องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 312 การเข้าหน่วยพิฆาตวิญญาณ
เคร้ง
กุญแจมือโลหะเส้นนั้นหล่นลงกับพื้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนข้อมือของตน มันไม่ได้รู้สึกเจ็บมากนัก จากนั้นนางก็เหลือบมองโซ่ราคาแพงเส้นนั้นอีกครั้ง หากนางทำเพียงทิ้งมันไปเฉยๆ ก็คงจะเสียของน่าดู ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะนำมันติดตัวไปด้วย
นางเปิดประตูออกไปในทันใด
เงาทมิฬชะงักเมื่อเขาเห็นนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาอย่างเกียจคร้าน ”เมื่อครู่นี้เขายังไหวตัวไม่ทัน แต่ตอนนี้ในเมื่อเขารู้แล้วว่าอวิ๋นปี้ลั่วกลับมา ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลามาดูแลข้าอีกเป็นแน่ เงาทมิฬ เจ้าจะลงมือกับข้า หรือจะปล่อยข้าไปดีๆ”
เงาทมิฬมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไร เขาขวางทางนางไว้ด้วยท่าทางเคารพนบนอบ ”กระหม่อมขออภัยพ่ะย่ะค่ะ พระชายา กระหม่อมไม่อาจปล่อยให้ท่านไปได้” เขาต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวราะเย็นชา ”เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถหยุดข้าได้หรือ”
“ขอพระชายาอย่าทำให้กระหม่อมต้องลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ” แต่เดิมนั้นเงาทมิฬก็เป็นคนประเภทไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อตอนนี้คนที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่คือเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพียงเพราะความจงรักภักดีที่มีต่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่ยังเป็นเพราะเขาไม่อยากที่จะทำร้ายหญิงสาวที่พิเศษคนนี้เช่นกัน
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยทอแสงวาบ ”เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะรอไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับมาก่อน แล้วค่อยปรึกษาเรื่องนี้กับเขาก็แล้วกัน”
“ขอบพระทัยที่ท่านเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ พระชายา” เงาทมิฬยังคงระวังตัวอยู่ เขาจับตาดูเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วรอให้นางปิดประตู
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วสาวเท้าเดินต่ออย่างช้าๆ
เงาทมิฬจับตามองนางจากทางด้านหลังราวกับว่าเขากำลังระแวงอะไรอยู่ แต่แล้วในขณะที่เขากำลังจะยื่นมือออกไป จู่ๆ ที่ข้างตัวของเขาก็มีการเคลื่อนไหวหนึ่งเกิดขึ้น เขารีบใช้มือของตัวเองป้องกันมันเอาไว้โดยอัตโนมัติ!
ประกายไฟจากการเสียดสีกันระหว่างอาวุธสองชนิดสะท้อนอยู่ในดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นนางก็ยิ้มให้กับเงาทมิฬ ”ฝีมือดีทีเดียว”
เงาทมิฬยังคงเงียบ
“แต่ว่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดเคลื่อนไหว จากนั้นนางก็ขยับนิ้วเล็กน้อย แล้วควันกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมาจากอีกด้านของร่มคันนั้น
เงาทมิฬพยายามจะกลั้นหายใจ แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
การมองเห็นของเขากลายเป็นสีดำ แล้วเขาก็ล้มลงหมดสติไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยเก็บร่มกลับมา พลางมองไปที่เงาทมิฬที่สลบอยู่ นางยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ”เจ้าคิดว่านี่เป็นเพียงร่มธรรมดาหรือ”
นางลากเงาทมิฬกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง แล้วจับเงาทมิฬนั่งพิงกับกำแพงแทนที่จะให้เขานั่งเก้าอี้ เพราะนางรู้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นคนคลั่งความสะอาดเพียงใด
จากนั้น นางก็เปลี่ยนมาสวมชุดของเงาทมิฬ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ที่สวนด้านนอกยังมีองครักษ์เงาซ่อนตัวอยู่ตามมุมต่างๆ ประมาณสองถึงสามคน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เปิดเผยตัวออกมา แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สามารถรู้สึกได้ถึงสายตาของพวกเขา
หากนางไม่ได้กำลังสวมชุดของเงาทมิฬอยู่ละก็ นางคงได้ถูกจับทันทีที่ออกจากสวนแน่
แต่เพราะนางเชี่ยวชาญในด้านการพรางตัว ดังนั้นจึงไม่มีใครมองการปลอมตัวของนางออกแม้แต่คนเดียว
หลังออกจากสวน นางก็มุ่งหน้าไปยังห้องของตู๋ซูเฟิงโดยไม่ลังเล
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าตู๋ซูเฟิงจะหลับอยู่หรือไม่ เพราะในฐานะที่เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักไท่ไป๋ เขามักจะนอนดึกเป็นประจำอยู่แล้ว
แถมเขายังต้องดูแลเด็กอีกด้วย…
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้ามาในห้องที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ นางก็เห็นองค์ชายเจ็ดกับถ้วยไม้จำนวนหนึ่งกองซ้อนกันอยู่บนศีรษะของเขา
องค์ชายเจ็ดกะพริบตามองนางด้วยสีหน้าสงบ ”พี่สะใภ้สาม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”เจ้าทำอะไรอยู่”
“ข้าถูกจับได้ว่าขโมยเนื้อมากินขอรับ” องค์ชายเจ็ดดูเสียใจเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คิ้วเล็กๆ ของเขาขมวดเข้าหากันจนยุ่งกว่าที่เคย
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขา ”อีกนานเพียงใดหรือ”
“ท่านเจ้าสำนักไม่ได้บอกขอรับ” องค์ชายเจ็ดเดินตามเฮ่อเหลียนเวยเวย ขาสั้นๆ ของเขาเซไปเซมา
เฮ่อเหลียนเวยวยยื่นมือออกไปยกถ้วยพวกนั้นออกจากศีรษะของเขา นางถามว่า ”ท่านเจ้าสำนักอยู่ที่ไหนหรือ”
“เขากำลังไปถอนหายใจอยู่ขอรับ” องค์ชายเจ็ดโยนถ้วยทั้งหมดนั้นลงในบ่อน้ำเก่าๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ ”ช่วงนี้ข้าทำตัวซุกซนเกินไป เขาไม่รู้ว่าจะบอกอดีตฮ่องเต้อย่างไรดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
“เจ้าก็รู้ตัวเหมือนกันหรือ” เสียงหัวเราะอย่างจนปัญญาดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของพวกนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้ากลับไป และเห็นตู๋ซูเฟิงในชุดคลุมตัวยาวกำลังเดินเข้ามาหาพวกนางอย่างช้าๆ เขาดูไม่ต่างจากในยามปกติมากนัก และยังคงสง่างามเฉกเช่นเมื่อก่อน กาลเวลาที่ผันผ่านกลับยิ่งทำให้เขาดูน่าเชื่อถือขึ้นไปอีก
ในมือของเขามีซาลาเปาไส้เนื้อร้อนๆ อยู่ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นของสำหรับองค์ชายเจ็ด
องค์ชายเจ็ดวิ่งเข้าไปหาเขา คว้าซาลาเปาแล้วกัดเข้าปากคำโต ระหว่างที่เขากำลังกินอยู่ เขาก็เอ่ยว่า ”ข้าก็แค่อยากเอาชนะพวกเขาเท่านั้นขอรับ”
“เพียงแค่ต้องการเอาชนะหรือ” ตู๋ซูเฟิงใช้นิ้วเรียวยาวลูบหน้าผากของตน ”เจ้าต้องต่อสู้อย่างดุเดือดเสียจนหักแขนของบรรดาคุณชายทุกคนในหอชั้นเลิศเลยหรือ”
องค์ชายเจ็ดเงยหน้าขึ้น เขายังถือซาลาเปาอยู่ในมือ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ”ข้าเพียงแค่พยายามช่วยพวกเขาจากอาการบาดเจ็บที่สาหัสกว่านี้หากพี่สามลงมือเองต่างหากขอรับ”
ตู๋ซูเฟิงไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของเขาได้ ยิ่งกว่านั้นในระยะนี้ลูกศิษย์ทุกคนที่เพิ่งเข้าเรียนมาก็ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสำนักกันอย่างเคร่งครัดอีกด้วย และเรื่องนี้ทำให้เขาปวดหัวยิ่งนัก ”พวกเจ้าทุกคนดีแต่สร้างปัญหากันเหลือเกิน” โดยเฉพาะเจ้าคนที่ไม่เคยสนใจใครหน้าไหนคนนั้น สำหรับเจ้าหมอนั่นแล้ว การยับยั้งชั่งใจนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
หลังจากที่ตระกูลหยวนลาออกจากสำนัก ตระกูลเหลียงก็เริ่มเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในหอมากขึ้น และส่วนใหญ่เรื่องพวกนั้นจะเป็นการบ่นพฤติกรรมของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทั้งสิ้น
คนพวกนั้นยังไม่รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พวกเขาพยายามเอาชนะใจและทำให้อีกฝ่ายมาอยู่ฝั่งตัวเองตั้งแต่ระหว่างการแข่งขันภายในสำนักเมื่อครั้งก่อน แต่พวกเขาก็ทำไม่สำเร็จ
ดังนั้นนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนจากตระกูลเหลียงและอาจารย์คนอื่นๆ ในสำนักไม่พอใจไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แต่โชคยังดีที่คนที่ต้องรับมือกับปัญหานี้คือตู๋ซูเฟิง หากคนที่อยู่ในตำแหน่งของเขาในเวลานี้เป็นคนอื่น เห็นทีคนคนนั้นคงทนรับแรงกดดันที่เกิดขึ้นไม่ได้แน่
คนที่มีความสามารถเช่นนี้จะต้องได้รับการยอมรับเข้าหน่วยพิฆาตวิญญาณอย่างแน่นอน
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เผยรอยยิ้มออกมา แล้วแสดงตราทัพในมือของนางให้เขาดู!
ตู๋ซูเฟิงชะงักไปเล็กน้อย ”นี่คืออะไรหรือ”
“ข้าอยากปรึกษาท่านถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าวิญญาณ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเก็บตราทัพ แล้วพูดเสริม ”และเรื่องของกฎภายในหน่วยพิฆาตวิญญาณด้วย”
ตู๋ซูเฟิงยิ้ม ”ข้าไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับหน่วยพิฆาตวิญญาณมากนัก แต่ข้าสามารถคุยกับเจ้าเรื่องป่าวิญญาณได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขา ”ข้ามีข่าวมาด้วย และข่าวที่ว่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคนในเมืองหลวง แต่ข้าสามารถบอกเรื่องนี้ได้แค่กับคนที่เป็นสมาชิกของหน่วยพิฆาตวิญญาณเท่านั้น”
องค์ชายเจ็ดฟังบทสนทนาระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองคน ระหว่างที่กัดซาลาเปาเข้าปากคำโต เขาทำตาโตจ้องมองคนทั้งสองต่อ
ครั้งนี้ตู๋ซูเฟิงไม่คิดที่จะปิดบัง เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วยิ้มออกมา ”เจ้าฉลาดจริงๆ ว่ามาสิ เจ้าเป็นคนที่สองแล้วที่มาหาข้าวันนี้”
“คนแรกคืออวิ๋นปี้ลั่วสินะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว
ตู๋ซูเฟิงยิ้ม ”ใช่แล้ว แต่นางเข้าหาผิดวิธีไปหน่อย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบ แล้วทำเพียงเดินตามตู๋ซูเฟิงเข้าไปภายในห้องหนังสือของเขา
ตู๋ซูเฟิงหมุนแท่นวางพู่กันบนโต๊ะไม้ของตัวเองเป็นวงกลมอย่างว่องไว แล้วชั้นหนังสือที่ทำจากไม้ก็พลันเปิดออก
ทางเดินเส้นยาวที่ไร้จุดสิ้นสุดปรากฏขึ้นตรงหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย…