เฮยจูบอก เช่นนั้นในตอนที่ท่านพี่กลับมา สถานการณ์ของพระชายาจะเป็นอย่างไรกัน…
ชิงจ้านไม่อยากคิดต่อ นางหวังเพียงแค่ว่าพระชายาจะแข็งแกร่งขึ้น หากเป็นเช่นนั้น นางอาจจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้