องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 290 ขายภาพเหมือนขององค์ชาย
ความมืดโรยตัวลง ณ จวนอ๋องมู่หรง
“ฉางเฟิง เจ้าเข้าใจใช่หรือเปล่าว่าจุดประสงค์ที่กลับไปยังสำนักครั้งนี้ของเจ้านั้นคือการปกปิดฐานะที่แท้จริงของแม่นางอวิ๋น” คนที่พูดอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นมู่หรงฮองเฮานั่นเอง
มู่หรงฉางเฟิงเคลื่อนสายตาไปมองนางเล็กน้อย ”ท่านป้าโปรดวางใจขอรับ ข้าเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี” มู่หรงฮองเฮายิ้ม แต่หากมองเข้าไปในดวงตาของนางก็จะเห็นได้ว่านางกำลังคิดคำนวณบางอย่างอยู่ ”โอรสของข้ายังเด็กเกินไป แต่อิทธิพลของเจ้าเด็กเหลือขอนั่นกลับแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน หากได้แม่นางอวิ๋นมาช่วยตรึงกำลังไว้ ก็น่าจะสามารถกำจัดมือขวาของมันได้”
แน่นอนว่ามู่หรงฉางเฟิงรู้ดีว่าเจ้าเด็กเหลือขอคนที่ว่าหมายถึงใคร แต่เขาไม่คิดที่จะใส่ใจกับเรื่องนั้น แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับถามขึ้นว่า ”ท่านป้าขอรับ จากที่ท่านว่ามา สรุปแล้วแม่นางอวิ๋นได้รับการยินยอมให้เข้าเรียนในสำนักแล้วหรือขอรับ”
“นางย่อมได้รับคำตอบรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” มู่หรงฮองเฮายกถ้วยน้ำชาที่วางอยู่ข้างตัวขึ้น นางเป่าใบชาข้างในเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า ”ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เจ้าคิด นางทะลุปราณขึ้นไปถึงธาตุทองได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และยิ่งกว่านั้น นางยังสามารถสร้างอาวุธชั้นเลิศได้อีกด้วย นางมีฝีมือโดดเด่นก็เพราะได้รับการเลี้ยงดูมาพร้อมกับเจ้าเด็กนั่น และยิ่งกว่านั้น เจ้าเด็กนั่นมันก็ยังดีต่อนางยิ่งกว่าอะไรดี ว่ากันว่านางเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วนางกลับมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าหญิงสาวบางคนในเมืองหลวงเสียอีก สำหรับนางแล้ว บททดสอบของสำนักไท่ไป๋ก็คงง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่หรงฉางเฟิงก็พึมพำ ”นางรู้กระทั่งการสร้างอาวุธด้วยหรือ…”
“ทุกอย่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยทำได้ นางก็สามารถทำได้เหมือนกัน” มู่หรงฮองเฮากระตุกยิ้มชั่วร้าย ”แม้กระทั่งในสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยทำไม่ได้ นางก็ยังสามารถทำได้ ดังนั้นการวางหมากให้นางเข้าไปอยู่ในสำนักไท่ไป๋จึงนับว่าเป็นการเดินหมากที่สมบูรณ์แบบที่สุด คนในตระกูลเฮ่อเหลียนทำตัวยโสโอหังมานาน ในไม่ช้าพวกเขาจะต้องสูญเสียทุกอย่างที่ตัวเองเคยมี แต่เจ้าไม่ต้องกังวลนะฉางเฟิง ป้ารู้ว่าก่อนหน้านี้นังเด็กจากตระกูลเฮ่อเหลียนคนนั้นทำเจ้าอับอายขายหน้ามาหลายครั้ง ป้าจะทำให้คนพวกนั้นชดใช้ทุกอย่างให้เจ้าเอง!”
มู่หรงฉางเฟิงไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขาดูเหม่อลอยเล็กน้อย
แต่มู่หรงฮองเฮาไม่ทันสังเกตเห็นเลยสักนิด นางมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเองจนไม่อาจหยุดรอยยิ้มนั้นเอาไว้ได้ นางกำลังจินตนาการว่าในเร็วๆ นี้จะมีข่าวดีเกิดขึ้น
สายลมยามค่ำคืนยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่บนยอดเขานั้นกลับเงียบสงบ
สำนักไท่ไป๋นั้นมีกฎห้ามออกข้างนอกยามวิกาล ดังนั้นทันทีที่ฟ้ามืด ทางออกทุกเส้นทางที่มุ่งสู่ตีนเขาจะถูกปิดเอาไว้
ที่สำนักไท่ไป๋มีชื่อเสียงที่สุดมาตลอดหลายปีนั้นทั้งหมดล้วนแต่มีสาเหตุมาจากกฎระเบียบอันเข้มงวดนั่นเอง
แม้แต่ในระหว่างเทศกาลลอยโคม ที่นั่นก็ยังมีกฎระเบียบกำหนดไว้ด้วยซ้ำ หลังจากลูกศิษย์ทั้งหลายเดินทางกลับมาถึงสำนัก ท่านปรมาจารย์พร้อมทั้งอาจารย์อีกสองสามท่านจะอยู่ที่นั่นเพื่อคอยรักษาระเบียบ
ในเทอมที่ผ่านมา เฮ่อเหลียนเวยเวยจำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้เมื่อนางมีความช่วยเหลือจากชิงจ้าน ความเร็วของนางจึงพลอยเพิ่มขึ้นไปด้วย
โรงอาบน้ำยังคงตั้งอยู่ที่เดิม แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้จักเส้นทางแถวนี้ดีแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่หลงทางอีกเป็นครั้งที่สอง พอคิดย้อนไปแล้ว ที่นั่นเป็นที่ที่นางบังเอิญได้พบกับองค์ชายในตอนที่เขากำลังอาบน้ำอยู่พอดี เพราะนางแยกไม่ออกว่าโรงอาบน้ำไหนคือโรงอาบน้ำสำหรับผู้ชาย และโรงอาบน้ำไหนมีไว้สำหรับผู้หญิง
แต่พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จะว่าไปแล้วเรือนร่างขององค์ชายนั้นก็งดงามยากจะลืมเลือนจริงๆ เสน่ห์ของเขาชวนให้ลุ่มหลงเป็นอย่างมาก เกรงว่าบนแผ่นนี้คงยากจะหาคนที่มีเสน่ห์แบบเขาได้อีก
ต่อไปในอนาคต นางน่าจะลองวาดภาพเหมือนตอนองค์ชายกำลังหลับ แล้วจากนั้นก็นำภาพนั้นไปขาย มันจะต้องได้ราคาดีมากแน่ๆ
ลงทุนน้อยแต่กำไรงาม
อย่างไรเสียตอนนี้นางกับเขาก็แต่งงานกันแล้ว
ทุกอย่างที่นางทำคงจะเป็นเหมือนกับที่เขาเคยบอกไว้ มันเป็นวิธีที่นางใช้ปรับตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยอารมณ์ดีหลังจากตัดสินใจได้ นางก็หยิบชุดนอนแล้วเดินเข้าไปในโรงอาบน้ำ ท่าทางตอนที่นางถอดชุดของตัวเองนั้นเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผย อาจเป็นเพราะนางเคยชินกับการเป็นสายลับมาก่อนกระมัง นางกระตุกสายรัดเบาๆ เสื้อคลุมตัวนั้นก็เลื่อนหลุดออกจากตัวระหว่างที่นางก้าวขาออกเดิน สุดท้ายนางก็ได้เอนกายลงสู่บ่อน้ำบนพื้นเสียที
ขณะที่ต้นไผ่ไหวลู่ไปตามลม เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หย่อนตัวลงแช่น้ำในบ่อน้ำพุร้อน เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ในความฝันเมื่อวันก่อนของตน สายตาของนางก็ดิ่งลง
นางหรี่ตาลงขณะพยายามควานหาคนที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นผู้หญิงในความฝันคนนั้น
ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้าง ตาคู่นั้นสว่างกระจ่างใสราวกับผลึกแก้ว
ไม่ใช่เพราะเหตุอื่นใด แต่เป็นหยวนหมิงที่เตือนนางผ่านทางกระแสจิตว่า ”มีคนอยู่ที่นี่!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไป ในไม่ช้านางก็คว้าผ้าเช็ดตัวมาคลุมตัวเองเอาไว้ได้ นางก้าวขึ้นจากบ่อน้ำพุร้อนด้วยช่วงขาเรียวขาว เท้าเปล่าเปลือยของนางสัมผัสกับพื้นหินสีเขียว มือของนางถือร่มคันหนึ่งเอาไว้ นางดูสง่างามราวกับราชินี
“ว้าย!” เด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังจะเดินเข้ามาหวีดร้องราวกับนางไม่รู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน เด็กสาวคนนั้นกระแอมว่า ”ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังใช้โรงอาบน้ำอยู่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนาง แล้วเม้มริมฝีปาก ”ไม่เป็นไร”
จากนั้นเด็กสาวคนนั้นก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าของนางเล็กเท่าฝ่ามือ ตัวของนางมีกลิ่นหอมประจำตัว ดวงตาของนางสุกใสเป็นประกายเช่นกัน มิหนำซ้ำยังดูน่าดึงดูด ทำให้คนยากที่จะละสายตาไปจากนางได้
ผิวพรรณของนางขาวผุดผ่อง เส้นผมสีดำยาวเกือบถึงเข่า นางดูเหมือนภาพฝันและดูเปราะบางยิ่งนัก นางดูสะอาดและบริสุทธิ์ราวกับดอกของต้นอวี้หลัน[1]ที่กำลังผลิบาน เพียงแค่มองนาง ใครๆ ก็คงเกิดความปรารถนาที่จะโอบกอดนางเอาไว้ ในอ้อมแขนและมอบความรักทั้งใจให้นาง
“ข้าจะออกไปรอข้างนอก เจ้าแต่งตัวเสร็จแล้วข้าถึงจะเข้ามา” เด็กสาวยิ้มกว้าง แล้วหมุนตัวเดินกลับออกไปอย่างสุภาพ
เฮ่อเหลียนเวยเวยถือชุดนอนไว้ในมือ นางหมุนตัวเพียงครั้งเดียว ชุดตัวนั้นก็คลุมร่างของนางเอาไว้
หยวนหมิงหยอกนางว่า ”เด็กสาวคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว พลังปราณของนางค่อนข้างสูง แต่นางกลับดูใสซื่อจริงๆ ยิ่งกว่านั้น ดูเจ้าสิ แม่นาง เจ้าไม่คิดหรือว่าต่อไปในภายภาคหน้า เจ้าควรทำตัวอ่อนโยนกับข้าให้มากกว่านี้บ้าง”
“แค่วิธีที่ข้าปฏิบัติกับเจ้าในตอนนี้ก็ทำให้เจ้าคิดไปแล้วว่าข้าหลงรักเจ้า ถ้าข้าทำตัวอ่อนโยนกับเจ้ายิ่งกว่านี้ เจ้าคงได้วิตกกังวลแน่ว่าข้าอาจจะอยากแต่งงานกับเจ้าขึ้นมา” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างไม่สะทกสะท้านพร้อมกับถอนสายตาไปจากตรงนั้น
หยวนหมิงถึงกับสำลัก ”เจ้าก็แค่อิจฉานาง ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี เมื่อได้เห็นคนที่สมกับเป็นผู้หญิงยิ่งกว่าตัวเอง เจ้าก็ควรที่จะรู้สึกอิจฉาอยู่แล้ว”
“สรุปว่าตอนนี้เจ้าเข้าใจกระทั่งความรู้สึกของเด็กสาวแล้วสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้นิ้วเรียวกระชับเสื้อคลุมของตัวเอง แล้วส่งเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมา ”หยวนเสี่ยวหมิง ประโยคถัดไปที่เจ้าจะพูดคือ ’ผู้หญิงอย่างเรา’ หรือเปล่า ข้าก็รู้จักเจ้ามาตั้งนาน แต่ไม่ยักรู้เลยว่าเจ้าเป็นผู้หญิง”
หลังจากถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยล้อเลียน ใบหน้าของหยวนหมิงก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่เขาก็กระแอม แล้วยิ้มอีกครั้งพลางกล่าวว่า ”จริงๆ แล้วถ้าเจ้าล้างคราบสีดำบนใบหน้าออก เจ้าก็งดงามกว่านางแล้ว”
“ขอบใจมาก เจ้าดูคนแค่สีของใบหน้าเท่านั้นสินะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยผลักประตูแล้วเดินออกไป เด็กสาวคนนั้นยังคงยืนอยู่ข้างนอก นางดูบอบบางแม้อยู่ภายใต้แสงจันทร์
เมื่อเด็กสาวคนนั้นเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เดินออกมา นางก็ยื่นมือไปหา ”นี่ของเจ้าหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองลูกปัดทำจากไม้จันทน์ในมือของเด็กสาว นางหยิบมันติดตัวมาจากห้องนอน นางตั้งใจว่าจะนำมันมาห้อยคอไว้เพราะมันช่วยไล่แมลงได้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมในห้องบรรทมของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถึงได้มีเจ้าพวกนี้อยู่เป็นกอง
มันคงจะหล่นตอนที่นางกำลังถอดชุดนั่นเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มให้นางเล็กน้อย ”ขอบใจ”
“ไม่เป็นไร” เด็กสาวเอ่ยเสียงเบา นางเงยหน้าขึ้น สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ”มีหลายสิ่งทีเดียวที่เจ้าต้องระวังอย่าให้สูญเสียมันไป เพราะเมื่อเจ้าสูญเสียมันไป ก็ยากที่จะเอากลับคืนมาได้เสียแล้ว”
——————–
[1] แมกโนเลีย เป็นต้นไม้ที่มีดอกสีขาว มีกลีบจำนวน 6 กลีบ