องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 301 เวยเวยผู้ปราดเปรื่อง
นิ้วของชิงจ้านแข็งเกร็ง จากนั้นนางก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยว่า ”ท่านพี่ เป็นท่านจริงๆ หรือเจ้าคะ”
อวิ๋นปี้ลั่วส่งยิ้มอ่อนโยนให้นาง ”หากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครไปได้อีกหรือ”
“ข้าเพียงแค่แปลกใจนิดหน่อยเท่านั้นเจ้าค่ะ” ในที่สุดชิงจ้านก็สามารถรวบรวมสติกลับมาจากอาการตกใจในตอนแรกได้ ”อย่างไรในเวลานั้นพวกข้าทุกคนต่างก็คิดว่าท่านตายจากไปแล้วเจ้าค่ะ”
ดวงตาของอวิ๋นปี้ลั่วหยุดนิ่งไป ”เด็กโง่ ข้ายังอยู่นี่”
ชิงจ้านมองนางอีกครั้ง นางไม่รู้จะตอบอะไร
อย่างไรเสียมันก็ผ่านมานานมาแล้ว จึงช่วยไม่ได้ที่พวกนางจะไม่ได้สนิทสนมกันดังเช่นเมื่อก่อน
อีกทั้ง นางเองก็มีนิสัยค่อนข้างเก็บตัวอีกด้วย
อวิ๋นปี้ลั่วดูเหมือนจะรู้จักนางเป็นอย่างดีทีเดียว นางยิ้มออกมาอีกครั้ง ”เดินคุยกันดีกว่า เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง”
ชิงจ้านมองรอยยิ้มของนาง และเห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว ”ตอนนี้ไม่ได้เจ้าค่ะ” นางตอบ จากนั้นนางก็กล่าวเสริมว่า ”ข้าต้องไปปกป้องพระชายา”
ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มของอวิ๋นปี้ลั่วแข็งค้างไป แต่นางก็รีบยกมุมปากขึ้นอีกครั้ง และเลี่ยงที่จะพูดถึง ’พระชายา’ ”จริงสิ ข้าเพิ่งนึกออกว่าจะถามเจ้าว่า ทำไมเจ้าถึงไม่ได้อยู่ข้างกายนายน้อยเลี่ย แต่กลับมาอยู่กับ…”
“ท่านพี่” ชิงจ้านเอ่ยขัดจังหวะอวิ๋นปี้ลั่วอย่างรวดเร็ว ”ตลอดหลายปีมานี้ท่านไม่เคยคิดที่จะกลับมา ทำไมท่านถึงตัดสินใจกลับมาในตอนที่องค์ชายแต่งงานแล้วล่ะเจ้าคะ”
เมื่ออวิ๋นปี้ลั่วไปยินคำพูดนั้น ดวงตาชุ่มน้ำของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที ”ชิงจ้าน ที่ข้าไม่กลับมานั้นมันไม่ใช่การตัดสินใจของข้า แต่เป็นเพราะอดีตฮ่องเต้ต่างหากที่ไม่อนุญาตให้ข้าปรากฏตัวเลย”
“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้นางฟังมากนักหรอกเจ้าค่ะ” ทันใดนั้นเฮยจูที่ยืนหลบอยู่ก็ปรากฏตัวขึ้น นางมองชิงจ้านแล้วแค่นหัวเราะเย้ยหยัน ”นางถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยล้างสมองแล้วเจ้าค่ะ แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ เช่นนี้นางก็ยังไม่สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้เลยด้วยซ้ำ”
อวิ๋นปี้ลั่วดูอึดอัดอย่างยิ่ง นางส่ายหน้าให้กับเฮยจู
ชิงจ้านไม่อยากทำให้สถานการณ์แย่ลง แต่นางก็ยังเงยหน้าขึ้นมองเฮยจู ”คนที่แยกผิดชอบชั่วดีไม่ได้คือเจ้าต่างหาก ไม่ใช่ข้า เฮยจู อย่าลืมว่าเจ้านายของพวกเราคือฝ่าบาท”
นางมองอวิ๋นปี้ลั่วด้วยสายตาลึกล้ำขณะเอ่ยเช่นนั้น น้ำตาของอดีตผู้เป็นพี่สาวก็ทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจมาก
แต่นางกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูมีบางอย่างแปลกๆ มาตั้งแต่แรก ดังนั้นนางควรที่จะรอบคอบเอาไว้ก่อน
“เฮยจู อย่าตำหนิน้องชิงอีกเลย นางก็มีปัญหาของนางเองเหมือนกัน” อวิ๋นปี้ลั่วสูดหายใจ แล้วกระแอมเบาๆ เมื่อนางหันกลับไปมองชิงจ้าน นางก็ส่งรอยยิ้มสดใสให้
ชิงจ้านรู้ดีว่าความเมตตาและความชอบธรรมไม่สามารถอยู่คู่กันได้ ดังนั้นนางจึงไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว
“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงต้องใจดีกับคนเนรคุณเช่นนั้นด้วย” เฮยจูเอ่ยอย่างเย็นชา ”เสียดายที่ท่านยังคิดถึงนาง นางก็แค่คนอกตัญญูคนหนึ่งเท่านั้น”
อวิ๋นปี้ลั่วไม่ได้พูดอะไรต่อ นางมองตามแผ่นหลังของชิงจ้าน แล้วจึงค่อยๆ ก้มหน้าลงมองพื้น
แน่นอนว่าชิงจ้านย่อมได้ยินคำบริภาษจากทางด้านหลังนั้น นิ้วของนางกระชับรอบกระบี่ที่คาดอยู่กับตัวแน่น ก่อนจะค่อยๆ คลายมันออกในภายหลัง
สิ่งที่นางกังวลมากที่สุดในเวลานี้คือนางจะบอกเรื่องนี้กับพระชายาอย่างไร
องค์ชายรู้หรือไม่ว่าท่านพี่ยังมีชีวิตอยู่
มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่องค์ชายจะได้พบกับท่านพี่ เพราะในเวลานี้เขาเองก็อยู่ที่สำนักไท่ไป๋เช่นกัน องค์ชายจะปฏิบัติต่อพระชายาเช่นไรหากเขารู้เรื่องนี้เข้า
ในเวลานั้น ชิงจ้านรู้สึกจนใจยิ่งนัก
นางไม่อยากทำให้ผู้หญิงที่ดึงนางขึ้นตอนที่นางคิดว่าตัวเองอยู่ในขุมนรกต้องเจ็บปวด…
แสงอาทิตย์ยามเย็นหายลับไปทันทีที่ตะวันตกดิน
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่เงียบมาตลอดลุกขึ้นยืน ดูเหมือนนางจะจัดระเบียบความคิดของตนเสร็จแล้ว นางประสานมือเข้าหากัน ”เอาล่ะ เก็บของแล้วไปหาอดีตสมาชิกในตำนานคนนั้นกันดีกว่า”
“เจ้าพูดจริงหรือ” หยวนหมิงแปลกใจมาก ”เจ้าเอาแต่เลี้ยงเด็กมาตั้งแต่เช้ามิใช่หรือ แล้วเจ้าไปเอาข้อมูลของอดีตสมาชิกคนนั้นมาจากไหนกัน”
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยยกขึ้น ”ข้ามีคำถามจะถามเจ้า สมมติว่ามีโรงเตี๊ยมอยู่สองแห่ง และทั้งสองแห่งนั้นก็ล้วนแต่มีแขกเข้าพักทั้งสิ้น วันหนึ่งมีลูกศิษย์คนหนึ่งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะต้องการเข้าห้องน้ำ เขาจึงจุดตะเกียงน้ำมันขึ้น แต่แล้วเขาก็ต้องกลัวจนหัวหด เพราะเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ชายคนนั้นกำลังใช้ตะปูตอกคนคนหนึ่งเอาไว้กับผนัง และในตอนที่เขาคิดที่จะล้มตัวกลับลงไปนอนนั่นเอง เขาก็เห็นว่าชายที่ถือตะปูคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา แล้วก็มองมาที่เขา ชายคนนั้นชี้นิ้วมาที่เขา พร้อมกับพูดอะไรบางอย่าง เจ้าคิดว่าชายคนที่ถือตะปูนั่นกำลังพูดว่าอะไร”
“จะเป็นอะไรไปได้อีก เขาต้องพูดว่ารายต่อไปก็คือเจ้าอยู่แล้วน่ะสิ” ในฐานะปีศาจ หยวนหมิงมั่นใจกับคำตอบยิ่งนัก
เปลือกตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้น ”เจ้าตอบผิด”
“ผิดหรือ” หยวนหมิงไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยรู้สึกอยากรู้คำตอบของอะไรสักอย่างเท่านี้มาก่อน ”เช่นนั้น คนที่ถือตะปูนั่นจะพูดว่าอะไรล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้ามอง “เขากำลังพูดว่า หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า และนับห้องที่เจ้าอยู่ต่างหาก…”
หยวนหมิงถึงกับขนลุกเกรียวเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อว่า ”คนปกติจะคิดจากมุมมองของลูกศิษย์คนนั้นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นคำตอบที่ได้ในสถานการณ์ปกตินั้นก็จะเป็นเหมือนอย่างที่เจ้าตอบมา แต่คนที่เป็นฆาตกรตัวจริงจะลงมืออย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่เริ่มแรก ในที่ที่ข้าเคยอยู่ เอฟบีไอของสหรัฐอเมริกาจะถามคำถามสองสามข้อเพื่อทดสอบว่าใครเป็นฆาตกรต่อเนื่อง น้อยคนนักที่จะได้คะแนนหกสิบหรือสูงกว่านั้นขึ้นไป เว้นแต่ว่าคนพวกนั้นจะมีจิตใจไม่ปกติน่ะนะ วิธีการนี้ทำให้เรารู้กระบวนการคิดของพวกเขา ดังนั้นขั้นตอนแรกในการหาตัวใครสักคนนั้นจึงต้องเริ่มจากการคิดในมุมมองของอีกฝ่าย ถ้าใช้วิธีนี้ มันจะต้องได้ผลดีกว่าอย่างแน่นอน”
“แล้วสรุปว่าอย่างไร” หยวนหมิงบังคับให้ตัวเองคิดตามการยกตัวอย่างอันแปลกประหลาดนั้น เขาเลิกคิ้วแล้วถามว่า ”เจ้าคิดว่าอดีตสมาชิกของหน่วยพิฆาตวิญญาณที่ว่านั่นคือใครหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”ก่อนอื่นเลย ข้าไม่คิดว่าคนๆ นั้นจะมีอายุมากนัก หากดูจากวิธีแฝงตัวของพวกเขาโดยทั่วไปแล้ว คนที่เป็นหัวหน้าก็อาจจะเป็นคนแก่อย่างผู้อาวุโสห้วนได้เหมือนกัน แต่สมาชิกตัวจริงของหน่วยพิฆาตวิญญาณนั้นจะต้องสามารถซ่อนตัวอยู่ภายในสำนักไท่ไป๋ได้เป็นอย่างดี จึงน่าจะเป็นชายอายุประมาณสามสิบปี คนในช่วงอายุนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความแข็งแกร่ง แต่ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้หลากหลายอีกด้วย ยิ่งกว่านั้น ตำแหน่งของเขาคงจะสูงกว่าตำแหน่งของพวกผู้อาวุโสห้วนเสียอีก ในหมู่ทหารรับจ้างมีกฎอยู่ว่ายิ่งตำแหน่งสูงเพียงใด คนคนนั้นก็ยิ่งสามารถซ่อนตัวได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่แค่เพียงคนนอก แต่แม้กระทั่งผู้นำในกลุ่มเองก็จะไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา พลังการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาคงจะอยู่ราวๆ กลุ่มคนอายุสามสิบนี่เอง แล้วก็อีกอย่าง ถ้าข้าเป็นสมาชิกของหน่วยพิฆาตวิญญาณ ข้าจะแฝงตัวเป็นคนที่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ข้าต้องการได้ เพื่อให้รู้จักคุณสมบัติของลูกศิษย์ภายในสำนักไท่ไป๋ทั้งหมด และสามารถจองตัวลูกศิษย์คนใหม่ของข้าได้ก่อนใคร อีกอย่าง ข้าก็จะได้ใช้ลูกศิษย์พวกนั้นมาทำภารกิจบังหน้าแทน ทำเช่นนั้นข้าก็จะสามารถรักษาความลับของหน่วยพิฆาตวิญญาณเอาไว้ได้ด้วย หากคิดเช่นนี้ คนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดอยู่ในมือ เป็นกลาง และสามารถทำงานของตัวเองได้เป็นอย่างดีแม้จะอยู่ท่ามกลางตระกูลสำคัญหลายตระกูลก็ตาม และภายในสำนักไท่ไป๋แห่งนี้ ก็มีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตรงกับคุณสมบัติที่ว่ามาทั้งหมดนั่น…”